วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (68) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบ สิ่งที่เรียกว่า การกลืนหาย
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รัก
การเลือกตั้งก็ได้ผ่านไปแล้ว และในห้วงเวลาไม่กี่วันมานี้ ผมก็ได้เห็น “สันดาน” ของคนบางคน บางกลุ่มขึ้นมาทันที
คนเราเนี่ยจะดู “สันดาน” ธาตุแท้จิตคน ว่าดีหรือชั่ว ดูไม่ยากครับ คือดูซิว่า เขาเกิด “รวยขึ้น” หรือไม่ก็ “มีชื่อเสียงโด่งดัง” ขึ้น หรือพูดรวมๆ คือ ได้ชัยชนะ ได้หน้า ได้ดีมีวาสนา ขึ้นมาแล้วเนี่ย เขาแสดงท่าทีกิริยาต่อผู้อื่นอย่างไร นั่นหละคือ “สันดาน” ที่อยู่ในตัวเขาแต่เดิม
ที่ผ่านมาฝ่ายเชิดชูเสรีนิยม ชูจุดขายว่าต้องอุ้มชู ให้โอกาสคนที่เคยได้ชื่อว่า “ด้อยกว่า” “คนกลุ่มน้อย” ที่เคยถูก “อำนาจ” กดทับ มาวันนี้ที่เขาคิดว่าเขาได้ชัย เขาคิดว่าเขาจะได้มี “อำนาจ” ขึ้นมาบ้างแล้ว (ถึงทีกูล่ะ) กลับแสดงกิริยาดูถูกเหยียดหยามคนที่เห็นต่าง คนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ใช้คำเหยียดสารพันอย่างสนุกปาก อันเห็นได้ทั่วไปในโลกโซเชียล (ไม่นับทัศนะวิปริตที่ว่า ต่อให้เป็นคนโกหกโกไหว้ยังไง ก็ยังจะรัก เชียร์ ไม่ลืมหูลืมตา พร้อมสำทับว่า “กูคือเสียงส่วนใหญ่โว้ย” ขู่เข็ญเข้าไปด้วย)
และนี่ไม่ใช่เรื่องปรากฎการณ์ความต่างระหว่างวัยอะไรแน่นอน เพื่อนบางคนที่เรียนมหาลัยรุ่นเดียวกัน รู้จักคลุกคลีกันมาเป็นยี่สิบกว่าปี วันนี้เขาก็ยังเหยียดผมอย่างสนุกปาก เพราะผม “ค้าน” ในสิ่งที่พวกเขาสนับสนุน
ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านไปจะกี่สิบปี เราเข้าศตวรรษที่ ๒๑ ได้ยี่สิบปีแล้วนะ ยังมีคนที่โจมตี พูดด่าทอผม ด้วยชุดตรรกะต่อไปนี้ อยู่เลย
“ถ้าผมไม่ชอบ (หรือไม่เห็นด้วยกัน) A แสดงว่าผมชอบ B ที่อยู่ตรงข้าม (หรือเป็นศัตรู) กับ A น่ะสิ”
(A และ B เป็นตัวแปร ซึ่งใครจะแทนค่าตัวแปรด้วยชื่อ…อะไรก็สุดแท้แต่)
มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไปเหรอครับ?
ผมอาจไม่เอาทั้ง A ทั้ง B เลยก็ได้
ถ้าความคิดอ่านของคนส่วนใหญ่ยังคิดวนได้แค่สองขั้วตรงข้าม (dichotomy) ก็ถูกเขาหลอก ถูกปั่นหัว ไปเรื่อยๆ และเสียงของประชาชน (ที่บางคนอวดอ้างภูมิใจนักหนา) ก็จะไม่ใช่เสียงของ “วิญญูชน” ที่คิดบนพื้นฐานความรู้ผิดรู้ชอบดีแล้วจึง “เลือก” แต่เป็นแค่เสียงของ “คนโง่” ที่ถูกจูงจมูกด้วยวิธีคิดแบบสองชั้วตรงข้าม (dichotomy) พ่วงด้วยอคติ ๔ เท่านั้น ผมเห็นหลายคนตอนนี้ โจมตีใครที่ไม่เห็นด้วย อย่างสนุกปาก คงจะลืมไปแล้วสิครับว่า ถึงเขาจะเป็นอะไรที่คุณ ยี้ หรือเขาไม่เลือกเหมือนคุณ เขาเป็น “เสียงส่วนน้อย” แต่เขาก็เป็น “คน” เหมือนกับคุณ
วันใดที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนไม่ใช่คน คุณเองก็ไม่ใช่คนเช่นกัน และก็รอไว้เลยว่าวันหนึ่งคุณจะถูกปฏิบัติอย่างไม่ใช่คนบ้าง
แต่ยังไงเสีย เหตุการณ์บ้างเมืองจะเป็นไงต่อก็ตาม ผมเองยังหวังว่า ท่านผู้อ่านที่รักที่ติดตามอ่านงานรายสัปดาห์ของผมมาตลอด จะเป็น “คน” ผู้แสวงหา “ปัญญา” หาหนทางว่าการเป็นคนให้ได้อย่างแท้จริง ควรจะเป็นอย่างไร และเอาสิ่งที่ผมได้มาเล่า มาบอกต่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ นำไปใช้เพื่อประคองชีวิตให้ “อยู่รอดปลอดภัย” ได้ในยุคสมัยที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรแบบนี้ ผมในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ก็ดีใจและขอขอบพระคุณท่านผู้อ่าน มากๆ แล้วครับ
เอาล่ะครับ มาเข้าเนื้อหาของวันนี้ด้วยกันนะครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
火の巻
คัมภีร์แห่งเตโช
二〇 一 まぎるると云事
ยี่สิบ สิ่งที่เรียกว่า การกลืนหาย
`まぎるる `と云は `大分の戦にしては人数を互にたて合敵の強き時 `まぎるる `と云て敵の一方へかかり敵くづるるを見ばすてて又強き方へかかる大形つづらをりにかかる心也 `一分の兵法にして敵を大勢よするも此心専也 `方々へかからず方々にげば又強き方へかかり敵の拍子を得てよき拍子に `左 `右 `とつづらをりの心におもひて敵の色を見合てかかるもの也 `其敵の位を得打とほるに於ては少も引心なく強くかつ利也 `一分入身の時も敵の強きには其心あり `まぎるると云事一足も引事をしらずまぎれゆくと云心 `能々分別すべし
ที่เรียกว่า “กลืนหาย” นั้น ในการศึกของส่วนใหญ่นั้น ต่างก็ตั้งจำนวนคน (ใส่) กัน ยามศัตรูเข้มแข็ง เรียกว่า “กลืนหาย” เข้าไปยังฝั่งของศัตรู พอเห็นศัตรูพังทลาย ก็ทิ้ง หรือไปเข้าฝั่งที่เข้มแข็ง ตั้งจิตเข้าอย่างลดเลี้ยวเคี้ยวคดเป็นภาพใหญ่ ในพิชัยสงครามของส่วนเดียว ตอนล่อศัตรูหมู่มากเข้ามา จิตนี้เป็นเรื่องใหญ่สำคัญ หากไม่เข้าหาฝั่งฝ่ายต่างๆ หนีฝั่งฝ่าย เข้าหาฝ่ายเข้มแข็งอีก ได้ซึ่งจังหวะของศัตรู พอจังหวะดี ตั้งจิตเลี้ยวลด “ซ้าย” “ขวา” ดูประสานสี (อารมณ์) ของศัตรูแล้วเข้าหา ในการได้ตำแหน่งของศัตรูนั้นแล้วตีผ่าน ไม่มีจิตถอยแม้แต่น้อย คือประโยชน์ชนะโดยแรง แม้ยามแทรกกายของส่วนเดียว มีจิตนั้นที่ความเข้มแข็งของศัตรู สิ่งที่เรียกว่าการกลืนหาย คือจิตที่เรียกว่าไม่รู้จักการถอยแม้แต่ก้าวเดียว กลืนหายไป ขอจงแยกแยะให้ดีๆ
การตีความและอภิปราย
ผมอ่านบทนี้แล้ว พอเจอคำว่า แทรกกาย (อิริมิ 入身) แล้ว นึกถึงอยู่สองอย่าง คือ “อิริมินาเงะ” ในไอคิโด กับ arm drag ในบีเจเจ
การกลืนหาย (มางิรุรุ สมัยนี้ออกเสียงเป็น มางิเรรุ 紛れる) คำนี้หมายถึง การ “เข้าไปปน ประสมกันจนแยกไม่ออก” ซึ่งในบริบทของการตะลุมบอนอาจจะยังพอนึกภาพของการไปซ้ายทีขวาที บางทีก็ต้องคอยระวังการตีโดนพวกเดียวกันเองจนออกมือออกเท้าไม่ถนัด อันนี้คือการเอาตัวรอดในบริบทการที่ตีกันหลายๆ คน
…แล้วถ้าเป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งล่ะ?…
ตอนแรกผมก็ยังไม่เก็ทเท่าไหร่จนเจอคำว่า “อิริมิ” (แทรกกาย) นี่แหละ การแทรกกาย คือการหลีกหนีจากการปะทะกันแบบซึ่งๆ หน้าที่ทำให้เกิดภาวะการ “วัดพลัง” แล้วมาอยู่ “ฝั่งเดียวกับศัตรู” แบบแทบจะยืนอยู่ข้างเดียวกัน
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ลองดูวิดีโอสองอันนี้แล้วพิจารณาตามไปด้วยครับ
พอเขียนตรงนี้ บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ ถึงการที่คนเราทุกวันนี้ ต้องเอาชีวิตรอดในสังคม ซึ่งบางทีก็เจอการบังคับ ตีกรอบ กดดัน จะด้วยอำนาจเชิงอำนาจหน้าที่ (authority) หรือการอาศัยอ้างพวกมาก (appeal to the majority) ซึ่งบางคนยอมจำนนเพราะความกลัว ความเขลา
ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างฉลาด เราต้องเรียนรู้การที่จะ “กลืนหาย” ไปด้วยการเลี้ยวลด คดเคี้ยว ซิกแซก อาจไม่ชนะขนาดล้มศัตรูได้ แต่ยังเอาประคองตัวเอาชีวิตรอดได้
ผมสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง ในสังคมไทยเนี่ย
สมมุติว่ามีดาราหรือใครก็ได้ ไปพูดอะไรแสดงทัศนะอะไรในโลกโซเชียล ที่ผู้คนอาจไม่ถูกใจ แล้วก็เข้าไป คอมเมนต์ วิจารณ์ ต่างๆ นานา ถ้าคนๆ นั้น เจอแบบนั้น แล้ว “ขอโทษ” ขอโทษแบบขอโทษจริงๆ ผิดไปแล้วจ้า ดีไม่ดี คนก็อาจจะแบบ เออไม่เป็นไรผิดแล้วยอมรับผิด มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ให้อภัย อาจแถมให้กำลังใจด้วย สู้ๆ แต่ถ้าคนนั้นออกมากร้าวใส่ ขู่จะฟ้อง คนๆ นั้น มักจะได้โดนหนักกว่าเดิม
เรื่องนี้ จะเกี่ยวกับเนื้อหาในวันนี้หรือไม่ ก็ฝากท่านผู้อ่านพินิจให้ดีๆ นะครับผม บางครั้ง การขอโทษน่ะ มันไม่เกี่ยวกับว่า คุณผิดหรือเปล่าหรอก คุณอาจจะมีชุดความคิดของคุณ จุดยืนของคุณก็ได้ แต่การเอาตัวให้รอดในสังคมนั้น การพูดคำว่า “ขอโทษ” มันเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้าใจนะ ว่า อยู่ฝั่งเดียวกันนะ คิดเห็นทางเดียวกันนะ ความเป็นศัตรูก็จะเจือจางลงไป
ถ้ามองว่า การทำให้ศัตรูไม่เป็นศัตรู ก็นับเป็นชัยชนะอย่างหนึ่งล่ะก็ นี่ก็คือกลยุทธ์หนึ่งที่ควรจะเรียนรู้เอาไว้
แต่ถ้าหากไม่รู้จัก การ “แทรกกาย” (อิริมิ 入身) จะตั้งป้อมเอาตามใจตัว ไม่ลดราวาศอก มั่นใจในตัวเองมากว่าอยากจะ “วัดพลัง” เต็มแก่เพราะถีอดีว่ามีกำลังมาก อำนาจมาก หรือพวกมาก ย่อมต้องเจอกับการต่อต้านอย่างรุนแรงแน่นอน ต่อให้ได้ชัย ก็จะเป็นชัยชนะบนความฉิบหาย เพราะตีกันแหลกราญ ดีไม่ดีตีกันสเกลใหญ่ๆ คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็จะพลอยซวยไปด้วย
จากนี้ไป ผมจะคอยดู ว่าสังคมไทยคนไทย เราจะยังยึดมั่นในคุณค่าของการเดินทางสายกลาง ประนีประนอม พบกันครึ่งทาง ไม่สุดโต่งจนเกินเลย อยู่รึเปล่า ถ้าสังคมไทยยังยึดในสิ่งนี้ รู้จัก “แทรกกาย” ก็คงยังอยู่ร่วมกันเป็นคนในสังคมเดียวกันได้ อะไรดีไม่ดีก็เตือนๆ บอกๆ กันไป มีอะไรก็รับฟังกัน แต่ถ้าอยากจะ “สุดโต่ง” แบบไม่เห็นหัวคนที่ไม่เห็นด้วย (ทัดทาน เห็นต่าง) ด้วยการใช้กิริยาวาจาเหยียดหยันต่างๆ นานา ผมอยากจะบอกว่า คนที่เลือกที่จะ “สุดโต่ง” คุณจะได้รับแรงกระแทกแบบ “สุดโต่ง” กลับไปเช่นกัน
หากวันหนึ่ง คนที่เคยตัดสินใจเลือกความ “สุดโต่ง” แล้วมันเกิด “ผลลัพธ์” ที่เลวร้ายต่อชาติบ้านเมือง (ซึ่งอาจเลวร้ายมากๆ) ขึ้นมา ผมหวังแค่ว่า อยากน้อยคงจะได้ยินคำว่า “ขอโทษที่ได้ทำผิด คิดผิดไป” อย่างคนที่ยอมรับแล้วว่าตัวเองผิดไปพลาดไปจริงๆ หากถึงวันนั้นหากชาติบ้านเมืองยังไม่แหลกสลาย เรายังพอตั้งต้นใหม่ได้ แต่ผมมองดูแล้ว จิตของคนพวกนี้ หลายคนดูจะไม่มีที่ว่างให้กับความรู้สึกผิดเลย คือ “สุดโต่ง” แล้วต้องบอกว่า “กูถูก” ต้องรั้น รั้นจนถึงที่สุด ถ้าคนหมู่มากพากันคิดแบบนี้ คงทำสงครามกันจนฉิบหายแน่
ผมอ่านและเขียนถึงตรงนี้ หวนคิดถึงคำที่ว่า “ชนะโดยไม่ต้องล้มคู่ต่อสู้” ไม่ต้องเข่นฆ่ากันให้ตาย ผมสมัยก่อนอ่านแล้ว จริงเหรอวะ มันเป็นยังไงวะ มาถึงวันนี้ อ่านคัมภีร์ห้าห่วง แล้วมาคิดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ถึงได้เข้าใจ (แล้วทำไมต้องเพิ่งมาเข้าใจเอาตอนนี้ด้วยเนี่ย) การทำให้ “ไม่มีศัตรู” นั้น การเข่นฆ่าทำลายล้าง มิใช่คำตอบเพียงหนึ่งเดียว บางครั้ง (ย้ำว่าบางครั้ง) ทางเลือกอื่น เช่น หาทางลดความเป็นศัตรูต่อกันนั้นยังมี อยู่ที่จะทำไหม จะยอมลดละอัตตาตัวกูของกู กูแน่ กูถูก กันไหม แค่นั้นเอง
นี่ก็เท่ากับว่า ผมเองก็เป็นเพียง “ผู้ศึกษา” คนหนึ่ง พอๆ กับท่านผู้อ่านนี่แหละครับ หาใช่จะเป็นอาจารย์หรือผู้ชี้นำไม่
วันนี้ก็ขอจบการอภิปรายแต่เพียงเท่านี้นะครับ ก่อนจากกัน เอารูปข้าวแกงกะหรี่โคโรเกะ (มันฝรั่ง) เพิ่มผักทอด ร้าน CURRY CRAFT แถวหลังกองบิน (ร้านอยู่ในซอยได้แบบ อะไรวะ มาเล่นบีเจเจที่ยิมเป็นปีๆ เพิ่งรู้ถึงการมีอยู่ของร้านนี้เอาตอนนี้เนี่ยนะ) มาให้ดูกันครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (67) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเก้า สิ่งที่เรียกว่า เสียงทั้งสาม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (66) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบแปด สิ่งที่เรียกว่า การทำให้ลน
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (65) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการแตะมุม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (64) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบหก สิ่งที่เรียกว่าการฉาบ
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (63) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบห้า สิ่งที่เรียกว่า การทำให้หวั่นกลัว
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (68) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบ สิ่งที่เรียกว่า การกลืนหาย