วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (67) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเก้า สิ่งที่เรียกว่า เสียงทั้งสาม
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมแล้วนะครับ คิดว่าประเดี๋ยวพอลงต้นฉบับนี่ก็ วันที่ ๑๓ ละ ประเดี๋ยววันที่ ๑๔ ก็จะเป็นวันเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ ผมคงไม่อาจพูดอะไรออกสื่อมากได้ ถึงจะมีชุดความคิดของตัวเองค่อนข้างชัดเจนก็ตาม แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อเพื่อเตือนใจท่านผู้อ่านนั้น ผมขอยกบางข้อของ “วิถีเดินเดี่ยว” ของมูซาชิ มาให้ท่านผู้อ่านได้เตือนใจอีกครั้งนะครับ
一 世々の道をそむく事なし (โยะโยะ โนะ มิจิ โวะ โซมุคุ โคโตะ นาชิ)
ไม่ขวางวิถีของโลกๆ
一 よろす尓依怙の心なし (โยโรสุ นิ เอโคะ โนะ โคโคโร นาชิ)
อย่ามีใจลำเอียง ไปพึ่งพิงอิงกับอะไร
一 身をあさく思世をふかく思ふ (มิ โวะ อะสะคุ โอโมอิ โยะ โวะ ฟุคาคุ โอโมฮุ)
คิดถึงตัวเองให้ตื้น คิดถึงโลกให้ลึก
ที่ผมต้องย้ำเตือน ก็เพราะว่า ผมคิดว่าการเลือกตั้งคราวนี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ใครจะได้เป็นผู้แทน ใครจะได้เสียงข้างมาก ใครจะเป็นนายกฯ แค่นั้นหรอกครับ “ความคิดทางสังคม” นั้น มันมีพลังยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง (ประวัติศาสตร์เคยมีมาหลายครั้งในหลายที่) ซึ่งแน่นอน ทำให้ประเทศนั้นไม่เหมือนเดิมแน่ แต่จะไม่เหมือนเดิมในทางเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม หรือลงเหวขนาดสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินนั้น ก็ขอให้ตรองดูเอง ยูเครนเคยมีกระแสเสรีนิยม ไม่เอารัสเซีย นำไปสู่การเลือก ปธน. คนใหม่ แล้วยูเครน ก็เป็นอย่างที่เห็น ถ้าเราคนไทย คิดถึงคนในครอบครัว ที่บ้าน ผมมีลูกเล็กสองคน ผมก็ไม่อยากให้เขาโตมาแล้วพบว่า เขาไม่มีประเทศจะอยู่ ต้องหนีกระสุนปืนหนีระเบิด หรอกนะครับ
ทำไมผมต้องเอาสามข้อมาพูด? เพราะกระแสสังคมสมัยนี้ มันกำลังชักจูงผู้คนให้
- คิดแต่จะเปลี่ยนแปลง ล้มล้าง ถอนรากถอนโคน ประเพณี บรรทัดฐาน ค่านิยมที่เคยมีมา
- มีใจลำเอียงเสมอ เกลียดคนนั้น ก็เลยต้องไปรักไปหนุนคนนี้ที่มันอยู่ตรงข้ามกัน (ซึ่งดีกว่าจริงไหม ไม่รู้)
- คิดแต่ความอยากได้อยากมี “ของตัวเอง” เป็นที่ตั้ง แต่ขาดสำนึกในองค์รวมว่า ถ้าคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ ไปเปลี่ยนแปลงนั่นนี่แบบนี้ ครอบครัวจะเป็นไง สังคมจะเป็นไง ประเทศชาติจะเป็นไง โดยเฉพาะพวกที่จิตสำนึกมีแต่อยากจะรับ อยากจะได้ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องให้อะไรแก่สังคมหรือส่วนรวมบ้าง หรือสิ่งที่คุณอยากได้ คิดว่าดีน่ะ มันจะสร้างผลเสียอะไรให้สังคมหรือประเทศชาติบ้าง
สิ่งที่คุณแค่คิดว่า เข้าคูหา กาบัตร ไปตามอารมณ์ชอบหรือชังของคุณ มันอาจนำไปสู่การไม่มีแผ่นดินจะอยู่ในวันข้างหน้า ก็ได้นะครับ ขอจงคิดพินิจให้ดีๆ (ผมรู้นะกระแสสมัยนี้ชอบพูดคำว่า พลเมืองโลก ราวกับว่า ประเทศชาติ สัญชาติ ไม่ต้องมีก็ได้ จะไปอยู่ไหนก็ได้ ผมจะบอกว่า อคติในเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์น่ะ ไม่มีวันหายไปแบบ 100% หรอก ถ้าคิดว่าการเป็นพลเมืองโลกแล้วมันเท่ แล้วไม่ต้องมีสัญชาติ ประเทศชาติ ก็ได้ ผมก็ห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่ การเลือกของคุณ ไม่ได้มีผลแค่กับคุณคนเดียว คิดข้อนี้ให้ดีๆ ด้วย)
ท่านใดยังไม่เคยอ่าน “วิถีเดินเดี่ยว” มาอ่านกันได้นะครับ ที่นี่
ขออภัยที่อารัมภบทเยอะไปครับ มาเข้าเนื้อหากันดีกว่าครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
火の巻
คัมภีร์แห่งเตโช
一九 一 三ツの声と云事
สิบเก้า สิ่งที่เรียกว่า เสียงทั้งสาม
`三ツの声 `とは `初中後の声 `と云て `三ツにかけ分る事也 `所により声をかくると云事専也 `声はいきほひなるによつて火事などにもかけ風波にもかけ声は勢力を見するもの也 `大分の兵法にしても戦より初めにかくる声はいか程もかさをかけて声をかけ又戦ふ間の声は調子をひきて底より出る声にてかかり勝て後あとに大きに強くかくる是三ツの声也
ที่ว่า “เสียงทั้งสาม” คือการส่ง (เสียง) แยกออกเป็นสามอย่างที่เรียกว่า “เสียงของต้นกลางท้าย” สิ่งที่เรียกว่าการส่งเสียงตาม (ขณะ) ที่นั้นเป็นเรื่องใหญ่สำคัญ เสียงนั้นตามแต่พลัง แม้ในไฟไหม้เป็นต้นก็ส่งได้ แม้ในลมคลื่นก็ส่งได้ เสียงนั้นเป็นสิ่งสำแดงพลัง แม้ในพิชัยสงครามของส่วนใหญ่ เสียงที่ส่งตอนเริ่มต้นตั้งแต่การศึกนั้น ส่งเสียงดังไปเท่าไหร่ (ก็) ส่งเสียงไป อีกทั้ง เสียงในระหว่างการศึกนั้น ลดทำนองต่ำลง ส่งเสียงออกจากก้นบึ้ง หลังชนะจึงส่งเสียงดังๆ แรงๆ นี้คือเสียงทั้งสาม
`又一分の兵法にしても敵をうごかさん為打と見せて頭より `ゑい `と声をかけ声の跡より太刀を打出すもの也 `亦敵を打て跡に声をかくる事勝を知らする声也 `是を `先後の声 `と云 `太刀と一度に大きに声をかくる事なし `若戦の内にかくるは拍子にのる声ひきてかくるなり `能々吟味有べし
อนึ่ง แม้ในพิชัยสงครามของส่วนเดียว เพื่อทำศัตรูให้ขยับ ทำให้เห็นว่าจะตีแล้ว เปล่งเสียง “เอ้” มาแต่หัว แล้วจึงตีออกทะจิจากหลังเสียง ยังมี การส่งเสียงหลังจากตีศัตรูแล้ว เป็นเสียงที่ให้รู้ว่าชนะ นี้เรียกว่า “เสียงของก่อนหลัง” ไม่มีการเปล่งเสียงดังทีเดียวกับทะจิ หากแม้นส่ง (เสียง) ในขณะของการศึกนั้น จะลดเสียงต่ำลงส่งเสียงไปตามจังหวะ ควรคิดพินิจให้ดีๆ
การตีความและอภิปราย
ในเคนโด้นั้น จากที่เคยเห็นมา เวลาซ้อมเขาระเบิดเสียงตอนตีกันดังมาก
…แต่ในบีเจเจ ห้ามส่งเสียงใส่กันนะครับ เวลาอยู่บนเบาะ…
…แล้วจะตีความอย่างไรล่ะในบริบทของบีเจเจ?…
ผมตีความว่า “การส่งเสียง” ในที่นี้ คือการ “ใส่แรง ออกแรง” ครับ
หากเราตีความ “ต้นกลางท้าย” ในการประลองต่อสู้ในบริบทบีเจเจ ก็จะได้เป็น
ช่วงที่เล่นเกมเทคดาวน์กัน คือ “ต้น”
ช่วงที่เล่นเกมผ่านการ์ด เข้าท่านอนปล้ำกัน คือ “กลาง”
ช่วงที่เข้าท่าเตรียมทำซับมิชชั่นแล้ว คือ “ท้าย”
ตอนจะเข้าเทคดาวน์ ทำไงก็ได้ให้คู่ต่อสู้ลงพื้นไป
ตอนเข้าปล้ำกัน ต้องใช้แรงระเบิดให้น้อยลง รักษาระดับพลังให้พอควบคุมคู่ต่อสู้ได้แบบที่ไม่ผลาญแรงตูมๆ จนตัวเองหมดแรงไปก่อน ถ้าเป็นฝ่ายโดนกด ก็ต้องคอยหาช่องจะหนีออกไปหรือ sweep เปลี่ยนล่างเป็นบน
พอเข้าท่าจับล็อค พร้อมซับมิชชั่นแล้ว ให้ใส่กำลังให้มากพอจะทำให้ท่าซับมิชชั่นนั้นสมบูรณ์
จากประสบการณ์ระยะนี้ที่สังเกตน้องๆ สายขาวที่แบบก็อายุน้อยกว่าผมกันทั้งนั้น อายุไม่เกินเลขสอง บางคนเป็นนักกีฬามาก่อน เล่นรักบี้ เรื่องรูปร่าง กำลังกาย ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่การที่หลายครั้ง พอฟรีสแปริ่งแล้ว หอบแฮ่กๆ กันขนาดว่า ผมชวนเล่น ยังโบกมือไม่เอาเลย ไม่ไหวแหล่ว ถามว่า ผมมีแรงมากกว่าพวกเขาหรือเปล่า? ผมว่าไม่ คนอายุ 46 อีกสี่ปีห้าสิบเนี่ยนะ มันฟังดูผิดสามัญสำนึก ใช่ไหมล่ะ ถ้าระดับพลังวัดปริมาณได้ ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะมี “ปริมาณ” มากกว่าผมนะ แต่พวกเขาใช้พลังแบบหมดไปอย่างรวดเร็วแบบที่ว่าถ้าเป็นรถยนต์ก็ซดน้ำมันโฮกๆ หลายครั้งที่พวกเขาจับผมกดได้ แต่ผมก็จะฉวยจังหวะหนีออกมา แล้วเล่นการ์ด ตอดพลังอีกฝ่ายให้หมดเปลืองไปเรื่อยๆ กับการพยายามเอาตัวเองออก ไม่ว่าจะจบยกแบบไหน ซับมิชชั่นกันได้หรือไม่ได้เพราะหมดเวลาก่อน พวกเขาจะแบบ โอย เหนื่อยมากๆ ไม่ใช่ผมไม่เหนื่อยนะ แต่ผมยังพอประทังสภาพได้เท่านั้นเอง ผมมองว่าในการฝึก ถ้าเรายิ่งรักษาพลังกายไว้ให้แบบ แบตอึด แบตทน เท่าไหร่ เราก็จะซ้อมต่อเนื่องได้มากขึ้น แล้วทักษะของเราก็จะสะสมไปได้มากขึ้นไปอีก
พูดถึงเรื่องการใช้แรงแล้ว อีกเรื่องที่คิดว่าควรพูดไปด้วยเลยทีเดียวก็คือเรื่องการฟื้นฟูสภาพตัวเอง เอาจริงๆ ผมเล่นทุกเย็นๆ น่ะ กลับไป พอนอนตื่นเช้าก็เมื่อยกล้ามเนื้อเหมือนกัน แต่ผมอาศัยการกินน้ำเปล่าให้มากๆ ฉี่ออกแล้วมันก็คลายไป บางทีถ้าฉี่บ่อยแล้วเพลียก็กินพวกน้ำเกลือแร่ เครื่องดื่มเกลือแร่ช่วย (วิธีฉุกเฉิน) ส่วนการแก้ความขี้เกียจก่อนไปซ้อมก็คือ ก่อนซ้อมก็กินอะไรพอให้แบบ “สบายใจว่าได้กิน” ในการทำงานระหว่างวันก็ พยายามสงวนพลังงาน พูดให้น้อย (หลังๆ ผมมองว่า การพูดคิดทำ เรื่องที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิต เช่นการซุบซิบดารา เมาท์เรื่องละคร อะไรเทือกนี้ เป็นการผลาญพลังงานโดยเปล่าประโยชน์)
พูดเรื่องกินๆ ผมขอปิดท้ายวันนี้ด้วยการยกบางตอนจากหนังสือเล่มเดิมของ Chris Wojcik ครับ
That doesn’t mean you can’t ever eat pizza, it just means eating pizza less frequently is probably a good idea.
นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณกินพิซซ่าไม่ได้เลย แต่หมายความว่าการกินพิซซ่าให้น้อยลงน่าจะเป็นความคิดที่ดี
If you eat nutrient-dense food, you will feel better. If you eat crappy food, you will feel crappy.
ถ้าคุณกินอาหารที่ที่แน่นไปด้วยสารอาหาร คุณจะรู้สึกดีขึ้น ถ้าคุณกินอาหารเส็งเคร็ง คุณจะรู้สึกเส็งเคร็ง
Oh, also, sugar is kind of a drug[2]. You kind of have to think about processed sugar the way you would think about weed or alcohol.
อ้อ อีกอย่าง น้ำตาลก็เป็นยาเสพติดอย่างหนึ่งด้วย[2] คุณต้องนึกถึงน้ำตาลแปรรูปเหมือนที่คุณนึกถึงกัญชาหรือแอลกอฮอล์
You can enjoy it from time to time, but if you eat too much sugar (or smoke or drink too much), you will get addicted. I’m convinced that people who say you can’t get addicted to weed are lying, and I know for a fact that alcoholism is a real disease.
คุณอาจเพลิดเพลินได้เป็นครั้งคราว แต่ถ้าคุณกินน้ำตาลมากเกินไป (หรือสูบหรือดื่มมากเกินไป) คุณจะเสพติดได้ ผมเชื่อว่าคนที่บอกว่า คุณไม่ติดกัญชาหรอก น่ะ กำลังโกหก และผมรู้ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าโรคพิษสุราเรื้อรังเป็นโรคอย่างหนึ่งจริงๆ
ฝากไว้สำหรับ “หนุ่มๆ” ทั้งหลายด้วยนะครับ (ฮา) ผมน่ะชั่วโมงนี้เบียร์กระป๋องเดียวก็แย่แล้ว 555 อ้อ ตอนนี้ ใกล้จะไปแข่ง AFG แล้ว ว่าจะงดเบียร์จนกว่าจะแข่ง (คุมน้ำหนัก)
ปิดท้ายด้วยภาพ “ข้าวแกงกะหรี่เนื้อแฺฮมเบอร์เกอร์รสลาบเมือง” ร้าน YADAIWA แถวเจ็ดยอด คือเมื่อเดือนเมษายนผมหาเรื่องกินข้าวแกงกะหรี่ไปเรื่อยๆ น่ะครับ (ฮา) ร้านนี้จุดเด่นคือ กินข้าวแกงกะหรี่แกล้มเบียร์ได้ ก็ จัดไป โคโรน่า 555 ดื่มพอให้ชื่นใจ (แต่ตอนที่เขียนตอนนี้ ของดเบียร์นะ)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (66) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบแปด สิ่งที่เรียกว่า การทำให้ลน
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (65) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการแตะมุม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (64) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบหก สิ่งที่เรียกว่าการฉาบ
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (63) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบห้า สิ่งที่เรียกว่า การทำให้หวั่นกลัว
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (62) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบสี่ สิ่งที่เรียกว่าการทำให้จิตขัดข้อง
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (67) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเก้า สิ่งที่เรียกว่า เสียงทั้งสาม