วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (3) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งพิชัยสงคราม
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน มาถึงปลายเดือนมกราคมกันแล้วนะครับ ที่ผ่านมาเหตุการณ์ “หมูแพง” นั้น ทำให้ผมโกรธมากถึงขนาดบอกเมียว่าผมจะเลิกกินหมูละ และจะพยายามกินมังสวิรัติให้ได้มากขึ้นในปีนี้ (อย่างแย่ก็เป็น pescatarian คือไม่กินหมูไก่เนื้อ กินแค่พวกปลาหรือกุ้ง คล้ายคนญี่ปุ่นสมัยก่อน)
ไม่ได้โกรธว่าหมูแพงไม่มีเงินซื้อกิน แต่โกรธสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ได้รู้สึกถึงความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ที่น่ารังเกียจของคนบางกลุ่ม ทั้งการปกปิดข้อมูลข่าวสารก็ดี การกินรวบทั้งห่วงโซ่อุปทานของทุนนิยมสามานย์ก็ดี สร้างความโกรธแค้นให้ผมมากจนคิดว่า ถ้าคิดจะเอาความอยากกินหมูของผู้คนมาเป็นตัวประกัน ว่าแพงยังไงพวกมึงก็ต้องซื้อกิน และพวกมึงต้องง้อกู 555 งั้นก็ล้มกระดานแม่งเลยดีกว่า ผมคิดอย่างนี้
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มคิดว่าผมควรจะเลิกกินเนื้อนมไข่ ก็มาจากการที่ผมได้ดูหนังสารคดีเรื่อง The Game Changers ซึ่งเปิดมาพระเอกของเรื่องคืออดีตนักมวย UFC ว้าว ไม่พูดเยอะละ เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้มันโดนใจผม เพราะมันให้คำตอบกับผมว่า “ถ้าเอ็งอยากจะรักษาสมรรถนะร่างกายให้สามารถเล่นบีเจเจไปได้ยันแก่ เอ็งจงเลิกกินเนื้อนมไข่ แล้วหันมากินอาหารจากพืชซะ” นั่นแหละครับ 555
โม้นอกเรื่องเยอะแล้ว เข้าสู่เนื้อหาของวันนี้กันเลยดีกว่าครับ (ฮา)
คำแปลข้อความต้นฉบับ
地の巻
คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน)
二 一 兵法の道と云事
สอง สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งพิชัยสงคราม
`漢土和朝迄も此道を行なふ者を `兵法の達者 `と云伝へたり `武士として此法を学ばずと云事有べからず
แม้จนถึงแผ่นดินฮั่น (จีน) และแดนวะ (ญี่ปุ่น) นั้น เรียกสืบต่อกันมาซึ่งผู้ปฏิบัติซึ่งวิถีนี้ว่า “ผู้บรรลุพิชัยสงคราม” เรื่องที่ว่า (คน) เป็นนักรบแล้วไม่ศึกษาซึ่งหลักนี้ หามีไม่
`近代 `兵法者 `と云て世を渡る者是は剣術一通の事也 `常陸国かしまかんとりの社人共 `明神の伝へとして流々をたてて国々を回り人に伝ふる事近き頃の儀也 `古しへより十能七芸と有うちに `利方 `と云て芸にわたると云へ共 `利方 `と云出すより剣術一通にかぎるべからず `剣術一へんの利までにては剣術も知りがたし `勿論兵の法には叶べからず
สมัยหลังมานี้ ผู้ที่ข้ามโลก (แผลงเป็น “หากินเลี้ยงชีพ”) ที่เรียกว่า “นักพิชัยสงคราม” นั้น มักหมายถึงวิชาดาบเพียงถ่ายเดียว ระยะหลังมานี้ มีคติที่ว่า บรรดาคนรับใช้ศาลเจ้าคาชิมะ (かしま=鹿島) แคว้นฮิตาจิ (常陸国) แล (ศาลเจ้า) คันโทริ (かんとり=香取) นั้น “อาศัยว่ามีเทพยดาปรากฎตัวลงมาถ่ายทอด (วิชา) จึงได้ตั้งสายสำนักต่างๆ เวียนไปในแว่นแคว้นต่างๆ ถ่ายทอด (วิชา) ให้แก่ผู้คน” แต่ครั้งโบราณกาลมา ในหมู่ศิลปวิทยาสิบแขนงนั้น แม้มีสิ่งที่เรียกว่า “หลักที่มีประโยชน์” (ริคาตะ 利方) ที่กินความถึงศิลปะก็ตาม “หลักที่มีประโยชน์” ที่ว่านี้ จะจำกัดแค่วิชาดาบถ่ายเดียวก็หาไม่ (ดังนั้น) จะอาศัยแต่ความดีของวิชาดาบเพียงอย่างเดียว แม้วิชาดาบยังรู้ได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า หาคู่ควรกับพิชัยสงครามไม่
`世の中を見るに諸芸をうり物にしたて我身をうり物のやうに思ひ諸道具につけてもうり物にこしらへる心花実の二ツにして花よりも実のすくなき所也 `とりわき此兵法の道に色をかざり花をさかせて術をてらひ或は `一道場 `或は `二道場 `など云て此道を教へ此道を習ひて `利を得ん `と思ふ事誰か云ふ `なまひやうはふ大疵のもと `まこと成べし
มองดูโลกแล้ว การคิดเอาศิลปะต่างๆ มาเป็นของขาย เอาตัวเองเป็นของขาย กระทั่งเอาเครื่องมือต่างๆ มาเป็นของขาย การมีจิตคิดแต่ประดับประดาให้ดูดีเพื่ออวดคนนั้น เหมือนถือว่ามีของอยู่สองอย่างคือดอกกับผล ซึ่งผลมีน้อยกว่าดอก โดยเฉพาะในวิถีแห่งพิชัยสงครามนี้ (คนที่) แสร้งทำท่าว่ามีวิชา แต่งสี เร่งดอกให้บาน หรือการพูดว่า “โรงฝึกหนึ่ง” หรือ “โรงฝึกสอง” สอนวิถีนี้ เรียนวิถีนี้ (โดย) คิดอยากเอาผลประโยชน์นั้น ที่ใครเขาพูดว่า “พิชัยสงครามที่ยังดิบ (คือไม่สุก) นั้นเป็นบ่อเกิดของแผลใหญ่” ก็น่าเป็นเช่นนั้นจริง
`凡人の世を渡る事士農工商とて四ツの道也 `一ツには農の道 `農人は色々の農具を設け四季転変の心得いとまなくして春秋を送る事是農の道也 `二ツにはあきなひの道 `酒を作るものは夫々の道具をもとめ其善悪の利を得て渡世をおくるいづれもあきなひの道 `其身其身のかせぎ其利を以て世を渡る也是商の道 `三ツには士の道 `武士に於てはさまざまの兵具をこしらへ兵具しなじなの徳を弁へたらんこそ武士の道なるべけれ `兵具をもたしなまず其具々の利をも覚ざる事武家は少々たしなみのあさきもの歟 `四ツには工の道 `大工の道に於ては種々様々の道具をたくみこしらへ其具々を能つかひ覚えすみかねを以て其さしづをただしいとまもなくそのわざをして世を渡る是士農工商四ツの道也
การข้ามโลก (หากินเลี้ยงชีพ) ของปุถุชนนั้นมีวิถีอยู่สี่อย่าง คือ นักรบ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า (士農工商 ชิโนโคโช) หนึ่งคือวิถีของการทำนา ชาวนาตระเตรียมเครื่องมือทำนา รู้ถึงการเปลี่ยนผันสี่ฤดู ให้มันผ่านปีไปไม่เว้นว่าง นี่แหละคือวิถีแห่งชาวนา สองคือวิถีแห่งการค้าขาย จะทำเหล้าก็ต้องพึ่งพาอาศัยเครื่องมือต่างๆ นานา ได้กำไรจากดีชั่วตรงนั้น หากินเลี้ยงชีพไปได้ เป็นวิถีแห่งการค้าขาย สามคือวิถีของนักรบ นักรบนั้น จัดสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รู้ซึ้งถึงความดีของอาวุธเป็นอย่างๆ นี่แหละถึงจะเป็นวิถีแห่งนักรบ นักรบที่ไม่ใฝ่ใจในอาวุธ ไม่จำได้หมายรู้ข้อดีของอาวุธต่างๆ นั้น ความรู้ความสำเร็จในวิชาก็จะตื้นเขินน้อยนิด สี่คือวิถีแห่งช่าง วิถีแห่งช่างไม้นั้น ต้องคิดประดิษฐ์จัดสร้างเครื่องมือต่างๆ มากมายหลายชนิด ใช้เครื่องมือพวกนั้นบ่อยๆ จนจำได้ อาศัยไม้ฉากดูว่าแบบแปลนนั้นถูกต้องไหม แล้วทำกิจนั้นไปไม่รอช้าหาเลี้ยงชีพ นี่แหละคือวิถีทั้้งสี่
`兵法を大工の道にたとへて云あらはす也 `大工にたとふる事 `家 `といふ事につけての儀也 `公家 武家 四家 其家のやぶれ 家のつづくと云事 `其流 `其風 `其家 `などと云へば `家 `と云より大工の道にたとへたり `大工 `は `大きにたくむ `と書なれば兵法の道 `大きなるたくみ `によつて大工に云なぞらへて書顕す也
จะกล่าวให้เห็นโดยยกตัวอย่างเปรียบพิชัยสงครามกับช่างไม้ การยกตัวอย่างเปรียบกับช่างไม้นั้น สาระอยู่ที่การเอาไปผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า “บ้าน” สิ่งที่เรียกว่า บ้านข้าราชสำนัก บ้านนักรบ บ้านทั้งสี่ (四家 ชิเคะ หมายถึงบ้านทั้งสี่ของสกุลฟูจิวาระ) การสิ้นสลาย การคงอยู่สืบไปของบ้าน หากจะพูดว่า “สายสำนักนั้น” “รูปแบบนั้น” “บ้านนั้น” พูดว่า “บ้าน” แล้วยกตัวอย่างเปรียบกับวิถีของช่างไม้ หากเขียนคำว่า “ช่างไม้” (ไดกุ 大工) แผลงเป็น “คิดประดิษฐ์ให้ใหญ” (โอคินิ ทาคุมุ 大きにたくむ(工む) ) แล้วละก็ วิถีแห่งพิชัยสงคราม ก็คงเขียนสำแดงโดยกล่าวเปรียบกับช่างไม้ได้โดยอาศัยคำว่า “คิดประดิษฐ์จนใหญ่” (โอคินารุทาคุมิ 大きなるたくみ) นั่นเอง
`兵の法を学ばんと思はば此書を思案して師ははり弟子は糸と成てたえず稽古有るべき事也
หากคิดจะศึกษาหลักแห่งพิชัยสงคราม จงขบคิดซึ่งหนังสือนี้ ถือเอาครูเป็นเข็ม ศิษย์เป็นด้าย ร่ำเรียนฝึกฝนอย่าได้ขาด
การตีความและอภิปราย
หากจะให้พูดถึงความประทับใจจากการอ่านเนื้อหาในตอนนี้ ประเด็นแรกที่ผมจะพูดถึงในเรื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิชาต่อสู้หรืออะไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องระลึกเสมออยู่ในใจก็คือ เราไม่สามารถที่จะเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้โดยอาศัยเพียงแค่การหมกมุ่นศึกษาเพียงแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวโดดๆ โดยไม่สนใจเรียนรู้สิ่งอื่นๆ บ้างเลย หากเราลองเปิดโลกทัศน์ ลองไปศึกษาสิ่งอื่นๆ ที่เราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน มันอาจจะมีอะไรมาสะกิดใจหรือได้ความรู้ใหม่ ที่เราอาจจะเอามาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ให้ดีขึ้นก็ได้ ก็เหมือนกับที่ผมเคยพูดถึงในรีวิวการ์ตูนเรื่อง “บะหมี่สาวจ้าวนักสู้” ที่ว่านางเอกของเรื่องนี้ไปฝึกมวยสากล เพื่อที่จะเอาฟุตเวิร์คอย่างมวยสากลมาประยุกต์ใช้ในการเข้าทำคู่ต่อสู้ในการแข่งยูโดนั่นแหละครับ
อย่างไรก็ดี หลายครั้งที่ปรากฏว่า ไม่ว่าจะในวงการวิชาต่อสู้ก็ดี หรือวงการวิชาการก็ดี หรือวงการอื่นๆ ก็ดี มักจะมีค่านิยมอย่างหนึ่ง ที่เป็นตัวขัดขวางไม่ให้คนเราคิดเปิดโลกทัศน์เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือไปจากสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ให้มันกว้างไกลออกไป นั่นก็คือการชอบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งค่ายแบ่งสำนัก ประมาณเหมือนในการ์ตูนเกี่ยวกับมวยจีนเรื่องหนึ่งน่ะครับ (ไม่บอกหรอกว่าเรื่องอะไร) ที่ว่าเรียนวิชาหมัดมวยสำนักไหนก็ต้องยึดติดอยู่กับสำนักของตนอาจารย์ของตน จนถึงกับว่าการดอดไปขอเรียนรู้วิชาของสำนักอื่นอาจารย์อื่นถึงจะแค่ท่าเดียวก็เถอะ นั้น อาจกลายเป็นเรื่องผิดบาปขนาดว่า ถ้าอาจารย์ของตนรู้เข้านี่ เอาตายเลย ซึ่งผมมองว่าทัศนะที่คับแคบและปิดกั้นอย่างนี้เนี่ย สาเหตุมันก็มาจากการที่คนเราน่ะชอบทำทุกอย่างให้มันเป็น “การตลาด” คือต้องมียี่ห้อ (ตั้งชื่อวิชาชื่อสำนัก) ต้องมีชื่อเสียงความเก่งกาจของเจ้าสำนักมาเป็นจุดขายเพื่อเรียกคนให้มาเป็นลูกศิษย์เยอะๆ จะได้มีลาภยศสักการะนั่นแหละครับ เรื่องนี้ก็จะเข้าสู่ประเด็นที่สองที่ผมจะขอพูดพอดี
ประเด็นที่สองที่ผมอยากจะพูดก็คือ มูซาชิมองออกถึงการมีอยู่ของ “การตลาด” ในวงการวิชาต่อสู้ (ถึงได้ใช้คำว่า เอามาเป็น “ของขาย” อุริโมโนะ うり物=売り物) ซึ่งถ้าเราหันกลับมามองสังคมสมัยนี้แล้ว เราจะพบว่ามีคนที่ชอบตั้งตัวเป็น “อาจารย์” เพื่อหวังผลทาง “การตลาด” อยู่เต็มไปหมดเลยไม่ต่างกัน มีตั้งแต่คนเอาคำนำหน้าชื่อว่า “ดอกเตอร์” มาเขียนหนังสือขาย ไปจนกระทั่งคนจำพวกใครก็ไม่รู้ไม่เคยมีโปรไฟล์ว่าประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งด้วยซ้ำแต่มาเขียนหนังสือใช้คำคมให้ฟังดูเท่ๆ โชว์หน้าตาขายภาพลักษณ์สร้างกระแสนิยมแล้วก็ตั้งตัวเองเป็น life coach ไม่นับพวกทรงเจ้าเข้าผี หมอดู เจ้าลัทธิบูชาอะไรแปลกๆ อีก การตลาดทั้งนั้น แล้วการตลาดมันไม่ดีตรงไหน? ก็การตลาดเนี่ย มันมาพร้อมกับการโฆษณาชวนเชื่อใช่ไหม? ของฉันดีที่สุด ของคนอื่นไม่ดีเท่าหรอก (หรือไม่ก็เลวไปเลย) เพื่อจะได้จูงจมูกผูกขาด แล้วพอมีลูกศิษย์ลูกหา (ลูกค้า) มีคนมาขึ้นเยอะๆ ก็จะได้โด่งดังร่ำรวยขึ้นไปอีกๆ…
…พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็คิดได้ว่า เพราะมูซาชิไม่มีอาจารย์ ไม่มีสำนักนี่แหละ ถึงได้พัฒนาความสามารถของตัวเองได้ โดยไม่มีกรอบประเพณี ค่านิยมอะไรต่างๆ ซึ่งล้วนมีที่มาจาก “การตลาด” มาครอบหัวตัวเอง เพราะฉะนั้น มูซาชิจึงมีอิสระที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ แบบครูพักลักจําจากที่ไหนก็ได้ แล้วค่อยเลือกสรรเอาสิ่งที่เหมาะสมเข้ากับตัวเอง เอามาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ โดยที่ไม่ต้องฝืนตัวเองมานั่งหัดทำอะไรที่มันไม่ถนัดหรือไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเอง เพียงเพราะว่ามันเป็นวิชาที่อยู่ในหลักสูตรของสำนักหรือโรงเรียน!
เพราะฉะนั้นเรื่องจริงเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า หากต้องการพัฒนาความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เต็มศักยภาพละก็ จงเรียนรู้แบบมองโลกให้กว้างๆ ว่าโลกนี้มีอะไรบ้าง แล้วค่อยเลือกสรรสิ่งต่างๆ เอาเท่าที่เหมาะกับตัวเราเอง อย่าตกเป็นทาสของ “การตลาด” จำพวกที่ชอบเรียกร้อง “ความภักดีต่อแบรนด์” แบบไม่ลืมหูลืมตา หรือพวกที่ “ขายภาพลักษณ์แต่เนื้อในหามีไม่ (ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง)” เลยครับ
อีกเรื่องที่อยากให้ท่านผู้อ่านเอาไปคิดก็คือ ความรู้ที่ครึ่งๆ กลางๆ นั้นอันตรายยิ่งกว่าความไม่รู้อะไรเลยเสียอีก (“พิชัยสงครามที่ยังดิบ (คือไม่สุก) นั้นเป็นบ่อเกิดของแผลใหญ่”) เพราะ “การตลาด” เนี่ย บางครั้งก็อาศัยประโยชน์จากความรู้ที่ครึ่งๆ กลางๆ นี่แหละ โดยเฉพาะการป่าวร้องโฆษณาแต่สรรพคุณ อวดแต่ด้านดี แต่ปกปิดไม่พูดด้านเสีย สร้างความเข้าใจให้แก่ผู้บริโภค (ลูกค้า) หลงคิดไปว่าฉันได้เลือกดีแล้ว สิ่งนี้มันดีต่อฉันแน่นอน รู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เลือกผิดชีวิตผู้บริโภคก็พังไป ส่วนคนขายก็ขายของได้เงินไปแล้วจะมาสนใจอะไร?
ผมขอให้ท่านผู้อ่าน ระลึกถึงข้อนี้ แล้วเอามันมาใช้ในทุกเรื่องในชีวิต ย้ำว่า “ทุกเรื่อง” เลยนะครับ ชีวิตในยุคนี้อะไรที่คุณเลือกผิด คิดผิด ด้วยความรู้ไม่จริงรู้ไม่รอบ ฟังแต่ข่าวสารด้านเดียวนั้น มันอาจฆ่าคุณได้เลยนะครับ ที่เรามาศึกษาวิถีแห่งพิชัยสงครามของมูซาชินั้นก็เพื่อให้รู้หลักการวิธีการที่จะเอาตัวให้รอด ในยุคโควิดเช่นนี้นะครับ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมได้คิดเมื่อได้อ่านตอนนี้ก็คือ คนเรานั้น ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรฐานะสูงต่ำอย่างไร ก็ต้องทำสิ่งต่างๆ ให้ดีไปตามอาชีพของตน ในยุคเอโดะนั้นเขาแบ่งคนออกเป็นสี่ชนชั้นคือ นักรบ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า (士農工商 ชิโนโคโช) โดยยกอาชีพนักรบเป็นของสูงเพราะรับใช้นาย ชาวนากับช่างฝีมือก็รองลงมาแต่ก็ยังถือว่าเป็นชนชั้นที่ “สร้างผลผลิตที่จับต้องได้” แต่เหยียดว่าอาชีพพ่อค้าเป็นของต่ำเพราะหากินอยู่กับการเอากำไร แต่ก็นั่นแหละครับ อาชีพจะสูงหรือต่ำนั้นมันก็แค่ค่านิยมที่ถูกสร้างขึ้นมา (เพื่อหวังผลทางการปกครอง การสร้างระบบสังคมให้เป็นไปตามใจชนชั้นปกครอง) แต่เนื้อแท้ที่ว่าไม่ว่าอาชีพไหนก็ต้องทำสิ่งต่างๆ ให้ดีไปตามอาชีพของตนนั้น หาได้ต่างกันไม่
สมัยก่อนตอนเด็กๆ เวลาที่มีใครทำอะไรแล้วเลินเล่อ บกพร่อง ผิดพลาด หรือไม่มีมารยาท ไม่..ฯลฯ ผมมักได้ยินผู้ใหญ่บางคนพูดว่า อย่าไปถือสาเลย ถ้าเขาฉลาดหรือเรียนสูงเขาคงไม่ต้องมาเป็น….(เด็กเสิร์ฟ/ภารโรง/คนขับแท็กซี่ ฯลฯ) ผมไม่เคยรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดแบบนี้เลย เพราะผมคิดว่า ต่อให้เป็นเด็กเสิร์ฟ หรือภารโรง หรืออะไรก็ตาม เขาก็ควรจะทำสิ่งต่างๆ ให้ดี “ตามอาชีพของตน” การไม่ฉลาด เรียนมาน้อย ไม่ได้เป็นเหตุผลหรือข้อแก้ตัวที่ว่า เขาจะทำอะไรชุ่ยๆ ก็ได้ เช่นจดออเดอร์ผิดทำของมาให้ผิดแล้วก็ไม่ขอโทษ (แถมทำท่าว่า มึงอย่าเรื่องมาก กินๆ ไปเถอะ) หรือจะใช้กิริยาวาจาไม่สุภาพกับลูกค้าหรือผู้มารับบริการก็ได้ หรือจะไม่ซื่อสัตย์ก็ได้ (เช่นโกงมิเตอร์) ผมว่าทัศนคติของผู้ใหญ่ในเมืองไทยที่ว่า “อย่าไปถือสามันเลย…” เนี่ย มันทำให้คนขาดความใส่ใจที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง ผลลัพธ์ของทัศนคติอย่างนี้สร้างสังคมแบบไหนขึ้นมาก็ มองไปรอบๆ แล้วก็คิดเอาเองละกันครับท่านผู้อ่าน
ส่วนเนื้อหาที่ว่า “ยกตัวอย่างเปรียบพิชัยสงครามกับช่างไม้” นั้น ผมจะได้พรรณนาอย่างละเอียดอีกที (พร้อมกับคำแปลท่อนต่อไป) ในตอนหน้านะครับ อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ
พักสมอง มานั่งจิบน้ำชายามบ่ายวันอาทิตย์หน่อยเป็นไรครับ แต่ออกจะเป็นการจิบน้ำชาที่มีของกินแกล้มเยอะไปหน่อยนะ (ฮา)
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (2) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): บทนำ
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (1) บทนำ
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (ตอนพิเศษ) เพื่อนของผม ดาบของผม และการไล่ตามความฝันในวิชาดาบอีกครั้งของเพื่อนผมในวัย 45 ปี!!!
– Free Talk ต้อนรับปีใหม่ 2565 จากใจคน Gen X ที่โตมากับยุค JAPAN BOOM!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (12) ถึงทุกสิ่งล้วนเป็น “อนิจจัง” (มุโจ 無常) ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (3) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งพิชัยสงคราม