สมัยอยู่ญี่ปุ่นก็อยู่กันคนละเมือง แถมอายุก็ห่างกันมาก แต่พวกเราชาวมงฯ (Monbukagakusho Scholarship ปริญญาตรีนะ) สนิทกันมาก และเราก็รู้สึกคลิกกันด้วย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีที่มาที่ไปดังต่อไปนี้ค่ะ…..
ช่วงหยุดยาวที่ผ่านมานี้ ดิฉันมีความสุขมาก เพราะรุ่นพี่รุ่นน้องมงบุโช (Monbukagakusho Scholarship) ทั้งหลายมารวมตัวกันทานข้าวเม้าท์มอยกัน ครั้งนี้มีกันสิบชีวิต พอทานข้าวเที่ยงเสร็จ ก็ยกโขยงกันมาเล่นบอร์ดเกมที่ห้องดิฉันต่อ น้องที่อายุน้อยสุด อายุ 22 ปี ส่วนอายุมากสุดคือ 33 ปี หัวข้อก็จะวนเวียนเรื่องชีวิตแต่ละคน การงาน ความรัก คุยไปคุยมาจะเริ่มเลยไปเรื่องอานิเมะ มังงะ (=การ์ตูน) เกมไหวพริบเชาวน์ปัญญา โอ๊ย สารพัด…

สมัยอยู่ญี่ปุ่นก็อยู่กันคนละเมือง แถมอายุก็ห่างกันมาก แต่พวกเราชาวมงฯ (ปริญญาตรีนะ) สนิทกันมาก และเราก็รู้สึกคลิกกันด้วย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีที่มาที่ไปดังต่อไปนี้ค่ะ…..
1. ชีวิตเด็กปีศูนย์
“ปีศูนย์” เป็นศัพท์ที่เด็กมงฯ เรียกน้องใหม่ที่เพิ่งจบม.ปลายมาหมาดๆ แล้วมาเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อที่นี่ เด็กปีศูนย์จะถูกส่งไปเรียนภาษาที่โตเกียวหรือโอซาก้า มีแค่ 2 ที่นี้เท่านั้นค่ะ ใครจะถูกส่งไปที่ไหนเพราะอะไรนั้น….ยังเป็นปริศนาอยู่จนบัดนี้ ว่ากันว่าตอนสัมภาษณ์ ถ้าใครดูถึกๆ ลุยๆ หน่อย ก็จะถูกส่งไปโอซาก้า เพราะมหาลัยและหอพักมันอยู่บนเขา ต้องเดินขึ้นลงเขาประจำๆ ตัวดิฉันเองก็ถูกส่งไปอยู่โอซาก้า สาวขาวหมวยร่างเล็กก็พัฒนาเป็นสาวหน้าบานน่องใหญ่ภายในปีเดียว เพราะต้องเดินแบกข้าวสารขึ้นดอย พอใช้แรงเยอะ ก็ทานเยอะ หน้าก็เลยบาน น่องก็เลยใหญ่ด้วยประการฉะนี้ (จริงๆ รถเมล์ขึ้นเขาก็มี แต่มีน้อยคัน และดิฉันอยากประหยัดค่ารถ ไม่ได้นึกถึง cost อย่างอื่นที่ตัวเองต้องสูญเสียเล้ย)
ช่วงที่ไปแรกๆ จะเป็นช่วงที่พี่ๆ “เห่อน้อง” ค่ะ พี่ๆ ทุนมงฯ (ป.ตรี) ทั้งหลาย จะแวะเวียนกันขึ้นหอไปเล่นกับน้อง ถ้าเป็นวันธรรมดา พอน้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเสร็จ ก็พาไปซื้อของกินของใช้บ้าง ไปทานข้าวบ้าง แวะไปเล่นเกมกันต่อที่หอน้องบ้าง หนักๆ เข้าก็ค้างหอน้องเลย ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ กัน น้องน้อยที่ยังไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น จึงเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือพี่ๆ พี่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด….เอ้ย….ลูกไก่น้องๆ ก็ต้องเดินตามพี่ๆ ต้อยๆ ไปที่โน่นที่นี่ ประเทศนี้ ถ้าไม่ได้ภาษาญี่ปุ่น จะใช้ชีวิตลำบากจริงๆ ค่ะ
แม้เวลาจะผ่านมานับสิบปี แต่บทเรียนชีวิตจากรุ่นพี่ 2 บทที่ดิฉันจำได้ดีมาก คือ ….
“ไข่ไก่ที่นี่มี 2 สี สีขาวกับสีน้ำตาล สีขาวไม่ใช่ไข่เป็ดและราคาถูกกว่า จงเลือกซื้อแต่แบบนี้”
“จานชาม ไปซื้อร้านร้อยเยนเอา ถูกมาก คุณภาพดีมาก ใช้ได้เป็นปกติ แต่พวกหม้อกระทะ เอ็งห้ามซื้อ ต้มไปนานๆ ไฟไหม้กระทะทะลุ”
ถ้าวันนั้นพี่ไม่เตือนหนู หนูอาจโง่ซื้อไข่แพงและไฟไหม้ห้องก็ได้ ขอกราบขอบคุณรุ่นพี่ผู้น่ารักมา ณ ที่นี้ค่ะ
2. อภิสิทธิ์เด็กปีศูนย์
ธรรมเนียมของชาวมงฯ คือ รุ่นพี่ปี 1 ต้องเลี้ยงข้าวน้องปี 0 ตลอด 1 เดือนกว่าจนถึง Golden Week (คืออะไร…รอหัวข้อถัดไปนะคะ) เพราะฉะนั้นเวลาพี่ๆ พาน้องไปเที่ยวที่ไหน ทานข้าวเย็นอะไร พี่ๆ ก็จะจ่ายให้หมด มีครั้งหนึ่งพี่ๆ พาพวกดิฉันไปทานซูชิหมุน (ซึ่งราคาถูก จานละ 100 เยน) พี่ผู้ใจดีบอกว่าทานเต็มที่เลยน้อง ดิฉันจัดไป 18 จาน ทำเอาพี่ๆ น้ำตาร่วงไปเหมือนกัน เด็กกำลังโตค่ะพี่….
มรดกที่พวกเราได้จากรุ่นพี่ คือ อุปกรณ์ยังชีพ แบ่งเป็นอุปกรณ์ยังชีพทางปากท้อง ได้แก่ เซ็ทเครื่องครัว จำพวกกระทะ ตะหลิว ตะเกียบ หม้อ จานชาม หม้อหุงข้าว ซึ่งเป็นประโยชน์มาก มาถึงหอปุ๊บ สามารถต้มมาม่ากินได้เลย อุปกรณ์อีกอย่าง ได้แก่ อุปกรณ์ยังชีพทางสมอง เช่น ตำราเรียนภาษา ข้อสอบเก่าวิชาต่างๆ สมุดโน้ต ดิคชันนารี สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากในการอ่านหนังสือสอบ เพราะพวกเราต้องแข่งกับเด็กชาติอื่นๆ ที่มาเรียนภาษาด้วยกัน ใครได้คะแนนรวมดีกว่า ก็มีโอกาสสอบเข้ามหาลัยที่ตัวเองอยากเข้าได้
3. ประเพณี Golden Week
Golden Week นี้ เป็นศัพท์ภาษาญี่ปุ่นค่ะ เป็นช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่ 29 เมษายน ถึง 5 พฤษภาคม ใครไปญี่ปุ่นโปรดหลีกเลี่ยงช่วงนี้ เพราะคนญี่ปุ่นจะแห่กันเที่ยวทั่วประเทศ พี่แกไม่ค่อยมีวันหยุดกัน นานน้านถึงจะหยุดได้ยาวๆ แบบนี้ … กลับมาเข้าเรื่องต่อนะคะ
ประเพณี Golden Week นี้ เป็นประเพณีที่เด็กทุนมงฯ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอย คนที่รอคอยมากสุดอาจจะเป็นรุ่นพี่ปี 1 เพราะจบ Golden Week ปุ๊บ พี่ๆ ปี 1 ก็จะเป็นไท ไม่ต้องคอยเลี้ยงข้าวน้องๆ อีก (เราคิดกันเองว่าผ่านมาตั้งเดือนนึงละ น้องๆ น่าจะพอหาอาหารกินเอง สั่งเมนูและจ่ายค่าอาหารเองเป็นแล้ว)
ทุกปีพวกเราชาวมงฯ จะจัดงาน Golden Week โดยจัดที่โตเกียวหรือโอซาก้าสลับกันทุกปี พี่ปี 1 จะเป็นแกนนำในการพาน้องปี 0 เที่ยว รุ่นพี่คนไหนอยากมาจอยโปรแกรมทัวร์ช่วงใด ก็ตามมาจอยได้ อย่างตอนดิฉันอยู่ปี 0 งานจัดที่โตเกียว พวกเราชาวโอซาก้า (มีตั้งแต่พี่ปี 1 ยันปี 4) ก็เฮโลกันไปโตเกียว กระจายตัวไปนอนตามหอเด็กมงฯ ในโตเกียวกันเพื่อประหยัดค่าที่พัก (มันถึงสนิทกันไง)
ในช่วง Golden Week นั้น เราก็เที่ยวกันตอนกลางวัน พอกลับมาหอ ก็รวมตัวกันเล่นบอร์ดเกมบ้าง เล่นไพ่บ้าง นั่งเม้าท์มอยบ้างแล้วแต่อัธยาศัย วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่ 3-4 วัน
ไคลแมกซ์ประเพณี Golden Week นั้นอยู่ที่คืนวันสุดท้ายค่ะ เราจะมีพิธีบายศรี โรงงานนรกทำสายสิญจน์นั้น จะเปิดอู่ช่วงคืนก่อนหน้านั้น สายสิญจน์อาจเอาเส้นด้ายมา ส่วนปีที่ดิฉันต้องทำสายสิญจน์ ไม่รู้จะหาด้ายที่ไหน เลยไปเดินๆ ดูที่ร้านร้อยเยน เผอิญเจอด้ายมัดหมูแฮมต้ม เลยไปเหมาๆ มานั่งพันๆ เป็นสายสิญจน์ให้น้อง ก็เก๋ไปอีกแบบดี (คิดเข้าข้างตัวเอง)
ในคืนบายศรี เราจะเริ่มจากให้น้องๆ แสดงละครกันก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นละครจิกกัดแซวรุ่นพี่ จากนั้นพี่ๆ ก็จะหลอกล่อให้น้องๆ ออกจากห้องไป ระหว่างนั้นพี่ๆ ก็จะจุดเทียนเป็นวงกลมตรงกลางห้อง แล้วพี่ๆ ก็จะนั่งกันรอบๆ ห้องเป็นวงรี โดยเรียงจากพี่อาวุโสสุด ไปยังพี่ปี 1 ซึ่งจะนั่งท้ายแถว เมื่อทุกอย่างพร้อม พี่ปี 1 จะพาน้องเข้ามาในห้อง แล้วน้องก็จะคลานเข่าเข้าไปหาพี่ทีละคนๆ พี่ๆ ก็จะให้โอวาท เมื่อน้องปี 0 วนรอบวง พี่ปี 1 ก็จะคลานต่อ เมื่อพี่ปี 1 คลานไปหมด พี่ปี 2 ปี 3 ก็จะคลานไปรับพรรับโอวาทจากพี่โตๆ ต่อเรื่อยไป เพราะฉะนั้นพี่ลุงป้าผู้อาวุโสก็จะผูกข้อมือกันเหนื่อยทีเดียว
คืนบายศรีจะเป็นคืนที่รุ่นพี่มารวมตัวกันมากที่สุด อาวุโสสุดที่มา อาจเป็นพี่ๆ ที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น หรือพี่ๆ มงฯ ที่เรียนต่อโท ทุกๆ ปี เก้าอี้ที่นั่งจะเลื่อนไปทางหัวแถวมากขึ้น เป็นสัญญาณว่า เราแก่ขึ้นอีกปีแล้ว (น่าใจหายจริงๆ) นี่เป็นสาเหตุว่าเด็กทุนมงฯ ป.ตรีจะรู้จักทั่วถึงกันหมดแม้ว่าจะอยู่ต่างเมืองกัน ต่างมหาลัยกัน เพราะเราเจอกันทุกปี อย่างน้อยปีละครั้ง เราได้เที่ยวด้วยกัน นอนด้วยกัน พอเรียนจบกลับมาไทย เราก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่ค่ะ
4. ยุค Post-Golden Week
พอจบ Golden Week น้องๆ ปี 0 ก็จะเหมือนตื่นจากฝัน ต้องก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือกันอย่างหนักหน่วงแล้ว เพราะการเรียนมันจะโหดขึ้นทุกวันๆ ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นหลั่นล้าเหมือน 2 เดือนแรกที่ไป การสอบใหญ่ที่ส่งผลต่อชะตามหาลัยมี 3 ครั้ง คือ สอบเดือน 6 (มิถุนายน) เดือน 9 (กันยายน) และเดือน 12 (ธันวาคม) ค่ะ โหดแค่ไหน เคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆ แล้วนะคะ
เมื่อเราสอบเสร็จ ก็จะดี๊ด๊าร่าเริง และเตรียมโปรแกรมเที่ยวต้อนรับน้องๆ ปี 0 รุ่นถัดไปที่จะมาเยือน กลายเป็นวัฏจักรเด็กทุนมงฯ (ระบบที่พี่แก่ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากแล้ว ฮ่าๆ)
เราเรียนด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน ดูแลกัน แม้ว่าการเรียนในช่วงแรกๆ จะโหดมาก แต่อย่างน้อย พวกเราก็ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มีเพื่อนคนไทยรุ่นเดียวกันให้ปรับทุกข์ และก็มีรุ่นพี่นี่แหละ ที่พร้อมเป็นฟูกให้เราโดดทุ่มตัวหาเวลาเหงา คอยให้คำปรึกษา คอยตบกบาลเวลาทำอะไรไม่ดีไม่งาม
โดยรวมแล้ว ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีและคิดถูกที่เลือกไปทุนนี้ค่ะ ใครอยากมีประสบการณ์ โหด มัน ฮา สมัครทุนมงฯ กันมานะคะ ☺
คอลัมน์แถม: ทำอย่างไรให้เป็นเด็กมงฯ
สมัยดิฉันสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (มงบุโช) ระดับปริญญาตรี มีผู้สมัคร 800 กว่าคน รับอยู่ 6 คน ปีล่าสุด (พ.ศ. 2557) มีผู้สมัครสอบ 831 คน ผ่านรอบสุดท้าย 19 คน แหม่…ทุนอะไรให้ไปเรียนฟรี ได้ไปอยู่ญี่ปุ่นเก๋ๆ นานๆ ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนทุนอีก มีแต่ดีกับดี การแข่งขันก็เลยยังสูงอยู่นะคะ
น้องๆ หลายคนที่อยากเป็นเด็กมงฯ บ้าง ก็ถามพี่กันมาเยอะมากว่า ทำอย่างไรดี พี่เกตุวดีมีคำแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ
1. ทำบุญ
อันนี้ซีเรียส…ถามเด็กมงฯ กี่คนๆ ทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่า “ไม่รู้ติดทุนนี้มาได้ยังไง” สมัยดิฉันสอบสายศิลป์ ต้องสอบวิชา World History ซึ่งไม่มีสอน นั่งอ่านหนังสือเองแทบตายไม่ออกเลย สุดท้ายก็เดาแหลกจ้า ส่วนเพื่อนอีกคนที่สอบติด ออกมาจากห้องสอบแล้วบอกว่าพอทำได้บ้าง เพราะดูหนังสงครามเยอะ เลยพอจำๆ ชื่อประเทศชื่อนายพลได้
เพราะฉะนั้น นอกจากความสามารถส่วนตัวแล้ว ต้องพึ่งโชคชะตาบุญบารมีด้วย ใครทำการบ้านมาดี ทั้งทางโลก คือ ขยันอ่านหนังสือ และทางธรรม คือ สะสมบุญมาดี ก็มีโอกาสได้ค่ะ
ป.ล. เรื่องสอบข้อเขียน ดิฉันแนะนำให้ไม่ได้จริงๆ ไปหาข้อสอบเก่ามาทำกันเยอะๆ นะคะ
2. วิธีสอบสัมภาษณ์
ดิฉันไม่รู้ว่ากรรมการทุนมงฯ คัดเด็กมาอย่างไร แต่ดิฉันรู้สึกว่าพวกเราเป็นสายพันธุ์คล้ายๆ กัน ถ้าเป็นเด็กวิทย์ ก็มักจะเป็นเด็กโอลิมปิคบ้าง คนที่ชอบโลจิก การคำนวณ หรือเครซี่กับอะไรบางอย่าง (พอมาอยู่ญี่ปุ่น ก็จะเครซี่อะนิเมะ มังงะ) บทสนทนาในช่วง Golden Week ก็จะเป็นพวกคำถามเชาวน์ปัญญา อะไรอย่างนี้ ส่วนเด็กศิลป์ ดิฉันคิดว่าเป็นคนไนซ์ นิสัยดี (ฮ่าๆๆๆ)
คือ … หลักๆ ดิฉันคิดว่ากรรมการจะดูว่าเราอ่อนน้อมถ่อมตนไหม มีความสามารถที่จะพึ่งตัวเองได้หรือเปล่า ดูมีวุฒิภาวะหรือไม่ (ใครจะสอบมงฯ ป.โท ดิฉันคิดว่าอันนี้เป็นเงื่อนไขเดียวกัน) สัดส่วนคะแนนสัมภาษณ์กับข้อเขียนเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่การสัมภาษณ์ก็สำคัญมากเช่นกันค่ะ พยายามตอบให้ดูรักญี่ปุ่นเข้าไว้ สุภาพอ่อนน้อมเข้าไว้ น่าจะดีค่ะ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> เกตุวดี Marumura
อ่าน Japan Gossip ทั้งหมด CLICK HERE
เรื่องแนะนำ :
– Sumikko…คาแรคเตอร์สะท้อนนิสัยคนญี่ปุ่น
– เมื่อเปรียบผู้ชายญี่ปุ่นเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ
– เทคนิคการจัดจานอาหารสไตล์คาเฟ่ญี่ปุ่น
– เครื่องดื่มที่มนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นโปรดปรานมากที่สุด
– ซักกางเกงใน … ความเหมือนที่แตกต่าง