โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง
คั่นรายการ : ไปเที่ยวนัมบะ กับนิปปอนบาชิก่อนไหม
หลังจากที่ผมมาอยู่ที่โอซาก้าได้สองสามเดือน ผมก็มีเงินเก็บพอจะซื้อ “กล้องดิจิตอล” กับ “คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค” ได้โดยอาศัยเงินเดือนของทุนการศึกษานี่ล่ะครับ
ณ ปีนั้น 2003 ผมได้เงินเดือนละประมาณ 180,000 เยน ในขณะที่กล้องดิจิตอลราคาราว 38,000 เยน และโน๊ตบุ๊ค 130,000 เยน (อันนี้ซื้อมาอย่างถูกแล้วของ SHARP ถ้าเล่นยี่ห้อแบบฟูจิตสึ โตชิบา จะแพงกว่านี้ ถ้า VAIO แพงกว่าเงินเดือนแน่ครับ)
โน๊ตบุ๊คทำให้ผมสามารถสื่อสารกับคนที่เมืองไทยได้ผ่านอีเมล์และโปรแกรม MSN สมัยนั้น LINE ยังไม่เกิด ถ้ามันเกิด ผมสบายกว่านี้เยอะ โทรข้ามประเทศฟรีเลย สมัยนั้นต้องซื้อบัตรโทรศัพท์กับคูปองเติมเงินค่าโทรทางไกล เสียดายมากถ้าสมัยนั้นมี LINE ผมจะประหยัดเงินได้อีกหลายเยน
ส่วนอินเตอร์เน็ตหรือครับ ที่หอมีให้สมัครบริการจำพวกออปติกไฟเบอร์ซึ่งต้องใช้โมเด็มและเสียเงินรายเดือน ขอพูดอีกครั้งถ้าสมัยนั้นมีไวไฟ ผมก็สบายไปแล้ว (ฮา)
แต่ถึงเทคโนโลยีสมัยนั้นจะไม่สู้สมัยนี้ อย่างน้อยการที่ผมมีโน๊ตบุ๊ค อินเตอร์เน็ต และ Google ก็ทำให้ผมเรียนจบได้ ยังไงผมก็สบายกว่าคนสมัยก่อนเยอะที่จะทำวิทยานิพนธ์ทีก็ต้องไปห้องสมุดและก็บูชาเครื่องถ่ายเอกสารเป็นพระเจ้า (ฮา)
ส่วนกล้องดิจิตอลทำให้ผมได้ถ่ายรูปเวลาไปเที่ยว ซึ่งนานไปก็กลายเป็นความทรงจำและกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการบอกเล่า บันทึกประวัติศาสตร์ ที่ผมจะมานำเสนอแก่ท่านผู้อ่านนี่ล่ะครับ เชื่อไหมครับว่ากล้อง Minolta dimage xt สีแดงที่ผมซื้อมา ณ เดือนธันวาคม 2003 มันจะยังอยู่ยั้งยืนยงให้ผมได้ใช้จนถึงตอนไปเที่ยวเสิ่นเจิ้นเมื่อปี 2008 หลังจากผมเรียนจบ ทุกวันนี้มันก็ยังใช้การได้ แต่ไม่ได้ใช้การแล้ว เพราะสิบเจ็ดปีผ่านไป กล้องความละเอียด 3 megapixel กลายเป็นของตกยุคไปเสียแล้ว…
พูดถึงการไปซื้อกล้องกับโน๊ตบุ๊ค สมัยนั้นผมต้องนั่งรถไปไปที่นิปปอนบาชิ ซึ่งถนนร้านรวงย่านนั้นทั้งสายก็คือพันธุ์ทิพย์ดีๆ นี่เอง คอมใหม่ คอมเก่ามือสอง คอมประกอบเอง เครื่องใช้ไฟฟ้า กล้องดิจิตอล มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ซึ่งแถวนั้นก็บริเวณใกล้ๆ กับย่านนัมบะ ซึ่งเป็นแหล่งกินเที่ยวช็อป ฟังดูน่าเที่ยวนะครับแต่สิ่งที่ต้องต้องระวังก็คือ…
ก่อนอื่นขอพูดถึงสิ่งที่ได้เจอด้วยตัวเองก่อนละกัน
หลังจากเดินดูของบ้าง แวะหาอะไรกินบ้างเรื่อยเปื่อย ยามเย็นโพล้เพล้ใกล้จะค่ำ อากาศมันหนาว (เดือนธันวาแล้วนะครับ) ผมเดินไป ลมพัด แล้วก็หนาว ตัวสั่น บรื๋อววว์ ทันใดนั้น มีสาวญี่ปุ่น หุ่นสูงยาวเข่าดี แต่งหน้าเสียเข้ม นุ่งกระโปรงสั้น ใส่บูทยาวถึงเข่า เสื้อกันหนาวขนสัตว์ฟูๆ เดินนวยนาดเข้ามาประกบผม (เหวอ) พูดเร็วปรื๋อทำนองว่า พี่ขาหนาวเหรอคะ บลา บลา blah blah…..แต่เนื่องจากในตัวผมมีเงินอยู่แค่พันเยน ไม่ใช่ 55 แต่เนื่องจากผมเห็นท่าไม่ค่อยดี เลยบอกว่า โทษนะขอตัวก่อน แล้วรีบเดินฉิวไปขึ้นรถไฟด้วยเงินที่เหลือติดตัวพันเยนนั่นล่ะ (ฮา)
อันตรายนะครับ อันตราย
อีกเรื่องที่ผมอยากจะเล่า แต่อันนี้เป็นการได้อ่านบทความที่มีคนเขียนไว้นานละในเนต ซึ่งผมได้อ่านตอนที่ผมอยู่ญี่ปุ่นเป็นปีสุดท้าย (2006) ซึ่งก็คงหายไปตามกาลเวลาละ ผมเสิร์ชอย่างไรก็ไม่เจอ (เสิร์ชเจอผมก็ไม่แน่ใจว่า บก. จะยอมให้ลงไหม) รายนั้นเขากล้ากว่าผมมากที่ไปเที่ยวนัมบะ และก็พูดถึง “ผีเสื้อกลางคืน” ที่เดินเร่หากินไล่จับลูกค้ายามเย็นเช่นเดียวกับที่ผมได้เจอนั่นหละ แถมยังมีเรื่องเล่าและรูป (แอบถ่าย) ของบรรดา “ไอ้หนุ่มสูทดำ” ด้วย
ผู้เขียนท่านนั้นเล่าว่า พอเห็นผีเสื้อราตรีเดิน จะยกกล้องถ่าย พวกไอ้หนุ่มสูทดำ รีบยกพวกปรี่เข้ามายกมือห้ามเลย ถ้าแชะออกไปนี่ มันเอาตายแน่ๆ พวกนี้มันดักหัวซอยท้ายซอยยันราวสะพาน ขนาดนั้นพี่แกยังกล้าแอบถ่ายรูปพวก “ไอ้หนุ่มสูทดำ” และชายวัยกลางคนมาดดีใส่โอเวอร์โค้ทมีหูฟังบลูทูธ ผู้ซึ่งเชื่อว่าเป็น “ลูกพี่” ของแก๊งหนุ่มสูทดำนั้นด้วย
ย่านนั้นใครจะไปเที่ยวก็ต้องระวังตัวกันหน่อยนะครับ ดูมีความเป็นย่านอโคจรหน่อยๆ ผมเคยไปเดินดูร้านดีวีดีแถวนั้น ข้างล่างก็เป็นดีวีดีหนังฝรั่งทั่วไปนี่หละ พอขึ้นไปชั้นสองชั้นสาม เฮ้ย นี่มันหนังผู้ใหญ่ละ ชั้นสี่ เอ่อ มาเป็นชุด เป็นอุปกรณ์เลย พอเหอะ เดินลง
ฟ้าก็จะมืดละหนาวก็หนาวควรจะกลับห้องหอได้เสียที คราวหน้าจะพาไปเที่ยวโรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัดเฮียวโกะจริงๆ กันแล้วล่ะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (4) ห้องเรียน อ.ชิมาโมโต้
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (3) ชีวิตในมหาลัย
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (2) ชีวิตในหอ
– ฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กับการมาเมืองญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต (1) เมื่อแรกเข้าหอ
#คั่นรายการ : ไปเที่ยวนัมบะ กับนิปปอนบาชิก่อนไหม