[ทดความคิด] KPI เพราะเราไม่อยากถูกวัด แต่โลกวัดเราเสมอ… ชีวิตที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้วทำไม่สำเร็จ มันยังดูมีค่ากว่าชีวิตที่อิ่มเอมแต่ไม่มีเป้าหมายด้วยซ้ำ
ชีวิตที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้วทำไม่สำเร็จ มันยังดูมีค่ากว่าชีวิตที่อิ่มเอมแต่ไม่มีเป้าหมายด้วยซ้ำ
JavRanger
*** เรื่องวันนี้ อาจจะหนักไปทางสตอรี่วิศวกรคอมพิวเตอร์ หรือการเมือง แต่ผู้เขียนขอสัญญาว่าจะเขียนไม่ให้เข้าใจยากแต่อย่างใด ขอให้ช่วยอ่านจนจบ เพราะประโยคสวยๆ มักอยู่ตอนท้ายๆ ***
“วันนี้เพิ่งมีเมล์จาก HR เด้งมาว่า ให้เราประเมินผลงานตัวเอง ที่ผ่านไปครึ่งปี” รุ่นน้องพูด
“แล้วไงวะ” ผมถามกลับ
“หนูก็ประเมินตัวเองว่าดีมากทุกหัวข้อ กะว่าถ้าหัวหน้าไม่พอใจ ก็ปรับลดเองซิ แต่หัวหน้าก็มาว่า นี่คิดว่าตัวเองเก่งขนาดนี้เลยเหรอ”
ตอนผมอยู่ญี่ปุ่น รุ่นพี่ก็เคยบอกผมเหมือนกันว่า ถ้าแกทำได้ตามที่เขา assign งานหรือเป้าที่ให้ มั่นคือ meet the target ซึ่งมันคือ 5/10 หรืออยู่แค่ตรงกลางเท่านั้น (ส่วนใหญ่เวลาบริษัทประเมิน KPI จะมี 5 ระดับ meet the target ก็คือแค่เท่ากับคะแนน 3) ยกตัวอย่างแบบเว่อร์ๆ ก็เช่น ถ้าเราต้องรับผิดชอบดูแอพมือถือซะตัว สมมติสิ้นเดือนนึง โดนข่าวว่าแอพล่ม ก็หมายความว่าเราจะมาให้คะแนนดีกว่าเฉลี่ยก็ไม่ได้แล้ว… เพราะมันไม่ meet the target แล้ว
“เป้าหมายพี่บริษัทมีแอพ เขาก็หวังว่าลูกค้าจะใช้ได้ตลอดเวลา ไม่ใช่จะมาล่มบ้างไม่ล่มบ้างตามสภาพอากาศ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้ตาม SLA ซึ่งเด๋วนี้ เขาก็ยกมาตรฐานไปถึง 99.5 ไปจนถึง 99.9 % กันหมดแล้ว”
(SLA คือข้อตกลงที่บริษัทสัญญากับลูกค้าไว้ ว่าสมมติทั้งปี จะไม่ให้ระบบล่มเกินกี่ชั่วโมง ถ้าเกิดปัญหาระดับวิกฤต จะสามารถกู้คืนได้ภายในกี่ชั่วโมง หากทำไม่ได้ตามสัญญาอาจจะต้องโดนปรับ แต่ส่วนใหญ่ในโลกความเป็นจริง บวกโลกแห่งการทำธุรกิจโดยมนุษย์ด้วยกัน ต่อให้เป็นญี่ปุ่น ไทย ก็จะต่อว่าหนักๆ ถ้าไม่เกิดหลายครั้งจริงก็จะไม่ทำกัน)
ซึ่งผมในวัยยี่สิบกว่าๆ รู้สึกไม่แฟร์เป็นอย่างมาก เพราะเรามีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากมาย ที่ระบบจะมีปัญหา ทั้งที่เราบางทีต้องตื่นมาตอนตีสองเพื่อมาแก้ระบบโดยวันรุ่งขึ้น เราก็ยังต้องมาทำงาน แปดโมงเช้า ราวกับเมื่อวานทุกอย่างสงบสุข ทั้งๆ ที่ระบบคือพบคลื่นลมและพายุ^^ ยังไม่รวม งานที่ต้องทำพิเศษวันเสาร์อาทิตย์ เช่นการ test DR (Disaster Recovery) data migration… ทั้งๆ ที่ทำขนาดนี้ ไม่เคยได้เรียกร้อง OT แต่ผลงานของเราคือ meet the target
ดูสิขนาดผู้ว่า ชัชชาติ ยังให้คะแนน 5/10 เลย
นี่ถ้าเกิดรัฐบาล ทำได้ไม่ถึงครึ่งที่หาเสียงไว้ ในโลกธุรกิจคือผลงานต่ำว่า KPI ทันที
“แกก็รู้ ว่าคนญี่ปุ่น ยิ่งเป็นระดับผู้ใหญ่ เขาคงไม่ชอบหรอกที่ประเมินตัวเองเลอเลิศ จนไม่มีข้อแก้ไขใดๆ ยิ่งคนญี่ปุ่นวัยห้าหกสิบในวันนี้ เขาอยู่ในโลกที่ทำงานถึง 終電 (shuden คือรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน) เกือบเที่ยงคืน คนยุคนั้นไม่รู้จัก work life balance เขาแปลกใจและไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่เห็นเด็กทำงานถึงทุ่มสองทุ่ม แล้วบอกว่า เราทำงานดีมาก”
“หนูกะว่าจะไม่ประเมินและ จะลาออกแทน พี่คิดดู เป้าที่เราตั้ง ตั้งแต่ต้นปี มันก็มาจากบริษัท มาจากหัวหน้า ไม่ใช่เป้าหมายของหนูซะหน่อย”
ผมยิ้ม และเข้าใจน้องมันมาก มันทำงานในบริษัทญี่ปุ่น มาสามสี่ปีแล้ว ในโลกวันนี้ การจะไปแนะนำว่า ทำงาน ทำงาน ซื่อสัตย์ต่อองค์กร เวลาองค์กรลำบากก็ทนอยู่กับเขา และวันนึง องค์กรจะตอบแทนเราอย่างงาม อาจจะตกยุคไปแล้ว
“ทำงานก็ไม่ได้ OT บริษัทบอกจ่ายเยอะมากพอแล้ว ภาษาญี่ปุ่นที่บอกว่าได้ N1 จะเป็น allowance บริษัทก็บอกตำแหน่งหนู ดีเกินกว่าที่จะมาขอ”
แต่ถ้าจะให้พูดตรงไปตรงมา น้องมันอายุไม่ถึง 28 แต่เงินเดือนอีกไม่กี่พันก็แตะเลขหกหลักแล้ว ในมุมของเรา ก็รู้สึกว่ามันเยอะจริง
“ก็ถ้าน้องอยากลาออก พี่ก็คงจะไม่ห้ามอะไรหรอก แต่มีเรื่องนึง… ที่เราได้บทเรียนจากชีวิตทำงานตัวเราเอง ที่อยากบอกน้อง”
“อย่าลืมเป้าหมายจริงๆ ของตัวเองนะ”
มีคนมากมาย คิดจะเปลี่ยนงาน เพราะเห็นว่า งานใหม่มีตำแหน่งว่างพอดี เราน่าจะพอทำได้
มีคนมากมาย ให้เงินมากขึ้น งานก็คล้ายๆ ที่เราทำตอนนี้ (งานที่เราทำโดยไม่ค่อยทำให้หัวใจพองโต)
มีคนมากมาย คิดถึงเรื่องเงินทอง จนลืมไปว่า งานที่ทำต้องทำให้เราเก่งขึ้นด้วย
มีคนมากมาย ที่คิดว่า ความสบายไม่ต้องทำงาน คือชีวิตที่สำเร็จ
ตอนผู้เขียนยังเป็นเด็ก ผู้เขียนมีเป้าหมายเดียวคืออยากเรียนจนเป็นที่หนึ่งของประเทศ
นั่นทำให้ทุกการตัดสินใจ ทุกย่างก้าวในวัยเรียนของผม ช่างตรงไปตรงมาและง่ายดาย
เช่น ถ้าไปเข้าโรงเรียนนี้จะใกล้การเป็นที่หนึ่งของประเทศขึ้นใช่ไหม… การไปลองแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ จะทำให้เรารู้ความสามารถตนเอง และรู้ว่าคนที่จะเป็นอันดับหนึ่งของประเทศทำอะไรกันใช่ไหมหรือ การไปดูหนังกับเพื่อนมันช่วยให้เป็นที่หนึ่งของประเทศหรือเปล่า
เมื่อเรารู้เป้าหมาย ทุกการตัดสินใจ… จะง่าย ชัด และหนักแน่น
ตรงข้ามกับชีวิตทำงาน… หากเป้าหมายของเราคืออยากเป็นเจ้าของกิจการ หรืออยากเป็น CEO ในบริษัทใหญ่ การตัดสินใจ การย้ายงาน จริงๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกันเลย
(ภาพโดย AI)
ที่หัวหน้าญี่ปุ่นที่ผมเคารพรักตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่น ก็เคยบอกผม…
“นายจะย้ายงานก็ได้ จะกลับไทยก็ได้ …. แต่นายต้องถามตัวเอง ว่าบริษัทที่จะไป งานที่จะทำ มันเข้าใกล้เป้าหมายที่นายวางไว้จริงๆ ไหม ไม่ใช่คิดแต่ว่า ที่นี่งานหนัก ไปตรงนี้คงดี ที่นี่คนไม่รัก ไปที่ใหม่อาจจะดี งานที่นายจะทำต่อไป… ต้องทำให้นายเก่งขึ้น ในสิ่งที่จะทำให้นายไปถึงจุดหมายด้วย”
สิ่งที่ผมจะสื่อกับรุ่นน้องคนนั้น มีเพียงแค่ ไม่อยากให้มันคิดแค่ปีนี้จะทำยังไงให้ได้เงินเดือนเกินแสน แต่อยากให้ตัวน้องเองได้รู้ว่าจุดหมายตัวเอง อยากจะทำหรือเป็นอะไรกันแน่
จุดหมายชีวิตของคนจำนวนมากคือเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง คู่ครองดี แต่ความเป็นมนุษย์มีมากกว่าแค่เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และความรัก มันมีเรื่องคุณค่าของชีวิตและความหมายของการอยู่ในโลกนี้ด้วย
ครึ่งปีผ่านไปแล้ว… พวกเราเดินเข้าใกล้เป้าหมายกันไปมากน้อยแค่ไหนนะ?
ผีเสื้อมาจากดักแด้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ฉันใด เราก็ทำได้ฉันนั้น ลอกคราบตัวเอง เปลี่ยนจากคนเก่าเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ฉลาดขึ้น มีคุณค่าขึ้น และคนเดียวที่จะทำปฏิวัติครั้งนี้ได้ก็คือ ตัวเราเอง
จากหนังสือ ชีวิตเป็นเรื่องชั่วคราว / วินทร์ เลียววาริณ
เรื่องแนะนำ :
– [ทดความคิด] เขียนหนังสือฆาตกรรมให้มันส์ทำยังไง สู่คำถาม โรงเรียนมีไว้ทำอะไร
– “The days” untold story วันวิบัติ อีกจักรวาล
– [เรื่องสั้นคืนวันเลือกตั้ง 18++] #ถึงเวลาเห็นของจริง
– [ทดความคิด] เลือกดูหนังสือ แล้วย้อนดูเลือกตั้ง
– Tokyo Marathon The Series: อะไรอยู่หลังเส้นชัย ของวันที่โตเกียวมีขา
– Tokyo Marathon The Series – สิ่งที่อยู่หลังเส้นชัย
[ทดความคิด] KPI เพราะเราไม่อยากถูกวัด แต่โลกวัดเราเสมอ