Tokyo Marathon the series: อะไรอยู่หลังเส้นชัย ของวันที่โตเกียวมีขา
“ที่เส้นชัยมาราธอน มีบางอย่างที่มีแค่คนวิ่งจบเท่านั้นจะมองเห็นมัน และหากเธออยากรู้ว่าคืออะไร…เธอต้องมาวิ่งเองเท่านั้น”
หากผู้อ่านจะนึกว่ายังกับหนัง ที่จะมีสายลมเย็นๆ พัดมา ผมยืนจังก้า สายตามุ่งมั่นเพื่อหาคำตอบ ผมคงโกหกคำโต
ผมยืนหน้าห้องน้ำ แถวยาวสี่สิบคิว นานพอที่ทำให้ผมได้เพื่อนนักวิ่งเพิ่มขึ้น
คิวด้านหน้าผม คือชายวัย 78 ปี เขาเคยไปวิ่งที่ภูเก็ต มีแอบติงว่างานภูเก็ต แทบไม่มีกองเชียร์เลย เหงามาก
ผมคุยจนทราบต่อว่า คุณตาเคยไปวิ่งมาราธอนที่เกาะกวม หักโหมจนถึงขนาดโดนหามเข้าผ่าตัดหัวใจ!!
คุณตานึกว่า ชีวิตการวิ่งคงจบแล้ว แต่คุณหมอบอกว่า คุณตายังวิ่งได้ แต่ขอให้ใช้พลังแค่ 70%
“คุณ Y ครับ… (คุยจนรู้ชื่อ) วิ่งมาขนาดนี้ ดูอันตรายขนาดนี้ จะวิ่งไปเพื่อหาอะไร”
“เดี๋ยวเธอวิ่งจบ ก็จะรู้เอง”
ถึงตอน 09.10 น. ที่เขาเริ่มปล่อยตัวนักวิ่งกันแล้ว ผมยังอยู่ในบล็อคท้ายๆ เลยยังต้องยืนรอเฉยๆ
ผมหันหลังไปเจอคนไทย พี่ T ที่เคยผ่านมาราธอน ระดับ Major Class มาแล้ว เรารอกันได้นานระดับนึง ถึงขนาดถ่ายรูปแลกไลน์ ทำให้ผมได้เพื่อนนักวิ่งเพิ่มขึ้นอีก
พี่เขามีลูกจะมาเรียนที่ญี่ปุ่น และน่าจะได้ทุนอีกด้วย ถึงในใจผมอยากบอกว่า ไปเรียนที่ประเทศอื่นก็ดีนะครับ ^^ แต่ผมว่ามันก็คงเหมือนการวิ่งมาราธอน ถึงจะวิ่งในเส้นทางเดียวกัน แต่พอวิ่งจบเราอาจไม่ได้เห็นสิ่งเดียวกัน
นาทีที่เราเห็นคนด้านหน้าขยับ บอกตามตรงขาของผมเหมือนส่งเสียงเข้ามาในหูผมว่า
“อยากจะวิ่งจะตายอยู่แล้ว”
รองเท้าเราได้สัมผัสกับแผ่นเสื่อสีฟ้า เป็นตัวจับสัญญาณ การเริ่มวิ่งอย่างเป็นทางการใน Tokyo Marathon
The wait is over…
“ศัตรูของทุกท่าน มีเพียงหนึ่งเดียว คือตัวคุณเองในเมื่อวาน และวันนี้ขอให้ท่านก้าวข้ามไปให้ได้นะครับ”
“และหลังจากนี้ จะมีดราม่าเช่นไร รอท่านอยู่… พบกันที่กิโลเมตรที่ 42 นะครับ”
“วิน หันมามองกล้องหน่อย”
พี่ B รุ่นพี่ของผมที่เคยเป็นนักเรียนทุนญี่ปุ่นด้วยกัน อุตส่าห์มารอดักถ่ายรูปให้ น้ำตาจิไหล
แปลกดีนะ ตลอดช่วงเวลาสิบเอ็ดปีที่ผมใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ผมร้องไห้และคิดนับครั้งไม่ถ้วนว่าเราตัดสินใจถูกหรือที่มาญี่ปุ่น… อยู่ไทยเราอาจจะได้เป็นหมอ เราจะมีชีวิตที่ต่างกับตอนนี้เช่นไร แต่… ความจริงอย่างนึงคือ
ผมไม่เคยเสียใจหรือสงสัยสักวินาทีเดียว กับการได้มีเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องในทุนญี่ปุ่นว่ามันดีเช่นไร
ในช่วงที่ทางวิ่งเป็นเนิน ผมจะเห็นภาพหัวนักวิ่งเหมือนเป็นเม็ดลูกกวาด นับพันนับหมื่น เรียงรายอยู่หน้าเรา สีสันหลากหลายที่มาจากหมวกวิ่งธรรมดาๆ ไปจนถึงหมวกปิกกาจู หูกระต่าย วิกโกคู มาพร้อมกับความคิดที่ว่า มีคนแปลกๆ เหมือนเราที่ยอมจ่ายเงินหลายหมื่น หรือบางคนน่าจะยอมจ่ายเงินหลักแสน ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาทำอะไรก็ไม่รู้ ให้ขาเจ็บตัว ค่าของความประทับใจ มันแพงขนาดนั้นเลยหรือ
มันมีอะไรที่ทรงคุณค่าขนาดนั้น รอเราอยู่ที่เส้นชัย?
ผมสัมผัสความเงียบในโตเกียวมาราธอน เงียบจนได้ยินเสียงคนหายใจหอบคนข้างๆ
แต่อีกฟากนึงที่ไทย เหล่าพ่อแม่พี่น้องครอบครัวของผม กำลังสนุกกับแอพ R-Navi ที่เมื่อเรา search หาชื่อหรือเลขนักวิ่งในรายการ Tokyo Marathon เราจะเห็นเลยว่าตอนนี้เขาวิ่งอยู่ถึงไหนแล้ว (จริงๆ แล้วรายการวิ่ง major ระดับโลก เหมือนใช้แอพนี้กันมานานแล้ว มันจะทำให้เหล่ากองเชียร์ รู้สถานการณ์นักวิ่ง และคาดว่าอีกหน่อย คงจะยิ่งสนุกขึ้น ถ้ามันเชื่อมต่อกับ CCTV ในเมืองนั้นได้)
แถมเรายังสามารถเทียบเวลาของเรากับใครก็ได้ ที่วิ่งในรายการเดียวกัน อย่างตัวผมเองเลยแอบเช็คเวลาวิ่งตัวเอง เทียบกับพี่เต๋าสมชาย ซะเลย
เราวิ่งผ่านสวน Hibiya ผมมีความหลังที่นี่เพราะเคยขึ้นเวทีไปประกวดมิสลอยกระทง
เอ้ยไม่ใช่ ผมเคยเป็นพิธีกรในงานมิสลอยกระทง
มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก… ผมได้เห็นผู้หญิงที่ดูเหนียมอายก่อนขึ้นเวที แต่เมื่อขึ้นเวทีแล้ว เมื่อแสงไฟสอดส่อง ผมได้เห็นพวกเธอเปล่งประกาย
“นี่คือเวทีสุดยอดของโลก แน่นอนโลกจำเราไม่ได้หรอกว่าเราวิ่งยังไงที่นี่ แต่เราจะจำได้จนวันตายแน่ๆ”
ขาตัวเองตอนนั้นปวดมาก ถ้าได้นั่งกินราเมงตอนนี้ก็คงดี…
แต่ผมจำได้ว่าตอนมาราธอนที่ไทย พอเราหยุดและเดินในกิโลที่สามสิบต้นๆ ขาของเราตึงเป็นท่อนไม้ จนผมกลับไปวิ่งอีกไม่ได้เลย และบทลงโทษคือ ผมมองไม่เห็นอะไรที่เส้นชัยเลย
เมื่อผมโตได้ระดับหนึ่งผมรู้สึกว่าตอนเราอยู่บนเวที หรืออยู่กลางแสงไฟ จริงๆ จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยากให้เราล้มเลิก อยากเห็นเราหยุดพัฒนาหรือเปล่งประกาย…. แต่หน้าที่ของเราคือ ต้องทำให้คนพวกนี้รอต่อไป
เมื่อเลี้ยวโค้งซ้ายเข้าสู่ โซน Marunouchi กองเชียร์สองข้างที่น่าจะถึงหลักพันคน จะส่งเสียงเชียร์เรา ผมร้อง “ย้ากส์” (คนไทยที่เชียร์อยู่ตอนนั้นคงตกใจ) วิ่งกระชากด้วยเพซสี่ปลายๆ ให้เหล่ากองเชียร์เห็น
หลายคนชอบใจ ปรบมือ และหัวเราะ ผมถือว่าเป็น service และขอบคุณที่เชียร์พวกเรามาเป็นชั่วโมง มันเป็นหนึ่งกิโลที่ยาวนาน แต่ผมคิดว่านักวิ่งหลายๆ คนน่าจะรู้สึกเช่นเรา ว่าเป็นหนึ่งกิโลที่ทรงคุณค่ามากๆ
ทุกอย่างว่างเปล่า … ในหัวของผม ขาวโพลนไปหมด
โค้งซ้ายสุดท้าย เสียงเชียร์ดังมาก แอบสะใจที่ตลอด 42 กิโล เราไม่มีหยุดเดินเลยแม้แต่ วินาทีเดียว อย่างน้อยที่สุด ผมก็เห็นพัฒนาการของตัวเอง
เท้าซ้ายของผม สัมผัสกับเสื่อสีฟ้าอีกครั้ง เวลามาราธอนของผมหยุดเดิน… ขาของผมหยุดวิ่ง ความทรงจำกับภาพญี่ปุ่นในอดีตของหยุดถอยหลัง
แต่ปริศนาที่ค้างคาใจของผม เหมือนยังไม่หยุดเดินง่ายๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่มันลอยขึ้นมาในหัวของผม ทันทีที่ผมกดหยุดเวลานาฬิกา
“Owarimashita” มันจบแล้วสินะ…
เหรียญอยู่ในมือของลูกสาวผม ภรรยาถามผมว่า “แล้วเธอเห็นอะไร”
ผมตอบว่า “บริบูรณ์”
ภรรยานึกว่าผมเจอตั๊ก บริบูรณ์ตอนวิ่งเข้าเส้นชัย…
ดราม่าที่เส้นชัยแต่ละคน คงหลากหลาย และต่างอารมณ์
ผมได้สัมผัสกับความอิ่มเอมและเติมเต็มจิตวิญญาณในความทรงจำที่ญี่ปุ่นของผม
“ที่เส้นชัยมาราธอน มีบางอย่างที่มีแค่คนวิ่งจบเท่านั้นจะมองเห็นมัน และหากเธออยากรู้ว่าคืออะไร…เธอต้องไปทำให้มันจบเองเท่านั้น”
เรื่องแนะนำ :
– Tokyo Marathon The Series – สิ่งที่อยู่หลังเส้นชัย
– World Cup 2022 series Ep.4.5 “Memory”
– World Cup 2022 series Ep.4 “ฝัน”
– World Cup 2022 series Ep.3 “V” ชัยชนะ
– World Cup 2022 series Ep.2 “เงิน”
Credit ภาพ :
– Puchit S.
– Rubporn T.
– Tokyo Marathon FB
#Tokyo Marathon the series: อะไรอยู่หลังเส้นชัย ของวันที่โตเกียวมีขา