ว่าด้วยหนังสือญี่ปุ่นช่วงปี 2017…ทุกคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ “การตอบอีเมลล์แบบญี่ปุ่น” ใช่ไหมครับ ? ที่คนมักจะแซวกันว่า “เกริ่นซะยาวเนื้อหานิดเดียว” บางทีคนญี่ปุ่นเขาจริงจังไอ้ตรงเกริ่นเนี่ยมาก ๆ เช่นดินฟ้าอากาศ จะเกริ่นมาก็ต้องหาข้อมูลว่าอากาศที่แถวออฟฟิศของคู่สนทนาเป็นอย่างไร
เมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมกับสำนักพิมพ์ชื่อดังจากญี่ปุ่นเพื่อพูดคุยเรื่องเทรนด์หนังสือในช่วงปัจจุบัน ตลอดจนทิศทาง หรือความน่าจะเป็นกับตลาดหนังสือในอนาคต ซึ่งถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนไปพอสมควร
อย่างไรก็ตาม “หนังสือ” ยังคงเป็นส่วนสำคัญในสังคมญี่ปุ่น ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลดความสำคัญลง จึงเป็นสิ่งที่เรายังพอสบายใจได้บ้าง เพราะหากเทียบกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก หนังสือนั้นเริ่มถูกลดความสำคัญลง โดยผู้คนหันไปใช้บริการ “ข้อมูลขนาดสั้น” จากโซเชียลเน็ทเวิร์คกันหมดแล้ว
สำนักพิมพ์ญี่ปุ่นที่ผมได้พบนั้นเป็นสำนักพิมพ์ที่ทำงานประเภท non-fiction เป็นหลัก (หมายถึงหนังสือที่ไม่ใช่นิยาย ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ) ดังนั้นเป้าหมายของหนังสือในลักษณะนี้ จะถูกทำขึ้นเพื่อ “ตอบโจทย์” ความต้องการของประชาชนตามสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน เหตุนี้เราสามารถกล่าวได้ว่า ถ้าเราเข้าใจบริบทรูปแบบของหนังสือที่กำลังจัดจำหน่าย เราก็พอจะคาดการณ์สภาพทางสังคมการเมือง หรือชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในปัจจุบันได้เช่นเดียวกัน โดยเราจะขอแยกประเด็นออกมาง่ายๆ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้
หนังสือที่พูดเกี่ยวกับการลดเวลาทำงานมีออกมามากขึ้น
หากจำกันได้ปีก่อนนี้เองที่ญี่ปุ่นมีข่าวใหญ่ก็คือพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่งทำงานจนเสียชีวิต เหตุการณ์นั้นเองนำไปสู่การตั้งคำถามว่า
“รูปแบบการทำงานของญี่ปุ่นนั้นถูกต้องแล้วหรือ?”
เพราะจากการสำรวจเชิงสถิติแล้วพบว่าพนักงานในบริษัทของญี่ปุ่นนั้นต้องทำงานมากกว่าบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะในตะวันตกถึงเกือบ ๆ 50% แต่ในขณะเดียวกัน “ผลผลิต” ที่ได้นั้นกลับไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน หรือพูดง่าย ๆ ว่ามันไม่ได้แตกต่างกันถึงขนาดที่เราต้องทำงานหนักขนาดนั้น
หนังสือในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นไปที่การแนะนำวิธีลดการทำงานลงแต่ให้ได้ผลผลิตเท่าเดิม เราควรโฟกัสที่จุดไหนบ้าง หรือส่วนไหนที่ปล่อยวางได้บ้าง
ในที่นี้ผมได้ลองอ่านบางส่วนของหนังสือที่เพิ่งออกวางจำหน่ายเมื่อสัปดาห์ก่อน พบว่าข้อมูลในหลาย ๆ ส่วนนั้น “ขัดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น” อย่างเช่น ทุกคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ “การตอบอีเมลล์แบบญี่ปุ่น” ใช่ไหมครับ ? ที่คนมักจะแซวกันว่า “เกริ่นซะยาวเนื้อหานิดเดียว” บางทีคนญี่ปุ่นเขาจริงจังไอ้ตรงเกริ่นเนี่ยมาก ๆ เช่นดินฟ้าอากาศ จะเกริ่นมาก็ต้องหาข้อมูลว่าอากาศที่แถวออฟฟิศของคู่สนทนาเป็นอย่างไรนะ เพราะสมมติเขามาถามว่า “อืม… ที่นี่หนาวมากเลย ที่กรุงเทพฯมีหิมะตกไหม?” มันก็ออกจะเด๋อ ๆ ไปหน่อย
อย่างไรก็ตามในหนังสือหลาย ๆ เล่มในปัจจุบัน เขาบอกให้ค่อย ๆ เลิกวิธีการดังกล่าวไปซะ และยิ่งไปกว่านั้นคือ “บางอีเมลล์ไม่ต้องตอบก็ได้”ไปตอบอะไรที่คิดว่า “ตอบไปแล้วจะได้งาน หรือทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น” ดีกว่า
จากนั้นก็จะสอนคนญี่ปุ่นให้จัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างง่ายโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก โดยส่วนตัวนั้นผมมองว่าสังคมการทำงาน กำลังพยายามปรับตัวเพื่อเอาชนะ “วัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น” ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าในระยะยาวแล้วมันจะเป็นผลดีหรือผลเสียกับบริษัทมากกว่ากัน แต่ด้วยปัญหาทาง “บริบทของสังคม” ตลอดจนภาพลักษณ์ด้านการทำงานของประเทศมันเกิดขึ้นแล้ว มันจึงเป็นจุดที่ทุก ๆ วงการในญี่ปุ่นต้อง “ทำอะไรสักอย่าง” เพื่ออย่างน้อยพวกเขาก็ได้พยายามที่จะแก้ปัญหานั้นแล้ว
ปรัชญาคือคำตอบ
เป็นเรื่องค่อนข้างแปลก หรือไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น สิ่งที่พัฒนาเป็นอย่างมากและถือว่า “ใหม่” ต่อวงการหนังสือของญี่ปุ่น ก็คือมีการเรียกร้องให้ตีพิมพ์หนังสือ “ปรัชญา” มากขึ้น และคนที่เรียกร้องนั้นก็มีส่วนใหญ่มากจากกลุ่ม “วัยรุ่น” ด้วยซ้ำ
ถามว่าทำไม?
เหตุผลสำคัญที่เขาบอกกับเรามีง่าย ๆ อยู่สองประเด็น อย่างแรก เขามองว่าโลกของเรานั้นมีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น และคนญี่ปุ่นหลาย ๆ คนมองว่าความคิดของพวกเขาถึงทางตัน และบางทีพวกเขาให้คำตอบกับสถานการณ์ตรงหน้าออกมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ในเชิงรูปธรรมที่พวกเขาอับจนปัญญา ไม่สามารถใช้ความรู้ที่มีมาตอบคำถามในหัวตนเองได้ อาจจะเพราะว่าเครียดไป หรือคิดเยอะไปก็ได้ แต่นั้่นนำไปสู่คำตอบว่า “ปรัชญา” ในบริบทว่ามันคือ “ความรู้ที่กลั่นกรองมาแล้วและอยู่ในระดับที่สูงกว่า” จะช่วยไขปัญหาเหล่านั้นออกมาได้
แต่ความคิดความต้องการตรงส่วนนี้ ก็ผูกโยงไปถึงข้อที่สอง พวกเขามองว่า “นักปรัชญาที่พวกเขารู้จักนั้นตายไปหมดแล้ว” และที่สำคัญพวกเขาไม่รู้หรอกว่าจะเชื่อถือคนเมื่อหลายพันปีก่อนได้แค่ไหน ? สมมติเขาต้องการหาคำตอบเร่ืองการก่อการร้าย การฆ่าตัดตอน การถือกำเนิดของหุ่นยนต์ ฯลฯ เขาจะเชื่อคำพูดหรือความคิดของคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นเทคโนโลยีพื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นเราจึงแบ่งคนเป็นสองประเภทที่ต้องการศึกษาปรัชญาเช่นกัน นั่นคือ “คนที่แสวงหาปรัชญาสมัยใหม่” และคนที่ “ต้องการศึกษาปรัชญาแบบเก่า”
หนังสือหลาย ๆ เล่มพยายามหาคนที่เป็น “นักปรัชญาร่วมสมัย” ง่าย ๆ ก็คือคนที่ยังไม่ตาย เอามาแข่งกันว่าใครจะหานักปรัชญามาเขียนหนังสือออกมาได้ดีกว่า และทุกเล่มก็ขายดี หลายหมื่นเล่มในเวลาเพียงไม่กี่วัน ว่ากันว่าหากกระแสของความชื่นชอบปรัชญาในญี่ปุ่นยังรุ่นแรงอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ ไปเรื่อย ๆ สักสิบปี เวลานั้นจะเพียงพอแล้วที่จะสร้าง “นักปรัชญาญี่ปุ่น” ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และใช้อ้างอิงหรือพูดถึงกันต่อไปในอนาคต
ภาพในตอนต้นหัวข้อนั้น เป็นหนังสือใหม่ที่มีชื่อเรื่องแปลเป็นภาษาไทยคร่าว ๆ ว่า “นิตเช่มาสอนปรัชญาให้ฉันที่เกียวโต ตอนฉันอายุ 17” หนังสือนี้ผมเปรียบเทียบกับเรื่อง “โลกของโซฟี” ที่นักอ่านปรัชญาทุกคนน่าจะเคยผ่านตากันมาบ้าง แต่เรื่องนี้จะเขียนผ่านบริบทของญี่ปุ่น สอนให้คนเข้าใจปรัชญาผ่านนิยายร่วมสมัย
เรื่องราวว่าด้วยตัวเอกชื่อ “อาริสะ” นางก็ไปหลงรักบุรุษท่านหนึ่ง ก่อนจะอกหักในภายหลัง ดังนั้นนางก็เลยไปบนบานสานกล่าวที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งในเกียวโต สาบแช่งทุกคนและหวังว่าจะมีอะไรมาคลี่คลายปัญหาในใจของตน
แล้วผู้ชายในภาพข้างล่างก็โผล่มา…
เรื่องราวดูจะเป็นพล็อตนิยายรักธรรมดา... ถ้าหนุ่มแว่นในภาพ ไม่ได้ชื่อ “ฟรีดิช นิตเช่” ! ! !
ชื่อคุ้น ๆ ใช่ไหมล่ะ… ใช่แล้ว! นิตเช่กลับชาติมาเกิดเป็นหนุ่มแว่นคนนี้ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นโอตาคุโทรศัพท์มือถือไปซะแล้ว นิตเช่หนุ่มแว่นก็ไปออกเดทกับนางอาริสะทั่วเมืองเกียวโต ได้พูดคุยกันในหลาย ๆ เรื่อง (ก็เนียนสอนปรัชญาไปในตัว) พร้อมทั้งเจอนักปรัชญากลับชาติมาเกิดอีกมากมาย บางคนก็โผล่มาเป็นซุปเปอร์โมเดล เป็นดารา ฯลฯ และบางคนก็อัพ Quote หล่อ ๆ ผ่านทวิตเตอร์ บางวันก็ไปกินยากินิกุ ไปกินกาแฟกับนางเอก (หนังสือจริงจังมาก มีแผนที่ให้คนไปเดินตามรอยด้วย โถ่ววว)
หนังสือเล่มนี้มีความ Unique และได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมมากในญี่ปุ่น คนเขียนเป็นอดีตไปดอลที่เข้าไปสนใจในปรัชญา จึงรับประกันว่าเป็นหนังสือที่อ่านได้ตั้งแต่คนที่เป็นวัยรุ่น อ่านง่าย… และในความตลก ในความแปลกนี้ก็แสดงให้เห็นว่า “ปรัชญา” กลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัยอยากจะสัมผัสและเรียนรู้แล้วจริง ๆ
ผมจะมีโอกาสได้พูดคุยกับสำนักพิมพ์ต่าง ๆ อีกครั้ง ซึ่งในสัปดาห์หน้าเราจะมาพูดคุยกันในเรื่องของเทรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ใครที่ชอบอ่านหนังสือญี่ปุ่นกันบ้าง? มีเรื่องไหนที่จะแนะนำผมก็คอมเมนต์กันมาได้นะครับ ! 🙂
เรื่องแนะนำ :
– การมาเยือนเมืองไทยของดัมพ์ มัตสึโมโตะ
– Toudoukan ร้านขายสินค้ามวยปล้ำที่เจ๋งที่สุดในญี่ปุ่น
– Sahara Glass Park : มาลองทำแก้วกันเถอะ!
– เมื่อเชือกกลายเป็นลวดหนาม : แมตช์สุดโหดของวงการมวยปล้ำ
– เรื่องราวที่น่าสนใจของวงการมวยปล้ำหญิงญี่ปุ่นในปี 2016