วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (5) มาเอดะ มิตสึโยะ Conde Koma ผู้สอนวิชา “ยูยิตสู” ให้คนตระกูลเกรซี่!
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็มาพบกันอีกแล้วเช่นเคย เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่ลงตอนที่ ๔ มีมิตรรักนักอ่าน (อุ๊ย) คอมเมนต์ในเพจของ marumura ว่า อยากให้ผมเขียนเรื่องของ “ไอคิโด” ด้วย ขอเรียนว่า เมื่อคุณขอมาแบบนี้ รับรองว่ามีแน่นอน แต่ต้องรอหน่อย เพราะหลังจากที่ “เนื้อเรื่องหลัก” ของซีรี่ส์นี้จบ (จบเดือนมิถุนายนนี้แหละ) ก็จะมี “เชิงอรรถ” ที่เป็นภาคเสริม ส่วนต่อขยายจักรวาลออกไปอย่างแน่นอน ใจเย็นๆ นะครับ ไม่เกินปลายปีนี้ ได้อ่านแน่นอน แต่ขอเวลาค้นคว้าหน่อย เพราะมันก็เป็น “อีกสายหนึ่ง” ที่มีอิทธิพลต่อศิลปะการต่อสู้ในโลกเช่นกัน ใจเย็นๆ ค่อยๆ ติดตามกันไปนาจา
เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็เรียกว่า มาถึงจุดสำคัญจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์แล้วครับ ดังที่เคยเรียนท่านผู้อ่านไปว่า หากไม่มีปรมาจารย์คาโน่ ก็จะไม่มี “โคโดคันยูโด” หากไม่มี “โคโดคันยูโด” ก็จะไม่มีศิษย์โคโดคันคนนี้ที่ชื่อว่า “มาเอดะ มิตสึโยะ” ที่สอน “ยูยิตสู” ให้กับพี่น้องของตระกูลเกรซี่ อันได้แค่คาร์ลอสและเฮลิโอ จนเอาไปสอนเป็นวิชาประจำตระกูลเปิดสำนักสอนเป็น “เกรซี่ยูยิตสู” จนกระทั่งผ่านกระบวนการผลักดันให้เป็น “วิชาต่อสู้ประจำชาติบราซิล” จนรีแบรนดิ้ง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “บราซิลเลียนยูยิตสู” จนกระทั่งบรรดาอาจารย์เหล่านี้ หอบวิชาไปหากินที่อเมริกา แล้วจากอเมริกา ก็แพร่หลายมาถึงเชียงใหม่อย่างทุกวันนี้ 555
นั่นแหละครับผม
งั้นก็เริ่มเลยครับ
![]()
มาเอดะ มิตสึโยะ (ที่มา wikipedia)
ตามประวัติแล้ว มาเอดะเกิด ปี พ.ศ. 2421 ที่อาโอโมริ ในประวัติช่วงวัยรุ่นผมเจอข้อมูลที่ไม่ตรงกันระหว่างวิกิญี่ปุ่นกับอังกฤษ แต่พอสรุปได้ว่า สมัยเรียน ม.ต้น ที่อาโอโมริ เคยเรียนยูยิตสูกับชมรมยูยิตสูของโรงเรียนภายใต้การสอนของอาจารย์ไซโต้ โมเฮย์ (斎藤茂兵衛) อดีตครูยูยิตสูของแคว้นฮิโรซากิเดิม (เป็นยูยิตสูสำนัก 本覚克己流 ฮอนงาคุคกคิริริว ว่ากันว่าทุกวันนี้ยูยิตสูสำนักนี้เหลือแค่ “ตำรา” 伝書 เดนโฉะ เท่านั้น)
แล้วก็ออกกลางคัน ไปเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมวาเซดะ เล่นซูโม่กับเบสบอลอยู่พักหนึ่ง แล้วปรากฎว่าที่ โรงเรียนอาชีวศึกษาโตเกียว (ซึ่งกลายเป็น ม. วาเซดะในปัจจุบัน) เขาตั้งโรงฝึกยูโด ก็เลยไปเข้าสำนักโคโดคันในปี พ.ศ.2440 ก็คืออายุราว 19 ปี นับเป็นศิษย์ “รุ่นสอง” ของโคโดคัน อยู่ภายใต้การสอนของ “อสูรโยโกยามะ” หนึ่งในสี่จตุรเทพ
ว่ากันว่ามาเอดะเก่งกาจจนปรมาจารย์คาโน่สั่งให้ต้องประลองชนะติดกันให้ได้ 15 คน ถึงจะได้สายดำ และมาเอดะก็ทำได้ เรื่องนี้ถูกนำเอาไปเขียนไว้ในการ์ตูนเรื่อง มาเอดะจ้าวสังเวียน ที่ผมเคยรีวิวไป นะครับ อิอิ
จากนั้นก็ได้เป็นผู้ช่วยฝึกสอนยูโดของโคโดคัน ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี พ.ศ.2444 ถึงเดือนตุลาคม 2447
จุดเปลี่ยนของชีวิต (และเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์วิชาต่อสู้ของโลก!?) คือการที่มาเอดะได้ต้องไปเป็น “ครูสอนยูโด” โดยไปทริปนี้กับ ซาทาเกะ โนบุชิโระ (佐竹信四郎 ผมแปลกใจว่าทำไมแหล่งข้อมูลของฝรั่งกลับเรียกเป็น Satake Soshihiro ไปได้ หรือเพราะฝรั่งสมัยนั้นไม่เข้าใจชื่อภาษาญี่ปุ่นก็เลยเรียกผิดๆ) แล้วก็ โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ (หนึ่งในสี่จตุรเทพ) ไปถึงอเมริกาในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2447
มูลเหตุของการไปก็คือในปีก่อนหน้านั้น (ปี พ.ศ. 2446) จากความสำเร็จของการเอายูโดไปเผยแพร่ที่อเมริกาโดยยามาชิตะ โยชิทสุงุ (หนึ่งในสี่จตุรเทพ) ถึงขนาดที่แม้แต่ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลล์ ก็ยังมาเรียนยูโดด้วย เลยไปถึงกับสอนยูโดที่โรงเรียนนายเรือของสหรัฐฯ ความสำเร็จตรงนี้ทำให้แบบว่า น้ำขึ้นต้องรีบตัก ต้องรีบหาเอาครูยูโดไปเผยแพร่วิชาเพิ่ม เลยเป็นมูลเหตุที่มาเอดะ ต้องไปอเมริกา และทั้งมาเอดะ และซาทาเกะ ก็ออกเดินทางไปตามเมืองฝรั่งที่ต่างๆ ในโลกนับแต่นั้นมา ไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นอีกเลย (ว่ากันว่า อีกละ เมื่อมาเอดะรู้ว่าจะต้องไปเมืองนอก คิดไว้ว่าคงไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นอีกแล้ว ถึงกับกลับไปที่บ้านเดิมไปหย่าเมีย เลยทีเดียว)
มาถึงอเมริกาแล้ว อะไรจะเป็นการเผยแพร่ยูโดให้คนมาสนใจเรียนได้มากกว่าการสู้กับวิชาปล้ำที่อเมริกันชนชอบฝึกหัดกันอยู่แล้วคือมวยปล้ำ (wrestling) วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448 มีการสาธิตวิชายูโดที่ ม.พรินซ์ตัน มาเอดะจับนัก (อเมริกัน) ฟุตบอลของพรินซ์ตันคือ N.B. Tooker ทุ่มได้ แต่ในวันที่ 21 เดือนเดือนกัน ในการสาธิตที่เวสต์พอยต์ โทมิตะไม่สามารถทุ่มนักฟุตบอลของโรงเรียนนายร้อยอีกสองคนได้ (ทุ่มได้แค่คนแรก) เลยทำให้กลายเป็นว่าทางโรงเรียนนายร้อยตัดสินใจจ้าง Tom Jenkins อดีตแชมป์มวยปล้ำโลกมาเป็นครูสอนมวยปล้ำให้นักเรียนนายร้อยแทน
…แหม่ พอพูดมาถึงตรงนี้ ยูโดกับมวยปล้ำนี่ เป็นคู่ฟัด คู่กัด ในตำนาน เลยนะครับ ทุกวันนี้ บนเบาะ BJJ ผมก็ยังได้พบกับคนที่เรียนมวยปล้ำมาก่อนเนืองๆ ผมเองก็ต้องหัดพื้นฐานการเข้าปล้ำเอาไว้ด้วยก็เพราะเหตุนี้ แต่จะว่าไป น่าคิดว่ามวยปล้ำกับยูโดนั้น นับแต่การปะทะสังสรรค์กันมาก็มีการแลกเปลี่ยนวิชา รับเอากระบวนท่าของอีกฝ่ายมาด้วย ซึ่งทำให้วิชาพัฒนาขึ้น
ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน โทมิตะกับมาเอดะได้เปิดโรงเรียนสอนยูโดที่ถนนบรอดเวย์ในนิวยอร์ก (ซึ่งว่ากันว่าเอาเข้าจริงๆ ก็มีแค่ญี่ปุ่นย้ายถิ่นเข้ามาเรียนเสียมาก (อ่านถึงตรงนี้นึกถึงสมัยที่ BJJ เข้ามาในไทยใหม่ๆ ก็มีแค่ฝรั่ง expats นั่นแหละครับมาเรียน คนไทยมีน้อยเหลือเกิน แทบไม่มีเลยดีกว่า เพิ่งมาสมัยนี้เองที่มีคนไทยเรียนเยอะขึ้นและเห็นคนเรียนที่เป็นนานาชาติมากขึ้น มีคนจีน คนญี่ปุ่น คนเกาหลีแวะเวียนมา) เรื่องเล่าในอีกด้านหนึ่งกล่าวว่า ในปลายปีเดียวกัน มาเอดะได้แยกตัวจากโทมิตะ เดินทางไปถึงแอตแลนต้า หากินด้วยการท้าสู้เอาเงินกับนักสู้ในสายวิชาอื่นตั้งแต่นักมวยฝรั่ง (บ๊อกซิ่ง) มวยปล้ำ ยันมวยจีน (ประมาณว่าถ้าชนะได้ เอาไปเลยพันดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี ในอเมริกาเองด้วยความที่เกิดกระแสต่อต้านคนต่างชาติ (โดยเฉพาะคนเอเชีย) มาเอดะเลยตัดสินใจมูฟไปยุโรป
ที่ยุโรปนี่แหละครับที่มาได้ฉายาว่า Conde Koma หรือ “ท่านเคาท์เจ้าปัญหา” เรื่องที่น่าสนใจคือ ตอนที่ไปอยู่ที่ลอนดอน มาเอดะก็ไปหากินตามแบบฉบับนักสู้ข้างถนนเหมือนกับ ทานิ ยูกิโอะ คือท้าให้คนมาสู้แบบเก็บสตางค์แล้วเอารางวัลมาล่อ ก็ได้เจอกับบรรดา “นักยูยิตสู” ที่มาทำมาหากินในต่างแดนทั้งหลายทั้ง ทานิ ยูกิโอะ แล้วก็ มิยาเกะ ทาโร่ (三宅タロー) คนนี้น่าสนใจมากเพราะเรียนยูยิตสูสำนักฟุเซ็นริวมาแต่แรกเลย เรียนกับทานาเบะ มาตาเอมอน ที่เป็นเจ้าสำนักฟุเซ็นริวรุ่นที่สี่นี่แหละ ผมเชื่อว่า เมื่อคนวงการเดียวกันมาเจอกัน ก็น่าจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชากันบ้างไม่มากก็น้อย
พอมาหวนนึกถึงเรื่องของเทคนิควิชาของบราซิลเลี่ยนยูยิตสู ว่าทำไมถึง “เน้นท่านอน” ขนาดนั้น ผมก็มาคิดๆ อยู่ว่า มาเอดะได้วิชาสาย “ท่านอน” มาแต่เมื่อไหร่ เนื่องจากผมยังหาข้อมูลให้ชัดเจนไม่ได้ว่า ทานาเบะ มาตาเอมอน เริ่มได้มาสอนวิชาให้กับศิษย์โคโดคังมาแต่เมื่อไหร่ แต่บางแหล่งข้อมูลบอกว่า ทานาเบะได้เป็น “เคียวชิ” (教師 ครูสอน) ตอนปี พ.ศ. 2449 ถ้าเป็นเช่นนั้น มาเอดะคงไม่น่าจะทันได้เรียนวิชาของฟุเซ็นริวที่ญี่ปุ่น หรือว่าเรื่องการต่อสู้ด้วยท่านอน (ซึ่งต้องพึ่งพามันเยอะมากๆ เพราะฝรั่งที่ตัวโตกว่ามากคงไม่ได้ทุ่มกันได้ง่ายๆ) อาจจะได้จากประสบการณ์บวกกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักยูยิตสูคนอื่นๆ ในต่างแดน?
จากยุโรป มาเอดะไปเม็กซิโก และคิวบา อาชีพปล้ำโชว์ประสบความสำเร็จด้วยดี ชื่อเสียงโด่งดังในต่างแดน ถึงกับว่าทางโคโดดันตัดสินใจอวยยศให้ได้เป็น “สายดำห้าดั้ง” ในปี พ.ศ. 2455 เลยทีเดียว (เจ็ดปีนับจากที่จากญี่ปุ่นมายังต่างแดน) ซึ่งเรื่องนี้จะว่าไปก็ค่อนข้างจะการเมือง อันที่จริง อย่างที่ผมเคยเรียนกับท่านผู้อ่าน โคโดคันรังเกียจเรื่องการที่ศิษย์ของสำนักจะเอาวิชาไปสู้ “เพื่อหาเงิน” แต่ทั้งที่มาเอดะเองก็ทำเช่นนั้น แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นคุณูปการในการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของวิชายูโดในต่างแดนไป (ว่าเก่งจริง สู้ชนะคนได้จริง ให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดนได้รู้ถึงฤทธิ์เดชของวิชา ว่าแล้วก็อารมณ์เหมือนมวยไทยนี่แหละครับ เตะกันจะๆ ไปเลย ชนะคาราเต้ ชนะวิชาอื่นๆ จนฝรั่งหรือญี่ปุ่นต้องนับถือว่าเป็นเลิศแล้วในมวยยืน) จากคิวบา มาเอดะและซาทาเกะ ก็ไปตามที่ต่างๆ ในอเมริกากลางถึงอเมริกาใต้ ตั้งแต่เอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา ฮอนดูรัส ปานามา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ ยันเปรู อันที่จริงเห็นว่ายังมีเรื่องที่ไปอีกหลายต่อหลายที่ แต่ผมขออนุญาตพาท่านผู้อ่านมาถึงจุดสำคัญแล้วกันครับนั่นคือการได้พบกับ “ตระกูลเกรซี่”
เรื่องมันเริ่มจากที่ Gastão Gracie ซึ่งเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของ the American Circus ที่เมืองเบเลม บราซิล นั้น ในปี พ.ศ. 2460 ได้พาลูก คือ Carlor Gracie ซึ่งตอนนั้นอายุ 14 ไปดูโชว์ของคณะ Queirolo Brothers ได้ดูโชว์สาธิตวิชาของมาเอดะ แล้วก็อยากจะเรียน มาเอดะจึงรับคาร์ลอสกับเด็กอีกคนหนึ่งคือ Luiz França (ซึ่งคนนี้กลายเป็นต้นสายของ “บราซิลเลียนยูยิตสู สายนอกวงศ์เกรซี่”) มาเป็นศิษย์
พอมา ปี พ.ศ. 2464 Gastão Gracie ย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองรีโอเดจาเนโร คาร์ลอสซึ่งตอนนั้นอายุ 17 แล้ว ก็สอนวิชาที่ได้จากมาเอดะให้บรรดาน้องชายในตระกูล อันได้แก่ ออสวัลโด กัสเตา (จูเนียร์) จอร์จ และเฮลิโอ และในบรรดาน้องๆ ของคาร์ลอส กลายเป็นเฮลิโอที่มีบทบาทเด่นที่สุดในการขับเคลื่อนวิชา “เกรซี่ยูยิตสู” ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลจนได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์ของสำนักพอๆ กับคาร์ลอสที่เป็นพี่คนโต

คาร์ลอส เกรซี่ (ที่มา riliongracie.com)
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เฮลิโอได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์ สำคัญจริงๆ คือการ “ดัดแปลงวิชา” ให้วิชายูยิตสูของตระกูลนั้นมีหลักวิชาและหลักคิดที่ “แตกต่าง” จากยูโดไปอย่างชัดเจน ถ้าพูดอย่างหยาบๆ คือ ไม่เน้นทุ่ม เน้นท่านอน (ท่าทุ่มหรือเทคดาวน์เป็นเพียงตัวนำไปสู่การลงพื้น) ถ้าพูดอย่างละเอียดไปอีก (พูดในฐานะที่ผมเรียนนะ) คือพอเน้นท่านอนแล้ว ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ตำแหน่ง” ในการฉวยกุมหรือคุมตัวคู่ต่อสู้ด้วย ๑ และการหนีจาก “ตำแหน่ง” ที่เสียเปรียบเพื่อเอาตัวให้รอดด้วย ๑ ใช้แรงระเบิดน้อยลง ใช้การเข้ากุมที่ต้องใช้กำลังต่อเนื่องมากขึ้นด้วย ๑
![]()
เฮลิโอ เกรซี่ เมื่อตอนอายุได้ 39 ปี (ที่มา wikipedia)
ส่วนตัวมาเอดะนั้น ในภายหลังคือตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2468 ได้มีส่วนร่วมในขยวนการการตั้งหลักปักฐานของชาวญี่ปุ่นในบราซิลที่ Tome-açú และก็ยังสอนวิชาให้เด็กๆ ลูกคนญี่ปุ่นที่ย้ายถิ่นฐานด้วย (แต่ดูเหมือนการย้ายถิ่นฐานพยายามจะทำมาหากินทางกสิกรรมของคนญีปุ่่นจะไม่ประสบความสำเร็จ) ปี พ.ศ.2472 ทางโคโดคันอวยยศให้เป็น “สายดำหกดั้ง” และในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2484 ได้เลื่อนยศเป็น “สายดำเจ็ดดั้ง” อนิจจา ที่การได้เจ็ดดั้งนี้ มาเอดะคงไม่มีวันได้รู้ เพราะมาเอดะถึงแก่กรรมในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2484 ที่เมืองเบเลมนั่นเองด้วยโรคไต ปี พ.ศ.2499 มีการตั้งอนุสรณ์สถานที่เมืองฮิโรซากิ จังหวัดอาโอโมริ ส่วนสุสานของมาเอดะยังอยู่ที่เมืองเบเลม โดยมี มาจิดะ โยชิโซ (町田嘉三) อาจารย์คาราเต้ พ่อของเลียวโตะ มาจิดะ อดีตนักสู้ MMA ชื่อดัง เป็นผู้ดูแล เคยต้องเก็บเอากระดูกมาล้างเช็ดเก็บไว้เพราะกลัวเสียหายเนื่องจากสุสานเจอพายุด้วย (ที่มา sherdog.com)
ครับ สำหรับประวัติของ มาเอดะ มิตสึโยะ ผู้ที่ว่ากันว่าเป็น “บิดาของบราซิลเลียนยูยิตสู” นั้น ก็จบแต่เพียงเท่านี้ ที่จริงแล้ว ในเรื่องของประวัติศาสตร์นั้น เป็นเรื่องธรรมดาของการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์ ที่จะต้องมีข้อโต้แย้ง หรืออะไรต่างๆ มากมาย เช่นเรื่องของ ซาทาเกะ ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Antonio Satake และก็มีฝรั่งบางคนแย้งว่า ทั้งๆ ที่ซาทาเกะ รวมถึงนักยูยิตสูญี่ปุ่นคนอื่นๆ เช่น Geo Omori (大森城司 โอโมริ โจจิ) หรือ ยาโนะ ทาเคโอะ ก็ได้มีคุณูปการ ในวางรากฐานของยูยิตสูในบราซิลเหมือนกัน แต่ทำไมถึงถูกทำเสมือนเป็นคนที่ถูกลืม? ไปยกย่องแต่มาเอดะคนเดียว? ถ้าจะเอาความเห็นส่วนตัวของผม ก็คงเพราะว่า มาเอดะเป็นครูสอนวิชาให้คาร์ลอส เกรซี่ และตระกูลเกรซี่ในฐานะเป็น “สำนักใหญ่” ก็พยายามจะผูกขาดความเป็น “สำนักเที่ยงแท้มาตรฐาน” ของตน จึงเลือกที่จะยกย่องแต่เพียงครูของตนแต่เพียงผู้เดียวกระมัง? ไม่นับเรื่องที่มีคนตั้งข้อกังขาว่ามาเอดะเก่งกาจขนาดไม่เคยแพ้ใครเลยขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่เรื่องนี้ ผมพูดมากไป ก็อาจจะ กลายเป็นดราม่าได้ 555 ฉะนั้นผมจะพักไว้เพียงแค่นี้ต่อนะครับ สัปดาห์หน้าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรขอเชิญติดตามอ่านกันได้นะครับ วันนี้ขอลาแต่เพียงเท่านี้ไปก่อนสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (4) ยูยิตสูสำนักฟุเซ็น จ้าวแห่งท่านอนที่ถูกโคโดคัน “เทคโอเวอร์”
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (3) เมื่อ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้า
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (5) ประวัติและพัฒนาการของวิชาดาบอิไอสำนัก “มุโซจิกิเด็นเอชินริว”
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (5) มาเอดะ มิตสึโยะ Conde Koma ผู้สอนวิชา “ยูยิตสู” ให้คนตระกูลเกรซี่!




