วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน อันที่จริงผมได้เกริ่นไว้แล้วว่า ตั้งแต่ตอนที่สองไปก็จะเขียนแบบเจาะลึกขึ้นถึงประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ดังนั้น ใครที่รออ่านเรื่อง “การผงาดขึ้นมาของยูโด” ว่ามันมี เบื้องลึก เบื้องหลังอะไรนั้น โปรดอดใจรอก่อน ไม่เกินตอนหน้าแน่นวลครับ สำหรับตอนนี้ จะขอยกประวัติศาสตร์ว่าด้วย “ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ” พร้อมทั้งอภิปรายนะครับ
ยูยิตสูโบราณที่เป็น “วิชามือเปล่า” สำหรับชาวบ้าน
อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า พอเข้าสู่ยุคเอโดะ “วิชาต่อสู้ในสนามรบ” ก็ค่อยๆ หมดความสำคัญไปไม่ใคร่มีใครสนใจเรียน ก็มันไม่มีสงครามแล้วนิ ยุคเอโดะเป็นยุคแห่งความสงบเรียบร้อยที่ได้มาโดยแลกกับการปิดประเทศและผูกขาดอำนาจของตระกูลโตกุกาวะ มาถึงยุคนี้ “วิชาป้องกันตัวเวลาเดินตามถนน” ดูจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า ซึ่งสำนักที่ริเริ่มการแหวกประเพณีเดิมๆ ที่เคยมองว่าวิชาต่อสู้เป็น “ของสงวน” สำหรับชนชั้นนักรบนั้น ก็คือสำนักทาเคโนะอุจินั่นเอง ถึงแม้สำนักนี้จะสอนวิชาอาวุธหลายๆ อย่าง แต่จุดเด่นของสำนักนี้คือ “วิชามือเปล่า” ซึ่งต่อยอดมาจาก “โยโรอิคุมิอุจิ” นั่นแหละ เพียงแต่พอยุคสมัยเปลี่ยน ไม่มีการรบในสงครามแล้วก็ไม่มีคนใส่เกราะละ วิชาก็ต้องเปลี่ยนไป แต่ว่ากันว่า การที่วิชายูยิตสูเริ่มแยกตัวออกจากการผูกติดกับชนชั้นนักรบนั้น มาจากความคิดของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักคือ ทาเคโนอุจิ ฮิซะโมริ นั่นแหละ
และด้วยเหตุนี้ วิชายูยิตสูจึงแพร่หลายไปได้มาก เพราะสอนให้ใครๆ ก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นคนในชนชั้นนักรบเท่านั้น ดังนั้นยูยิตสูจึงพัฒนามาในรูปแบบที่เป็น “วิชามือเปล่าสำหรับพลเรือน” จนเกิดวิชาในหมวดต่างๆ เช่น นาเงะวาซะ (วิชาทุ่ม 投技) เนะวาซะ (ท่านอน 寝技) คันเซ็ตสึวาซะ (ท่าข้อต่อ 関節技) เทะโฮโดกิ (ท่าแก้มือ 手解き คือแก้มือที่คว้าจับ) อุเคมิ(ท่าล้มกลิ้ง 受身 ทุกวันนี้ก็คือม้วนหน้าม้วนหลังนี่แหละ)ชิเมะวาซะ (ท่ารัด 締技)เทคนิคเหล่านี้จะเห็นร่องรอยของการตกทอดอยู่ในยูโด ไอคิโด และแน่นอน BJJ ด้วย (เพราะ BJJ ก็คลี่คลายมาจากยูโดอีกที)
อันนี้สาธิตวิชา “โทริเตะ” (มือจับ) จะเห็นรูปแบบการต่อสู้แบบมือเปล่าปะทะมือเปล่านะครับ (ดูตอนกลางๆ นะครับ)
แล้วพอมีคนมาเรียนเป็นลูกศิษย์สำนักทาเคโนะอุจิแล้ว พอเรียนจบ ก็ออกไปตั้งสำนักของตัวเอง (อันเป็นแฟชั่นของวงการนี้อยู่แล้ว วิชาดาบก็เป็นเช่นนั้น) วิชายูยิตสูก็แพร่กระจายไปอีก
คำถามมีอยู่ว่า คำว่า “ยูยิตสู” เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
คำถามข้อนี้ ผมเองก็ไม่รู้ (ฮา) แต่ผมเดาว่าก่อนจะมีคำบัญญัติว่า “ยูยิตสู” (柔術) นั้น มันน่าจะมีคำนี้ที่เป็นคำบ้านๆ กว่าเกิดขึ้นก่อน นั่นคือคำว่า “ยาวาระ” (柔ら) ผมเดาว่าคำนี้น่าจะเกิดทีหลังคำว่าคุมิอุจิ และอย่างเร็วน่าจะเกิดในยุคอะซูจิ-โมโมยามะ แต่อาจจะเพิ่งมาเกิดจริงๆ ยุคเอโดะก็ได้ คือคำว่า “ยาวาระ” เนี่ย มันแปลว่า “อ่อน” มันมาจากคอนเซปต์ที่ว่า วิชาที่ใช้เวลาที่เราอ่อนแอกว่า (เสียเปรียบ) แต่แบบทำไงจะชนะคนที่แข็งแรงกว่า (ได้เปรียบ) ได้ แล้วมันก็พัฒนามาเป็นวิชามือเปล่าปลดอาวุธ มือเปล่าทุ่มให้ล้ม มือเปล่าคว้าจับ รัด หัก แล้วจากคำบ้านๆ ว่ายาวาระ ก็เอามาบัญญัติให้เพราะๆ เป็น ยูยิตสู “วิชาอ่อน” ไป แล้วมันก็กลายมาเป็นวิชาที่ตอบโจทย์ “ชาวบ้าน” ที่ไม่มีอาวุธแต่อยากมีวิชาป้องกันตัวเองขึ้นมาได้
ความตกต่ำลงของยูยิตสูโบราณ
วิชายูยิตสูเจริญขึ้นมีคนเรียนมีสำนักเปิดกันมากมายได้ เพราะมัน “ตอบโจทย์” ความต้องการของคนในยุคนั้น แต่แล้ว เมื่อเงื่อนไขปัจจัยทางสังคมเปลี่ยน ความต้องการของคนในสังคมก็เปลี่ยน และเมื่อยูยิตสู “ไม่ตอบโจทย์” อีกต่อไป วิชายูยิตสูก็เสื่อมความนิยมลง
เหตุแห่งการเสื่อมความนิยมหนึ่งก็คงเพราะบ้านเมืองหลังๆ มันก็สงบสุขเกินไป การมาลำบากกายเรียนวิชาต่อสู้ก็เริ่มดูจะไกลตัว
เหตุอีกอย่างหนึ่งคือ พอตอนช่วงที่ “เรือดำ” บุกญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นก็พากันอกสั่นขวัญแขวน อยู่กันมาในประเทศปิดมาตลอดไม่เคยเห็นว่าชนชาวโลกเขาไปกันถึงไหน พอได้ฝรั่งนั่งเรือเหล็กมา เห็นแล้วก็เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดบุกโลก วิชาหอกดาบอะไรอย่างที่ซามูไรฝึกๆ เรียนๆ กัน มันไม่มีประโยชน์เลยเมื่อเจอฝรั่งที่มีเรือเหล็ก มีปืน คนญี่ปุ่นเลยเห็นว่า ไอ้ระบอบโชกุนที่รักษาความสงบแห่งชาติด้วยการปิดประเทศมาเป็นตั้งสองร้อยกว่าปี มันไม่ได้เรื่อง สมควรล้มๆ ไปเสีย ดังนั้นอะไรที่มีภาพของระบอบการปกครองโบราณ ชนชั้นนักรบเก่าติดอยู่ ก็พลอยกลายเป็นเป้าของการรังเกียจเดียดฉันท์ ด้อยค่า เป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง พอยิ่งล้มระบอบโชกุนได้ เข้ายุคเมจิ อะไรที่เป็นแนวนี้ คนจะรังเกียจ ไม่เอาเลย พอถึงจุดหนึ่ง ครูสอนยูยิตสูบางคนถึงกับต้องไปหางานอื่นทำกันเลยทีเดียว (ไม่มีใครเรียน)
เมื่อผมอ่านมาถึงจุดนี้ อดนึกไปถึงเรื่องของ “มวยไทย” ไม่ได้ มวยไทยเองก็ผ่านยุครุ่งเรือง ยุคของการทำให้เป็นกีฬาสมัยใหม่ ยุคตกต่ำที่แบบ มีภาพลักษณ์ในทางลบ จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ผงาดขึ้นมาใหม่ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับโลก จนมีบางชนชาติอยากจะสร้างแบรนด์ออกมาแข่งบ้าง ที่จริงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมวยไทยนั้น เส้นทางก็ไม่ได้ต่างจากยูยิตสูนักหรอกครับ มันเริ่มจากวิชาที่ใช้ในสนามรบ ที่ยังจำกัดอยู่ในชนชั้นนักรบ (ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมา ดังมีตำนานเรื่องพระเจ้าเสือ) จนคลี่คลายกลายเป็นกีฬาแข่งขันให้คนดู เช่นมวยคาดเชือกยุคสนามมวยสวนกุหลาบ จนมากลายเป็นมวยสวมนวม มีการเอาเทคนิคของมวยฝรั่ง (มวยสากล) มาใส่ ไปจนถึงเรื่องที่ว่าพอมวยไทยกลายเป็นกีฬาสมัยใหม่ วิชามวยไทยโบราณก็แทบจะสูญ เหลือคนฝึกคนเรียนแค่กลุ่มเล็กๆ กลายเป็นว่ามวยไทยสมัยใหม่แบบที่เรียก “มวยไทยเวที” กลายเป็นกระแสหลัก แล้วก็ยุคเสื่อม กลายเป็นมวยพนัน เป็นอะไรที่พ่อแม่ไม่นึกจะส่งลูกไปเรียน (ด้วยภาพลักษณ์ติดลบ) จนมาถึงยุคมวยไทยผงาด จากปัจจัยหลายอย่างเช่นการแสดงความเก่งกาจของนักมวยไทยในต่างแดน จนเขารำลือว่าคือ “วิชายืนสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด” ไม่นับอิทธิพลจากสื่อ เช่นหนังองค์บาก รายการแข่ง MMA อย่าง UFC จนถึง ONE Championship
มวยคาดเชือกยุคสนามมวยสวนกุหลาบ (แหมเห็นตึกยาวอยู่โน่นเลย อิอิ) (ที่มา Facebook)
“ยูยิตสู” เองก็ผ่านอะไรมาหลายอย่าง เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง แตกกิ่งแตกก้านไปตามยุคสมัย ครับ และเมื่อ “ยูยิตสู” ตกต่ำถึงขีดสุด ก็มี “มหาบุรุษ” ผู้มารีแบรนด์ สร้างมันขึ้นเป็นโปรดักท์ใหม่และส่งออกไปไกลจนเรียกได้ว่าเขย่าโลก สัปดาห์หน้า ผมจะมาพูดถึงเรื่องราวของปรมาจารย์ คาโน่ จิโกโร่ และเรื่องราวการผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นของ “โคโดคันยูโด” ครับ อย่าลืมติดตามกันนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (1) ปูมหลังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (5) ประวัติและพัฒนาการของวิชาดาบอิไอสำนัก “มุโซจิกิเด็นเอชินริว”
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (3) วิชาต่อสู้ของญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ (น่าจะ) รู้จัก
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (2) พื้นฐานของวิชาดาบอิไอ
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (2) ความเจริญและความเสื่อมของยูยิตสูโบราณ