3 สุดยอดวิวทางทะเลของญี่ปุ่น…เรามารู้จัก “Nihon Sankei” หรือ Japan’s Three Most Scenic Views สามดินแดนที่ถือว่าวิวทิวทัศน์งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกัน ซึ่งถ้าใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วละก็ ต้องหาโอกาสแวะเวียนไปเช็คอินอัปเฟสโชว์เพื่อนกันให้ได้
เรามารู้จัก “Nihon Sankei” หรือ Japan’s Three Most Scenic Views สามดินแดนที่ถือว่าวิวทิวทัศน์งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกัน ซึ่งถ้าใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วละก็ ต้องหาโอกาสแวะเวียนไปเช็คอินอัปเฟสโชว์เพื่อนกันให้ได้
เนื่องด้วยองค์ประกอบของประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเกาะล้อมรอบไปด้วยทะเล ทั้งฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคที่อยู่ทางด้านตะวันออก และฝั่งทะเลญี่ปุ่นที่อยู่ทางทิศตะวันตก วางตัวเป็นแนวยาวจากเหนือจรดใต้กว่า 3,000 กิโลเมตร ทำให้มีทัศนียภาพทางทะเลสวยแปลกตาในหลายมุมมอง โดยทั้งสามดินแดนแห่งความฝันที่จะแนะนำต่อไปนี้ ก็เกี่ยวข้องกับวิวทิวทัศน์ทางทะเลด้วยกันทั้งสิ้น
สถานที่แห่งแรก อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima) ตั้งอยู่ในจังหวัดมิยางิ (Miyagi) เมืองเซนได (Sendai) อยู่ห่างจากตัวเมืองเซนไดประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ด้วยภูมิทัศน์ที่เป็นอ่าวที่มีความยาวถึง 17 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยที่ถูกปกคลุมด้วยต้นสนซึ่งมีรูปร่างแคระแกรน ลำต้นประหลาดเนื่องด้วยแรงลมที่พัดจากทะเล และขึ้นอยู่บนเกาะหินที่กระจายตัวอยู่ในบริเวณอ่าวกว่า 260 เกาะ ช่างเป็นภาพที่แปลกตาจนสามารถจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ ได้มากมาย มีการกล่าวขานถึงความงามของอ่าวมัตสึชิมะ โดยกวีเอกแห่งยุค มัตซูโอะ บาโช (Matsuo Basho) เอาไว้ว่า “การได้มาเยือนมัตสึชิมะ เป็นความสุขสุดยอดในชีวิต” และสำหรับกิจกรรมในการชมความงามของอ่าวมัตสึชิมะ ก็คือ การล่องเรือชมอ่าว แล่นลัดเลาะผ่านเกลียวคลื่น สัมผัสความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ระหว่างผืนทะเลกับท้องฟ้าในบรรยากาศตามฤดูกาลทั้ง 4 พร้อมทั้งให้อาหารเหล่านกนางนวลแสนรู้ ซึ่งพอมีเรือแล่นออกไปในอ่าวก็จะพากันบินตาม เรียกร้องผู้ใจบุญบริจาคอาหารเป็นข้าวเกรียบกุ้งคาลบี้ ที่มีบริการวางขายอยู่บนเรือด้วยเช่นกัน


หลังจากเหตุการณ์สึนามิ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554 อ่าวมัตสึชิมะก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้างเช่นกัน แต่เนื่องจากมีเกาะแก่งเป็นจำนวนมากในอ่าว ที่คอยเป็นฉากกั้นซับแรงคลื่นที่เข้ามาปะทะ จึงทำให้เกิดผลกระทบกับตัวอ่าวน้อยมาก ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่เราเคยเห็นในภาพข่าวหรือคลิปต่าง ๆ ที่เกิดความเสียหายแบบชนิดกวาดทุกสิ่งทุกอย่างหายไปต่อหน้าต่อตา และอ่าวมัตสึชิมะก็ได้กลับมาเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวหลังจากเหตุการณ์สึนามิ ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2554 เป็นต้นมา

สถานที่แห่งที่สองที่ติดอันดับ Top Three คือ อะมาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) สะพานที่ทอดตัวยาวจากพื้นเบื้องล่างสู่สรวงสวรรค์บนฟากฟ้า ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดเกียวโต (Kyoto) เมืองมิยาสึ (Miyasu) ซึ่งอยู่ติดกับทะเลญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นสันทรายที่ถูกสร้างสรรค์โดยธรรมชาติทั้งจากกระแสน้ำและแรงลมพัดที่พาตะกอนและเม็ดทรายมารวมตัวกันเป็นแนวยาว ทอดตัวขวางกั้นระหว่างอ่าวมิยาสึกับแหลมตังโกะ (Tango) มีความยาวถึง 3.6 กิโลเมตร สันทรายสีขาวเนื้อละเอียดดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยต้นสนน้อยใหญ่กว่า 8,000 ต้น จึงถูกจัดสรรพื้นที่เป็นสวนสาธารณะเพื่อพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ความงดงามของสถานที่แห่งนี้คนญี่ปุ่นได้ให้คำนิยามไว้ว่า “Hakusha-Seisho” ซึ่งมีความหมายว่า “หาดทรายสีขาวและต้นไม้สีเขียว”

ในการชมสะพานสู่สรวงสวรรค์แห่งนี้ จะต้องขึ้นไปมองจากมุมสูง โดยมีบริการเคเบิลคาร์ที่บริเวณ Mt. Nariai ซึ่งบริเวณเชิงเขาดังกล่าว มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เที่ยวชมด้วย คือ Nariaiji Temple เป็นวัดที่เก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 704 ภายในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม และสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวัดนี้คือ เจดีย์ใหญ่ที่มีความสูงถึง 5 ชั้น หลังจากเที่ยวชมภายในวัดแล้ว เดินต่อมาตามทางขึ้นเขา จะเจอร้านขายของที่ระลึกต่างๆ และร้านขายอาหารทะเลตากแห้งที่ชาวบ้านในท้องถิ่นนำมาตั้งขายหน้าบ้าน ซึ่งจะตั้งอยู่ก่อนที่จะถึงสถานีกระเช้า Cable Car เพื่อเดินทางสู่ Kazamatsu Park จุดชมวิวทิวทัศน์ของอะมาโนะฮาชิดาเตะ โดยมีพื้นที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้สำหรับถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ส่วนขั้นตอนวิธีการชมนั้น อย่างแรกต้องหันหลังให้กับสันทรายที่อยู่เบื้องล่าง จากนั้นก้มลงมองวิวลอดระหว่างขาตัวเอง ก็จะเห็นภาพที่เป็นเหมือนสะพานสีเขียวที่ทอดตัวยาวจากพื้นสู่ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนถึงชั้นสวรรค์ ดังคำล่ำลือตามจินตนาการที่มีการบอกต่อกันมา
และอีกหนึ่งกิจกรรมเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้วไม่ควรพลาดคือ การเช่าจักรยาน (มีร้านบริการอยู่ตรงเชิงเขา) แล้วปั่นไปบริเวณสันทรายเก็บรายละเอียดบรรยากาศริมทะเล ปล่อยอารมณ์ไปกับความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างขึ้น

สถานที่แห่งที่ 3 ของ “Nihon Sankei” คือ อิตสึคุชิมะ (Itsukushima) หรือชื่อที่คนทั่วไปรู้จักกันแพร่หลาย คือ มิยาจิมะ (Miyajima) ซึ่งหมายถึงเกาะแห่งศาลเจ้า เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ใน Seto Inland Sea และเป็นส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเซโตะไนไก มีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือ ซุ้มโทริอิขนาดใหญ่สีแดงสดตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล เป็นสิ่งที่ประกาศถึงความเชื่อในลัทธิชินโตที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่น
โดยซุ้มประตูโทริอิหลังปัจจุบัน ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1874 มีความสูงถึง 16.8 เมตร รูปแบบโครงสร้างของประตูเป็นแบบ Ryobu-Torii ตามแบบของเดิมที่เคยตั้งอยู่มานานกว่าเจ็ดศตวรรษ แต่สำหรับความศรัทธาของคนบนเกาะมีรากเหง้ามายาวนานยิ่งกว่านั้น ศาลเจ้าหลังแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เพื่อบูชาเทพีแห่งท้องสมุทรทั้งสาม (ธิดาของเทพอะมาเทราสุ) และเพื่อรักษาเกาะแห่งความศรัทธานี้ให้บริสุทธิ์ จึงห้ามสตรีคลอดบุตรบนเกาะ และห้ามมิให้มีคนตายบนเกาะแห่งนี้ ดังนั้นหากมีคนล้มป่วยเจ็บหนักหรือหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด ก็จะเคลื่อนย้ายยออกไป เพราะป้องกันมิให้เกิดมลทินขึ้นบนเกาะ และรักษาความบริสุทธิ์ปราศจากมลทินให้คงอยู่กับเกาะแห่งนี้ตราบนานเท่านาน ตามความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
บทความโดย : ทีมงาน www.marumura.com /div>