“แนนโน๊ะ x โทมิเอะ: ความแค้นและการให้อภัย” (เรต18+)
หากใครเป็นเด็กยุค 90 น่าจะเคยอ่านมังงะเรื่อง “โทมิเอะ” (富江) ผลงานของนักเขียนแนวสยองชื่อดัง คุณจุนจิ อิโต้ (ในไทยใช้ชื่อเรื่องว่า “คลังสยองขวัญลงหลุม) แม้ว่าเนื้อเรื่องจะชวนให้ขยะแขยง ขนลุก หลอกหลอนแค่ไหนในช่วงที่กำลังอ่าน คิดในใจตอนที่ยังไม่จบเล่มว่าจะไม่อ่านอีกแล้ว แต่สุดท้ายไม่สามารถฝืนความเย้ายวนใจของเรื่องได้ ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆเหมือนเป็นคำสาป (ที่ไม่ใช่ก้นหอยมรณะ/ปลามรณะ)
มังงะเรื่องนี้โด่งดังขนาดที่ว่ามีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Tomie (1999), Tomie Replay (2000) และ Tomie : Re-birth (2001) ซึ่งใช้ชื่อไทยว่า “ผีหัวหลุด” ทั้งสามภาค
เรื่องย่อ: “โทมิเอะ” เป็นนักเรียนสาวสวยที่ผู้ชายทุกคนเห็นแล้วต้องตกหลุมรักเธออย่างถอนตัวไม่ได้ วันหนึ่งเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นที่มีความหมั่นไส้เธอเป็นทุนเดิม พวกเขากลัวว่าจะต้องซวยติดคุกจากเรื่องที่เกิดขึ้น เลยตัดสินใจช่วยกันหั่นศพออกเป็นชิ้นๆจำนวน 48 ชิ้นแล้วกระจายไปซ่อนตามที่ต่างๆ ทุกคนสัญญากันว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แม้ทุกคนจะรู้สึกผิดในใจแต่ก็พยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติ เมื่อถึงตอนเปิดเทอม เรื่องสะพรึงได้เริ่มต้นขึ้น เพราะโทมิเอะกลับมาเรียนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โทมิเอะมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ราวกับเธอไม่ใช่มนุษย์ ตัวอย่างเช่น
_ ผู้ชายทุกคนตกหลุมรักเธอเพราะความงามที่แสนจะลึกลับเย้ายวนตัณหาราคะ แต่ความรักที่เกิดขึ้นนั้นดูสยองมากกว่าโรแมนติก เพราะเธอจะกระตุ้นให้ผู้ชายต้องการฆ่าหั่นเธอเป็นชิ้นๆ เพื่อให้ได้สิทธิครอบครองเธอแต่เพียงผู้เดียว เธอไม่ได้มีความรู้สึกรักชอบกับผู้ชายคนไหน เธอมองผู้ชายเป็นแค่ของเล่น
_ เธอเป็นผู้ถูกกระทำ หลังจากที่เธอถูกฆ่าด้วยวิธีการต่างๆ บทลงโทษที่จะมอบให้คนบาปเหล่านั้นเกิดจากร่างกายเธอที่มีความพิเศษ ทุกบาดแผลที่เกิดขึ้นจะมีตัวเธองอกออกมา ซึ่งร่างเหล่านั้นจะสร้างความปั่นป่วนให้คนที่ฆ่าได้รับผลกรรมไป
_ โทมิเอะมีความเป็นอมตะ เพราะต่อให้ถูกฆ่าตายเธอสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในสภาพร่างเดิมที่สวยงาม
_ หากชิ้นส่วนของร่างกายเธอ เลือด เข้าไปในร่างกายคนอื่น คนคนนั้นจะกลายเป็นโทมิเอะ
โทมิเอะสามารถปรากฏกายได้ในทุกที่ เป็นความงามที่อาบยาพิษ แต่ละที่ที่เธอไปจะเกิดความย่อยยับบัดซบทุกครั้ง เธอเป็นเสมือนสิ่งที่พระเจ้าส่งลงมาเพื่อทดสอบเรื่องตัณหาราคะของมนุษย์ (Lust) หากใครเข้าไปข้องเกี่ยวชีวิตจะพังพินาศ
>> แนนโน๊ะ_เด็กใหม่ (Girl from Nowhere)
เป็นซี่รีย์ไทยที่ตอนนี้ออกมาถึงซีซั่นที่ 2 แล้ว ฉายทาง Netflix ตัวเรื่องฉีกแหวกแนวไปจากหนังไทยเรื่องอื่น เนื้อหาและภาพที่สวยงามเหนือจริง ทำให้คนดูติดกับต้องดูต่อไปเรื่อยๆ
เรื่องย่อ: แนนโน๊ะเป็นหญิงสาวสวยที่เปลี่ยนโรงเรียนเป็น “เด็กใหม่” ไปเรื่อยๆ เธอเฝ้ามองพฤติกรรมของคนรอบตัวที่มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี เธอเป็นบททดสอบด้านมืดในจิตใจคนด้วยการให้ตัวเลือกที่เป็นตัณหาราคะเพื่อดูว่าคนนั้นจะทานทนต่อสิ่งยั่วยุได้มากแค่ไหน หากใครทำผิดเธอจะมีบทลงโทษอย่างสาสม บางครั้งเป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อที่กฎหมายหรือสังคมไม่ได้มอบบทลงโทษให้ตามที่ควรจะเป็น
จากทั้งเรื่องโทมิเอะและแนนโน๊ะ เราจะเห็นภาพความเป็นจริงของโลกนี้ว่ามีทั้งผู้ที่เป็นฝ่ายไปกระทำคนอื่นและเหยื่อที่ถูกกระทำ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้รับความยุติธรรมจากเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น
เวลาเจอเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นผู้ถูกกระทำ อารมณ์ที่ตามมาย่อมเป็นด้านลบ เช่น โกรธ, เสียใจ, แค้น, เสียความไว้ใจ บางเรื่องมันหนักหนาสาหัสจนยากที่จะให้อภัย แต่คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่า “ต้องให้อภัยปล่อยวางเพื่อให้ใจเราสบายขึ้น” ถ้าเรายังให้อภัยตามที่คนรอบตัวสั่งสอนไม่ได้ เรามักจะรู้สึกผิดว่า “ทำไมเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้” คำถามที่เกิดตามมา คือ การที่เรายังไม่พร้อมให้อภัยถือว่าเป็นความผิดของเราหรือไม่
>> ไขปริศนาวาทกรรมเรื่องการปล่อยวางและการให้อภัย (forgiveness)
@ การให้อภัย (forgiveness) ไม่ได้หมายความว่าให้เราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น (forgetting)
_ การให้อภัยไม่ใช่เครื่องมือที่เราจะใช้ลบความทรงจำแย่ๆที่คนอื่นทำกับเรา เพราะการหยุดความคิดเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จริง
_ แม้เราจะหยุดความคิดหรือลืมความทรงจำที่แย่ๆไม่ได้ แต่เรามีวิธีที่จะจัดการมันได้ด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจ (shift focus) ไปทำอย่างอื่นแทน
_ เมื่อมีความคิดหรือความทรงจำแย่ๆผุดขึ้นมา เราสามารถที่จะรับรู้ (acknowledge) ทำความเข้าใจว่าเมื่อมีความคิดเกิดขึ้นมาได้ มันก็จะหายไปได้ โดยที่ไม่พยายามฝืนธรรมชาติไปขัดขวางหรือหยุดความคิดนั้น (mindfulness)
@ การให้อภัย (forgiveness) เป็นเรื่องที่อยู่คนละขั้วกับความโกรธ (anger)
_ เวลาที่เรารู้สึกถูกทำร้ายหรือถูกเอาเปรียบเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกโกรธคนที่มาทำเรื่องแย่ๆกับเรา
_ หากมองในแง่มุมของวิวัฒนาการ ความโกรธในช่วงระยะเวลาสั้นๆเป็นอาวุธที่ช่วยให้เราเอารอดชีวิตได้ แต่ถ้ามีความโกรธนานจนเกินไปจะทำให้เราต้องเสียพลังความคิด (mental energy) ไปกับเรื่องที่อาจไม่ได้ประโยชน์อะไร และทำให้เสียสุขภาพจิต เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้า, วิตกกังวล
_ ถ้าเราเริ่มรู้สึกโกรธ ให้เรารับรู้ว่ากำลังโกรธ (acknowledge) ทำความเข้าใจกับอารมณ์โกรธ (validate) ว่าเรื่องเฮงซวยที่เกิดขึ้นมันสมควรทำให้โกรธจริง แต่อยากให้ลองกลับมาคิดดูว่า “โกรธไปแล้วได้อะไร” เพราะปัจจัยหลายอย่างในชีวิตเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
@ การให้อภัย (forgiveness) ไม่ได้หมายความว่าให้จำนนยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น (endorsement)
_ คนจำนวนมากที่ยังไม่สามารถให้อภัยคนที่มาทำร้ายได้ มักจะได้รับคำแนะนำสั่งสอนว่าต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น (accept) แล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา (move on) ความยาก คือ การยอมรับ (accept) ของแต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน
_ เหยื่อจากความรุนแรงส่วนใหญ่ (victim) มักจะถูกผู้กระทำ (abuser) ทำให้เหยื่อเชื่อว่าตัวเองมีส่วนผิดที่ทำให้ผู้กระทำต้องทำเรื่องแย่ๆใส่ “แกสมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้”
_ ความหมายของการยอมรับ (acceptance) ในทางจิตวิทยา ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องจำใจจำนนยอมรับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น (endorsement) หรือบังคับตัวเองให้คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม (justifying) แต่หมายถึงการยอมรับว่าเรื่องเลวร้ายได้เกิดขึ้นจริง เรื่องได้เกิดไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบันซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถจัดการได้ (controllable)
@ การให้อภัย (forgiveness) ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมหรือปรองดองกับคนผิด (reconciliation)
_ คนมักเข้าใจผิดว่าเวลาที่มีคนมาทำร้ายทำไม่ดีกับเรา เราต้องยอมประนีประนอมหรือปรองดองกับคนผิด
_ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาทำร้ายเราจะขอโทษและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เรามักจะคาดหวังว่าการที่เรายกโทษให้แล้วอีกฝ่ายจะสำนึกผิดหรือเปลี่ยนมาทำดีกับเรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้
_ เราสามารถมีความหวัง (hope) ที่จะให้อีกฝ่ายกลับตัวกลับใจมาทำดีกับเรา แต่ต้องไม่ไปคาดหวัง (expectation)
@ การให้อภัย (forgiveness) ไม่ใช่คำตอบเพียงหนึ่งเดียวของการตัดสินใจในการจัดการเรื่องเลวร้าย
_ การให้อภัยเป็นหนึ่งในทางเลือกของการรับมือกับเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น การให้อภัยไม่จำเป็นต้องทำได้ในตอนนั้นหรือเป็นการที่ทำแล้วจบได้ในช่วงอึดใจเดียว
_ การให้อภัยเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการที่จะเยียวยาเรื่องเลวร้ายนั้น
_ การให้อภัยเป็นเพียงก้าวแรกของกระบวนการเยียวยารักษาบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้น หากเราให้อภัยอีกฝ่ายไปแล้วแต่เรายังเจ็บปวด ยังนึกถึงเรื่องแย่ๆ ไม่ต้องโทษตัวเอง เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยระยะเวลา
@ การให้อภัย (forgiveness) ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก (feelings)
_ คนมักเข้าใจผิดว่าพอให้อภัยไปแล้วอารมณ์และความรู้สึกต่างๆจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
_ เมื่อให้อภัยไปเราคาดหวังว่าเราจะไม่มีความรู้สึกโกรธ เกลียด เคียดแค้น แต่เราจะสุขสงบ ผ่อนคลาย ซึ่งไม่เป็นจริงเสมอไปขึ้นอยู่กับแต่ละคนและปัจจัยอีหลายอย่า
_ หากเราเลือกที่จะให้อภัยคนที่มาทำร้ายเรา แต่ใจเรายังคงเจ็บปวดอยู่ ก็ไม่เป็นไร เพราะอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ รู้สึกก็คือรู้สึก
“การให้อภัย” เป็นสิ่งที่ดีและเป็นหนึ่งในขั้นตอนการเยียวยารักษาบาดแผลทางใจ พูดเหมือนง่ายแต่ทำยาก
ถ้ายังทำไม่ได้ในตอนนี้ไม่ต้องไปฝืนหรือโทษตัวเอง เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยระยะเวลา
ตอนนี้หมอก็กำลังพยายามทำใจกับสถานการณ์โควิดของไทยในตอนนี้อยู่เหมือนกันค่ะ
แอบคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีโทมิเอะหรือแนนโน๊ะในเมืองไทย เรื่องราวต่างๆจะเป็นอย่างไรนะ??
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– Rilakkuma: เหนื่อยนักก็นอนพักก่อน
– หน้ากากที่คนญี่ปุ่นใส่ใช้ป้องกันภัยและปกป้องใจด้วย
– เมื่อเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นติดโควิดและคำขอโทษ
– คอสเพลย์นี้…ช่างดีต่อใจ
– โนมิไกดื่มเหล้าให้จงหนัก: ผลเสียที่ตามมา
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#แนนโน๊ะ x โทมิเอะ: ความแค้นและการให้อภัย (เรต18+)