พนักงานยกขนมจีนกับแกงเขียวหวานมาเสิร์ฟ ญี่ปุ่นหนุ่ม 3 ชีวิตนิ่งสนิทมาก ไม่มีใครขยับตะเกียบก่อนแม้ว่าป้าเกตุจะพยายามบอกว่า “อาหารไทย เผ็ดนิดเดียว อร่อย” แล้วก็ตาม ผ่านไป 5 วิ. หนุ่มน้อยคนหนึ่งถามเบาๆ ว่า “อันนี้กินยังไงครับ”
วันก่อนมีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาฝึกงาน มีเด็กฝึกงานจากญี่ปุ่นมาเมืองไทย 10 คน ทุกคนไม่เคยมาเมืองไทยมาก่อนเลย บางคนเพิ่งเคยเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ
ทางผู้จัดก็อยากให้น้องๆ ได้เจอคนไทยเยอะๆ เลยจัดปาร์ตี้มีทติ้ง ไทย-ญี่ปุ่นกัน ดิฉันก็ไปร่วมแจมด้วย พวกเราคนไทยถูกแยกไปนั่งตามโต๊ะต่างๆ ทุกโต๊ะ จะมีสัดส่วนคนไทยต่อคนญี่ปุ่นในอัตรา 1 ต่อ 4 โต๊ะที่ดิฉันนั่งเป็นน้องๆ ผู้ชาย 4 คนเลย (หวานป้าละ)
โชคดีที่น้องๆ ไม่ขี้อายเท่าไร แต่ละคนมีคำถามที่น่าสนใจมากๆ ดังต่อไปนี้…
1. นี่กินยังไง
พอเริ่มทานไปได้สักระยะ พนักงานยกขนมจีนกับแกงเขียวหวานมาเสิร์ฟ ญี่ปุ่นหนุ่ม 3 ชีวิตนิ่งสนิทมาก ไม่มีใครขยับตะเกียบก่อนแม้ว่าป้าเกตุจะพยายามบอกว่า “อาหารไทย เผ็ดนิดเดียว อร่อย” แล้วก็ตาม
ผ่านไป 5 วิ. หนุ่มน้อยคนหนึ่งถามเบาๆ ว่า “อันนี้กินยังไงครับ”

หนุ่มๆ ก็กล่าวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“เหหห สุโก้ย”
ตรงไหนเพคะ!?
หนึ่งในหนุ่มญี่ปุ่นบอกดิฉันว่า ถ้าเป็นโซเม็งญี่ปุ่น มันมีวิธีกิน 2 แบบ แบบแรกคือ ทซึเคเมน เอาแกงใส่ถ้วย คีบบะหมี่จุ้ม แล้วซู้ดเข้าปาก คือทานแบบหมี่เย็นเลย กับแบบที่สองคือ ทานกับแกงกะหรี่ แต่ที่ญี่ปุ่น เขาจะตักแกงกะหรี่ไว้ฝั่งหนึ่ง ขนมจีนไว้อีกฝั่ง ไม่มาปนกัน ฮีเลยอะเมซซิ่งกับวิธีกินขนมจีนกับแกงเขียวหวานของบ้านเรามากๆ ราดแกงลงไปเล้ยยย ฮีบอกว่า “ดิบดี” 555
นี่ถ้าพาไปกินขนมจีนน้ำยา แล้วฮีเห็นตอนเราราดแกง โยนกะหล่ำ ถั่วงอกใส่ แล้วคลุกๆๆ เจ้าพวกนี้ต้องช็อคไปตามๆ กันแน่ๆ
(ป.ล. คนญี่ปุ่นไม่ทานถั่วงอกดิบ ทุกคนจะตกใจเสมอเวลาพาไปกินผัดไทหรือขนมจีน แล้วเห็นถั่วงอกดิบถูกกองไว้มุมหนึ่งของจาน)
2. ทำไมคนไทยชอบใช้หลอด
คำถามนี้ยูคุง หนุ่มน้อยเด็กสุด (และหล่อสุด) ในโต๊ะถามดิฉัน ฮีบอกว่าที่ญี่ปุ่นเวลาซื้อน้ำจากร้านสะดวกซื้อหรือกดจากตู้หยอดเหรียญ คนจะดื่มจากปากขวดเลยตรงๆ แต่พอมาเมืองไทย เวลาฮีไปซื้อเครื่องดื่มตามร้านสะดวกซื้อ หรือทานข้าวที่ร้านอาหาร คนไทยจะให้หลอดมาด้วยเสมอ ทำไมคนไทยต้องใช้หลอดเยอะและบ่อยขนาดนี้
ดิฉันบอกน้องยูว่า ยูถามง่ายมาก แต่ไอตอบย้ากยาก… มันมีหลายเหตุผล ได้แก่
1) เพื่อความสะดวกในการดื่ม
เมืองไทยเป็นเมืองร้อนเรานิยมกินน้ำแข็งกันตลอดปี น้ำแข็งไทยก้อนเล็กๆ ถ้าไม่ใช้หลอด น้ำแข็งจะมากองตรงริมฝีปากและหลุดร่วงจากแก้วสกปรกเลอะเทอะพื้นได้ ทางร้านเลยให้หลอดมาอำนวยความสะดวก
2) เพื่อความสะอาด
สมัยก่อนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้ายังไม่ค่อยดี ฝาขวด ฝากระป๋องเลอะง่าย คนกลัวดื่มตรงๆ แล้วอันตราย เลยต้องใช้หลอดเสียบดื่ม ขวดน้ำญี่ปุ่นเปิดฝามาดื่มได้เลย แต่ขวดฝาไทยจะมีพลาสติกหุ้มไว้ก่อน 1 ชั้น … คือ คนไทยไม่ไว้ใจผู้ประกอบการอย่างรุนแรง กลัวฝาขวดสกปรก
จริงๆ ดิฉันอยากอธิบายว่าพวกเรากลัวโรคฉี่หนูแต่นึกภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ศัพท์มันแอ๊ดวานซ์เกิน และเดี๋ยวฮีจะถามต่ออีกว่าเมืองไทยมีหนูเยอะเหรอ มีกี่ตัว ป้ายิ่งตอบไม่ได้เข้าไปใหญ่ บอกแค่ “สกปรก” แหละ พอละ
3) เพื่อมารยาท
คนไทยมองว่าการดื่มเครื่องดื่มโดยการกรอกปากไม่สุภาพเท่าไร ต้องดื่มจากหลอดเพื่อภาพที่สวยงามของตัวเราในสายตาสาธารณชน
พอมานั่งคิดดีๆ ตอนอยู่บ้าน เราก็ไม่ค่อยได้ใช้หลอดสักเท่าไร อาจเป็นเพราะไม่ต้องห่วงภาพพจน์ และรู้สึกเปลืองหลอดด้วยมั้งคะ ไม่รู้คุณผู้อ่านเป็นกันหรือเปล่า
ป.ล. น้องยูบอกว่า ไปซื้อน้ำจากร้านหนึ่ง เขาให้หลอดสั้นกว่าขวดน้ำดื่ม ผมเลยยิ่งงงว่า เขาให้มาทำไมครับ? 555
3. ทำไมตึกใหม่กับตึกเก่ามันเรียงรายปนกัน
ข้อนี้น้องจินไน เด็กคณะนิติศาสตร์เป็นคนถามมา ถามซะซีเรียสเชียว ฮีเล่าว่า
“ผมออกไปเดินเล่นแถวโรงแรม เห็นตึกใหม่สุดหรูหลายตึก แต่เดินไปอีกนิด ตึกข้างๆ เป็นตึกเก่าแบบที่ผมคิดว่าจะมีใครอยู่อีกเหรอ ผมเห็นภาพแบบนี้สลับไปตลอดสายถนน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นครับ”
อันนี้ตอบง่าย … เจ้าของตึกคนละตึกค่ะ ใครคิดจะทุบ จะทำอะไรใหม่ก็เรื่องของคนนั้น คนรอบๆ ก็อยู่ไป ตึกจะเก่าจะโทรมก็ช่างมัน
แต่ที่ดิฉันงงแทน คือ ในทางกลับกัน ทำไมที่ญี่ปุ่นตึกในย่านเดียวกันมันใหม่พอๆ กันล่ะคะ? อันนี้ไม่ได้ถามน้องเค้าตอนนั้น เพราะคิดได้ตอนเดินกลับบ้านเสียดายจัง เจ้าของก็น่าจะคนละคนเหมือนไทย หรือญี่ปุน่เขามีพรบ.จำกัดอายุอาคารสถานที่? วานผู้รู้ช่วยตอบนะคะ
4. ทำไมป้าร้านนวดทำแบบนี้
ยูคุง (ในข้อ 2.) ถามดิฉันอีกข้อ .. ฮีบอกว่า คืนวันก่อนไปเดินเล่นตอนกลางคืน เดินๆๆๆ จนห้าทุ่มกว่าเมื่อยมาก ขากลับบังเอิญเจอร้านนวดร้านหนึ่ง เขียนว่า “นวดชั่วโมงละ 200 บาท”
ยูคุงซึ่งเป็นเด็กฉลาด ก็ต่อรองคุณป้าในร้าน บอกว่าขอนวดแค่ครึ่งชั่วโมงร้อยเดียวได้ไหม ดึกแล้วจะรีบกลับโรงแรม ป้าใจดี ซย์เยส ฮีเลยเข้าไปนั่งให้ป้านวด ระหว่างนั้นฮีก็นอนหลับตาพริ้ม
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ป้าบอก “เสร็จแล้วค่ะ”
ยูคุงบอกว่า “คืนนั้น ป้า…นวดให้ผมแค่ขาขวาข้างเดียว ทำไมครับ?”
ทะ….ทำไม….. 5555 ไม่รู้ว่าป้ากะเวลาผิดหรืออย่างไร
สุดท้าย ยูคุงเลยขอให้ป้านวด “ขาซ้าย” ด้วยและจ่าย 200 บาทกลับไป
ป.ล. ยูคุงจำภาษาไทยคำว่า “จั๊กกะจี้” ได้จากคุณป้าท่านนี้ ฮีชอบคำว่า “จั๊กกะจี้” มากๆ เสียงตลกดี
ใครมีเพื่อนคนญี่ปุ่นมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก เตรียมใจรับคำถามแบบนี้ให้ดีๆ นะคะ ส่วนใครเคยเจอคำถามอะไรแปลกๆ ฮาๆ มาแชร์กันเป็นวิทยาทานและสันทนาทาน (ทานเพื่อความรื่นเริง) ให้เพื่อนๆ กันค่ะ!
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura