เวลาพาเพื่อนญี่ปุ่นมาเที่ยวอยุธยาก็จะอธิบายให้เห็นภาพคร่าวๆ ก่อนว่า อยุธยาเป็นเมืองหลวงที่สองของไทย ก็เหมือนกับเกียวโตของญี่ปุ่นที่มีความรุ่งเรืองและยาวนานทางประวัติศาสตร์ ในตัวเมืองก็จะมีวัดและปราสาทอยู่เต็มไปหมด พออธิบายเทียบกับเมืองเกียวโตบ้านเค้า ชาวญี่ปุ่นทั้งหลายก็จะเข้าใจภาพของอยุธยากันขึ้นมาระดับหนึ่ง ^^
![]() |
AME.dama นิสิตสาวโฉดโสดสนิทชั้นปีที่ 4 คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหนึ่งปีที่ Osaka University of Economics and Law จังหวัดโอซาก้า
งานอดิเรก : ดูลายมือ ไพ่ทาโร่ต์ อ่านนิยายการ์ตูน และเม้าท์มอย ก่อนหน้านี้เคยมาอยู่กับโฮสแฟมิลี่ชาวญี่ปุ่นในโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน 4 ครอบครัว และได้ทุนมาทัศนศึกษากับมหาวิทยาลัยคิวชู จังหวัดฟุคุโอกะ นับเป็นโชคดีที่ได้มีโอกาสมาอยู่ในญี่ปุ่นในหลายบทบาททั้งในฐานะนักเรียน นักท่องเที่ยว และลูกๆ ของโฮสแฟมิลี่ที่อบอุ่น จึงได้เห็นอะไรหลายอย่างนอกจากมุมมองของนักท่องเที่ยว ต่อจากนี้จะพยายามเขียนบทความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาให้ทุกท่านได้อ่านกันนะคะ ^^ |
หลังจากพาชิสุกะเที่ยวช้อปปิ้งในเมืองไปแล้ว ก็ขอพามาย้อนยุคเมืองเก่า “อยุธยา” ซะหน่อย
เวลาพาเพื่อนญี่ปุ่นมาเที่ยวอยุธยาก็จะอธิบายให้เห็นภาพคร่าวๆ ก่อนว่า อยุธยาเป็นเมืองหลวงที่สองของไทย ก็เหมือนกับเกียวโตของญี่ปุ่นที่มีความรุ่งเรืองและยาวนานทางประวัติศาสตร์ ในตัวเมืองก็จะมีวัดและปราสาทอยู่เต็มไปหมด พออธิบายเทียบกับเมืองเกียวโตบ้านเค้า ชาวญี่ปุ่นทั้งหลายก็จะเข้าใจภาพของอยุธยากันขึ้นมาระดับหนึ่ง ^^

วันนี้ญาติผู้พี่ใจดีอาสาขับรถพาไป แถมยังมีเพื่อนเอกภาษาญี่ปุ่นมาช่วยพาเที่ยวเลยยิ่งคึกคักกัน ที่แรกที่เราแวะไปก็คือ “หมู่บ้านญี่ปุ่น” ความสัมพันธ์ของคนไทยกับญี่ปุ่นมีมานานตั้งแต่สมัยอยุธยา ทั้งการค้าขาย หรือทหารจ้าง และ “ยามาดะ นางามาสะ” เรื่องราวของบุคคลสำคัญที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ก็ได้ถูกบอกเล่าเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แห่งนี้

ชาวโอกินาว่าอย่างชิสุกะเองก็เพิ่งได้มารู้ว่า ชาวโอกินาว่าหรือเรียกว่าชาวริวกิวในสมัยก่อนนั้นมีการติดต่อกับประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แถมข้าวที่ใช้หมักเหล้าอะวาโมริบ้านเค้าก็มาจากข้าวไทยบ้านเรานั่นเอง เป็นเหล้าเชื่อมสายสัมพันธ์ไทย-โอกินาว่าเลย

ยามาดะ นางามาสะ ชาวญี่ปุ่นที่มารับราชการในกรุงศรีอยุธยาจนได้ขึ้นถึงตำแหน่งชั้นสูงอย่างออกญาเสนาภิมุข AME.dama เคยเขียนเรื่องของยามาดะ นางามาสะเอาไว้ ผู้ที่สนใจติดตามอ่านได้ค่ะhttps://www.marumura.com/history/?id=2146

หลังจากนั้นเราก็นั่งรถพาชิสุกะไปแวะชมพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในอยุธยาที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ชิสุกะแหงนหน้ามองพระพุทธรูปแล้วอึ้งไปกับความใหญ่โตและความเหลืองทองอร่ามอลังการ ตอนถ่ายรูปนี่ทั้งเชิดหน้ากล้อง ทั้งย่อตัวถ่ายกันแทบติดพื้นสุดๆ

มาวัดก็พาทำกิจกรรมชาวพุทธ อย่างเติมน้ำมันตามพระประจำวันเกิดกันซักหน่อย แต่คนญี่ปุ่นต่างจากคนไทยตรงที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดวันอะไรกันค่ะ รู้แค่วันที่ เดือนเกิด ปีเกิดทั่วไป แต่เรื่องวันเกิดเค้าไม่สนใจกันค่ะ ก็เลยเป็นหน้าที่ของเพื่อน AME.dama ใช้อากู๋กูเกิ้ลช่วยหาให้และได้ผลว่า ชิสุกะเกิดวันพฤหัสบดีนั่นเอง นี่ไงมาไทยได้รู้เป็นครั้งแรกเลยว่าตัวเองเกิดวันพฤหัสนะชิสุกะ ฮ่าๆ

เสร็จแล้วก็ไปเดิน “อโยเดีย ตลาดนานาชาติ” มีให้นมแพะ ให้นมปลาคาร์ฟ ใส่ตัวไรไว้ในขวดนมเด็กแล้วเอาให้ปลาดูด แปลกดีค่ะ หรือกิจกรรมให้อาหารช้าง

ใกล้ๆ กันมีถ่ายรูปกับเสือ ชิสุกะดีใจออกหน้าออกตา เพราะตอนแรกนางบอกอยากไปวัดเสือที่กาญจนบุรี ด้วยจุดประสงค์คืออยากไปจับเสือ ถ่ายรูปกับเสือตัวใหญ่ๆ เพราะที่ญี่ปุ่นมีให้ถ่ายรูปกับแค่ลูกเสือตัวเล็กๆ ความฝันเล็กๆของชิสุกะสาวน้อยที่ชอบจัสมิน เจ้าหญิงดิสนีย์ที่มีเสือเป็นสัตว์เลี้ยง กาญจนบุรีไม่มีเวลาไป แต่จับเสือที่อยุธยาคงจะทำให้เธอสมหวังได้ล่ะนะ ฮ่าๆ

เสือนอนนิ่งมาก ยังกับตุ๊กตา คุณป้าเจ้าของก็บอกให้ชิสุกะเข้าไปนั่งใกล้ๆ เสือ “จับขยี้มันแรงๆ เลยหนู เสือมันหนังหนาถ้าไม่จับแรงๆ มันไม่รู้สึกหรอก” แล้วก็เบิ๊ดกะโหลกเสือแรงๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง ตอนนั้น AME.dama มัวแต่ถ่ายรูปให้ชิสุกะเลยลืมแปลให้ชิสุกะฟังว่าป้าพูดอะไรบ้าง มารู้ทีหลังว่าชิสุกะตกใจมากที่อยู่ดีๆ ป้าก็ตบหัวเสือซะแรง ตอนนั้นกลัวเสือจะโมโหแล้วโดนขย้ำ โถๆ ได้ประสบการณ์สุดระทึกนี้กลับไป ภารกิจจับเสือลุล่วงแล้วสินะชิสุกะ ฮ่าๆ

ใกล้ๆ กันเดินถัดไปอีกหน่อยมี “ตลาดน้ำอโยธยา” เราไม่มีเวลาพอจะพาชิสุกะไปนั่งเรือชมตลาดน้ำของจริง แต่มาที่นี่ก็ได้บรรยากาศตลาดน้ำอยู่


ลงจากเรือแล้ว เราก็เดินเล่มชมบรรยากาศร้านค้าแถวนั้นกัน เจอภาพวาดการละเล่นเด็กไทยเวอร์ชั่นโดราเอม่อนแอบฮาเบาๆ สายสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นนี่ลึกซึ้งจริงๆ จบช่วงเช้าวันนี้ที่อยุธยาไปแล้วเดี๋ยวไปทานข้าวแล้วไปต่อกับช่วงบ่ายกันต่อค่ะ^^
ทักทายพูดคุยกับ AME.dama ได้ที่ >>> Facebook AME.dama