จะว่าไป เกตุวดีเขียนคอลัมน์นี้มาก็ 2 ปีกว่าแล้ว เขียนมา 37 ตอนแล้วค่ะ ดิฉันเองก็เริ่มหมดมุข…เอ๊ย…นึกได้ว่า ยังไม่ค่อยได้เล่าเรื่องตัวเองให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเลย ช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเขียนเล่าเรื่องตอนอยู่ญี่ปุ่นให้ทุกคนลองอ่านดู ให้เรารู้จักกันและกันมากขึ้นนะคะ ^^
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ มีข่าวประชาสัมพันธ์เล็กน้อย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน คอลัมน์ Japan Gossip จะลงทุกวันอังคารแล้วค่ะ เดิมเราเจอกันแค่เดือนละ 2 ครั้ง แต่ต่อจากนี้ เราจะได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้วค่ะ!
จะว่าไป เกตุวดีเขียนคอลัมน์นี้มาก็ 2 ปีกว่าแล้ว เขียนมา 37 ตอนแล้วค่ะ ดิฉันเองก็เริ่มหมดมุข…เอ๊ย…นึกได้ว่า ยังไม่ค่อยได้เล่าเรื่องตัวเองให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเลย ช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเขียนเล่าเรื่องตอนอยู่ญี่ปุ่นให้ทุกคนลองอ่านดู ให้เรารู้จักกันและกันมากขึ้นนะคะ ^^

เกตุวดีเกิดและเติบโตมาในกรุงเทพฯย่านลาดพร้าว เป็นสาวราศีสิงห์ ฝังใจกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพราะเพื่อนที่ทำงานแม่ชอบชมว่า ด.ญ.เกตุวดีหน้าเหมือนคนญี่ปุ่น ญี่ปุ่นอยู่ไหนยังไม่รู้ แต่รู้สึกว่าตัวเองมีใบหน้าที่โกอินเตอร์ดี พอโตขึ้นถึงค่อยรู้ว่า เด็กผู้หญิงที่หมวยๆ ขาวๆ หน่อย ผู้ใหญ่เขาก็ชมหมดแหละว่าเหมือนเด็กญี่ปุ่น เป็นคำชมเพื่อให้พ่อแม่ปลาบปลื้มและแก้เขินเวลาผู้ใหญ่เขาเจอกันแล้วไม่รู้จะคุยอะไร ชมลูกเขาไว้ก่อน
พ่อแม่อิฮั้นทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนที่บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในไทย ตอนเด็กๆ พ่อบินไปประชุมที่ญี่ปุ่นปีละครั้ง ที่บ้านเลยมีของที่ระลึกจากญี่ปุ่นเต็มไปหมด ทั้งตุ๊กตากิโมโน ผ้าแพรประดับ ตะเกียบ ดาบซามูไร ดิฉันว่าดิฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างโชคดี มีโอกาสได้สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นตั้งแต่เล็ก ตอนเด็กๆ ก็เล่นของเล่นญี่ปุ่นที่พ่อซื้อมาฝากบ้าง ดัดแปลงของใช้ในบ้านมาเล่นสไตล์ญี่ปุ่นบ้าง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อแม่ทิ้งให้เรากับลูกสาวเพื่อนแม่อยู่บ้านกันสองคน ตอนนั้นเกตุวดีกำลังบ้าหนังจีนมาก เลยไปเอาชุดยูกาตะพ่อมาใส่แล้วชวนน้องเล่นกำลังภายใน เราเอาดาบซามูไรมาฟาดฟันกัน ดาบจริงๆ คมๆ เนี่ยแหละค่ะ น้องก็มือสั่นๆ ถามว่าจะดีเหรอ เกตุวดีอยากแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีเลยบอก “เอาเลยๆ ไม่เป็นไร” เราก็ฟันกันช้งเช้ง ยังดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร ไปบาดเจ็บหนักตอนที่แม่รู้ว่าเราเอาดาบซามูไรมาเล่นกัน (เพื่อนแม่โทรมาเล่า ความเลยแตก…)
เมื่อแม่เห็นนิสัยซุกซนบ้าบิ่นของลูกสาวคนนี้ ก็เริ่มกลัวว่าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เกตุวดีคงโตเป็นเด็กหญิงแก่นแก้ว ไม่มีใครมาสู่ขอไปแต่งงานแน่นอน แม่เลยดุและเข้มงวดมาก พยายามอบรมให้ลูกเติบโตเป็นกุลสตรีที่ดี ห้ามหัวเราะเสียงดัง ห้ามพูดไม่เพราะ และกวดขันด้านการเรียน เกตุวดีเลยเติบโตขึ้นมากลายเป็นเด็กสองบุคลิก ต่อหน้าผู้ใหญ่จะนั่งพับเพียบเรียบร้อย แต่พออยู่กับเพื่อน ก็จะกลับไปเป็นเด็กหญิงเกตุวดีก๋ากั่นเหมือนเดิม ใครมีลูกต้องอบรมอย่างระมัดระวังนะคะ อย่าให้ซ้ำรอยดิฉัน
แต่จะว่าไป นิสัยสองบุคลิกนี้เป็นประโยชน์มากในการใช้ชีวิตในโรงเรียนค่ะ เนื่องจากด.ญ.เกตุวดีหน้าตาเรียบร้อยและผลการเรียนดี คุณครูเลยมอบหมายให้เป็นหัวหน้าห้องอยู่บ่อยๆ ทีนี้ เวลาคุณครูสั่งงานและจะลุกไปไหน มักให้เกตุวดีคอยช่วยจดชื่อคนคุยในห้อง ใครคุยมาก คุณครูจะลงโทษ เสร็จเรา…เพราะเราเป็นคนเม้าท์แตกเอง และไม่มีใครกล้าฟ้องคุณครูได้ ถ้าคุณครูสงสัย เราก็แอ๊บหน้าเด็กเรียนใส่ ทำให้คุณครูไว้วางใจ โฮะๆ
จุดที่เริ่มหักเหของชีวิต คิดไปเรียนเมืองนอกก็คือตอนที่กลายมาเป็นน.ส.เกตุวดี ตอนเข้าม.ปลาย …
เผอิญเกตุวดีสอบเข้าร.ร.เตรียมอุดมศึกษาได้ เด็กโรงเรียนนี้มักจะสอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอก ไปไม่ไปไม่รู้ สอบๆ ไว้ก่อน ทุนที่ฮิตที่สุดคือทุนคิงหรือทุนเล่าเรียนหลวง ทุนอื่นก็จะมีทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ทุนก.พ. ทุนกระทรวง ทุนมหาลัยต่างๆ เกตุวดีเห็นพี่ๆ เค้าได้ทุนโน่นทุนนี่แล้วเท่ห์จังเลย เลยเริ่มฝันอยากไปเรียนเมืองนอกกับเขาบ้าง
ทีนี้ ดิฉันก็มานั่งคิดว่าจะไปเรียนประเทศไหนดี (พูดเหมือนชีวิตเลือกได้) อังกฤษ อเมริกา คนเก่งๆก็ไปเรียนกันเยอะแล้ว ไม่ชอบทำอะไรตามกระแส เลยตั้งใจว่าจะไปเรียนที่อื่น พอดีมีรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่งได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น พี่เขาก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับรายละเอียดทุน รุ่นพี่ที่แสนอบอุ่น อาหารอร่อยๆ เกตุวดีเลยเคลิ้มๆ บวกกับตัวเองก็คลุกคลีกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ อยู่แล้ว เลยตัดสินใจมุ่งสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นค่ะ
สมัยนั้น (ปีค.ศ. 2002) เด็กวิทย์กับเด็กศิลป์จะสอบข้อสอบคนละชุด เกตุวดีเป็นเด็กศิลป์-คำนวณ ก็สอบ 3 วิชา คือ วิชาภาษาอังกฤษ วิชาเลข และวิชาประวัติศาสตร์โลก (World History) เกตุวดีจำรายละเอียดข้อสอบไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่า วิชาเลขออก 5 ข้อ มีข้อหนึ่งให้คำนวณอะไรสักอย่างเกี่ยวกับสามเหลี่ยม วิชาที่หนักใจสุดคือวิชา World History ซึ่งกว้างมากและเตรียมตัวอ่านหนังสือแทบไม่ได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะออกยุคไหน ยุคเมโสโปเตเมีย ยุคกรีก-โรมัน หรือจะถามชื่อจักรพรรดิหรือกษัตริย์ประเทศใด โรงเรียนก็ไม่ได้สอนละเอียดขนาดนั้น ตอบได้แค่ประมาณ 30% เท่านั้นเอง นอกนั้นมั่วหมด (ปัจจุบัน เค้าตัดวิชานี้ออกไปแล้วค่ะ เหลือแค่สอบเลขกับภาษาอังกฤษเท่านั้น)
โชคชะตาบันดาล เกตุวดีสอบผ่านข้อเขียน ถัดมาเป็นรอบสัมภาษณ์ น.ส.เกตุวดีตื่นเต้นมาก ก่อนสอบ ก็มีรุ่นพี่ทุนญี่ปุ่นมาช่วยติว ติวกันตั้งแต่วิธีเคาะประตูว่าต้องเคาะ 2 ที เข้าไปถึงให้โค้งกับไหว้ อย่างนู้นอย่างนี้ เกตุวดีถูกสัมภาษณ์เป็นลำดับกลางๆ เพื่อนที่สัมภาษณ์เสร็จออกมาบอกว่า กรรมการถามว่า “นายกฯญี่ปุ่นมาเมืองไทยเพื่อมาเจรจาเรื่องอะไร” เกตุวดีเลยยิ่งเครียด ข่าวการเมืองอิฮั้นก็ไม่เคยสนใจเลย อ่านหน้าบันเทิงอย่างเดียว ชีวิตนี้จะไปรอดหรือไม่!?
พอเจ้าหน้าที่สถานทูตขานชื่อ “น.ส.เกตุวดีค่ะ” อดีตเด็กหญิงก๋ากั่นอย่างอิฮั้นเดินตัวลีบๆเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ทุกอย่างเบลอมาก จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองเคาะประตูกี่ที ดังพอหรือเปล่า ในห้องมีกรรมการ 3 ท่าน คนหนึ่งในนั้นเป็นคนญี่ปุ่น 1 คน กรรมการก็ถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ เช่น ทำไมอยากไปญี่ปุ่น ชอบอาหารญี่ปุ่นอะไรบ้าง เฮะเฮ้…ง่ายกว่าที่คิด มีคำถามหนึ่งที่อิฮั้นยังจำได้จนบัดนี้ แกถามว่า“หนูชอบการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องอะไรบ้างจ๊ะ” ในใจอยากตอบเครยอนชินจัง ชอบมาก หนูมีทุกเล่มเลยเค่อะ แต่สุดท้ายก็เลือกตอบ “อิ๊กคิวซัง” ดูฉลาดสุดแล้ว
ผลสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศทางเว็บไซต์ค่ะ เกตุวดีกับเพื่อนวิ่งไปขอยืมคอมพิวเตอร์อาจารย์ที่ห้องแนะแนวดูผล ไม่น่าเชื่อ …. “ผู้สอบผ่านการคัดเลือก น.ส. A, นาย B, น.ส.เกตุวดี, นาย C…” เอ๊ะ มีชื่ออิฮั้นจริงๆ ด้วย จำได้ว่าผลสอบประกาศตอนเดือนสิงหาคม ซึ่งตรงกับเดือนเกิดตัวเองพอดี ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นโตให้ตัวเองเลยทีเดียวค่ะ ข้อสอบก็ทำไม่ค่อยได้ สัมภาษณ์ก็ตอบแบบงงๆ ปาฏิหาริย์มีจริงๆ ด้วย ปีนั้น มีเด็กที่สอบผ่านทุนปริญญาตรีทั้งหมด 6 คน สละสิทธิ์ไป 2 คน เหลือ 4 คนรวมดิฉัน
พอรู้ว่าจะได้ไปเรียนญี่ปุ่นสมใจ เกตุวดีก็โล่งใจ ไม่ต้องนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอ่านหนังสือสอบเอนทรานซ์ (สมัยนี้เรียกแอ๊ดมิน) เหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ แล้ว สามารถไปกินไปเที่ยวอย่างสบายใจ มาทุกข์อีกทีตอนแพ็คของ จะเอาอะไรไปบ้าง สมัยนั้น วัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหารไทยยังหาซื้อไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้ เกตุวดีก็ต้องแบกน้ำปลา พริกป่น หมูหยองไปด้วย ตอนนี้ ถ้าให้แนะนำน้องๆ คงจะบอกว่า เอาของที่เยียวยาใจไปดีกว่า ของที่เยียวยากาย เช่น เสื้อผ้า เสื้อกันหนาว อาหาร ที่ญี่ปุ่นมีขายหมดแล้ว แต่ของบางอย่าง เช่น หมอนน้อยที่เรากอดทุกคืน รูปภาพครอบครัวและเพื่อนๆ ซีดีเพลงไทยที่เราชอบ เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ในญี่ปุ่น ชีวิตเรียนในต่างแดนไม่ได้มีสีสันและสนุกสนานตลอดอย่างที่เราฝันๆ กันไว้ วันใดที่เราท้อ เราเหนื่อย หยิบของเหล่านี้ขึ้นมาดู ก็จะทำให้เรามีกำลังใจและกัดฟันสู้ต่อไปได้มากขึ้นค่ะ

3 เมษายน ค.ศ. 2003 เพื่อนๆ ญาติๆ และคุณครูก็อุตส่าห์มาส่งถึงสนามบินดอนเมือง เรากอดกัน น้ำตาซึมๆ เพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกทีเมื่อไร เฟสบุ๊ค สไกป์อะไรก็ยังไม่มี ต้องโทรหรืออีเมลอย่างเดียว ยอมรับว่าใจหายค่ะ เวลา 23.59 น. สายการบิน TG เท่าไรก็ไม่รู้ ก็นำเกตุวดีและเพื่อนร่วมทุนอีก 2 คนบินขึ้นฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่เราใฝ่ฝันถึง
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura