ทุก ๆ คนที่ได้อ่านข้อความของเธอรู้สึกได้ถึงอารมณ์เศร้าของเธอ ก่อนตายเธอได้เขียนข้อความหาแม่ที่ Shizuoka ว่า “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” แม่ของเธอได้ขอร้องไม่ให้เธอคิดสั้นแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
ปี 1991 มีพนักงานชายบริษัทเดนสึ (บริษัทโฆษณาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น) ที่ทำงานได้เพียง 2 ปีตัดสินใจแขวนคอตายที่บ้านเพราะทำงานมากเกินไป
ในเคสนั้นเดนสึได้ยอมจ่ายเงินชดเชยถึง 168 ล้านเยน และล่าสุดเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานญี่ปุ่นได้ตัดสินว่าการกระโดดตึกฆ่าตัวตายของพนักงานบริษัทเดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วก็เป็นการสูญเสียจากการทำงานมากเกินไป เหยื่อล่าสุดที่กระโดดตึกจบชีวิตเป็นสาวสวยอายุเพียง 24 ปีชื่อ Matsuri Takahashi และเพิ่งเข้าทำงานในเดือนเมษายนปี 2015 หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวและเปี่ยมไปด้วยความหวังในการทำงาน
แต่ระยะเวลาเพียง 8 เดือนที่เธอทำงานแผนกการโฆษณาทางอินเตอร์เนทได้มีการลดพนักงานลงจาก 14 คนเหลือเพียง 6 คน ทำให้คนที่เหลืออยู่ต้องทำงานหนักขึ้น โดยเธอต้องทำงานล่วงเวลาถึง 100 ชั่วโมงต่อเดือน ก่อนหน้าเธอจะจบชีวิตตัวเองลง เธอได้เขียนระบายความในใจในทวิตเตอร์ว่า
“ร่างกายและจิตใจของฉันแหลกสลาย”
“เขาบอกให้ฉันทำงานวันเสาร์และอาทิตย์ ฉันต้องการจะจบทุกอย่างลง”
“ตอนนี้เวลาตีสี่ ร่างของฉันสั่นสะท้าน ฉันกำลังจะตาย”
“ฉันหมดความรู้สึกทุกอย่าง อยากนอนเพียงอย่างเดียว”
“ทุก ๆ คืนฉันไม่อาจข่มตาลงได้ เพราะฉันอกสั่นขวัญแขวนเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้กำลังจะมาถึง”
ในช่วงหลังเธอเริ่มเขียนข้อความเกี่ยวกับเรื่อง ความตาย เช่น
“บางทีการตายอาจเป็นทางเลือกที่ทำให้มีความสุขกว่า”
และเธอได้โพสต์ประชดประชันเจ้านายเธอว่า
“การทำงานล่วงเวลายี่สิบกว่าชั่วโมงของเธอไร้ค่าสำหรับบริษัทมาก”
“หน้าตาที่สลึมสลือของเธอในที่ประชุมแสดงให้เห็นว่าเธอจัดการงานไม่ได้”
“อย่ามาทำงานทั้ง ๆ ที่หัวยุ่งและตาแดงก่ำแบบนั้น”
ทุก ๆ คนที่ได้อ่านข้อความของเธอรู้สึกได้ถึงอารมณ์เศร้าของเธอ ก่อนตายเธอได้เขียนข้อความหาแม่ที่ Shizuoka ว่า “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” แม่ของเธอได้ขอร้องไม่ให้เธอคิดสั้นแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
สำหรับเรา ๆ อาจคิดว่าการตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเพราะต้องทำงานหนักอาจเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป เพราะจริงๆเรามีทางออกชีวิตอีกมากมายโดยไม่ต้องก้มหน้าทนรับสภาพค่ะ แต่หากเราวิเคราะห์สังคมญี่ปุ่นแล้วก็พอเข้าใจได้ถึงการตัดสินใจของเธอค่ะ
• งานและชีวิตคือสิ่งเดียวกัน
สำหรับคนญี่ปุ่นโดยปกติแยกงานและชีวิตออกจากกันไม่ได้ พนักงานถูกคาดหวังว่าจะต้องร่วมเป็นร่วมตายกับบริษัท บางทีงานเสร็จ เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานไม่เสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ คนญี่ปุ่นมักทำงานที่ไหนไม่เปลี่ยนงาน (แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมนี้เปลี่ยนไปมาก คนรุ่นใหม่นิยมเปลี่ยนงานกันมากขึ้น) เพราะถ้าออกก็ไม่มีบริษัทอื่นอยากรับนอกจากคุณจะไปยอมเริ่มต้นใหม่ในตำแหน่งล่าง ๆ ดังนั้นการทำงานจะพลาดไม่ได้ พลาดคือจบ ไม่มีโอกาสใหม่
• การทำงานหนักและความพยายามอย่างไม่ท้อถอยเท่านั้นถึงจะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้
ดิฉันคิดว่าเบื้องหลังวัฒนธรรมการทำงานหนักของคนญี่ปุ่นนั้นเกิดจากสาเหตุคือประเทศเคยประสบภัยหลายอย่าง ทั้งภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนเกิดความทุกข์ยากและต้องฟื้นเศรษฐกิจด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไรเขาจะทำงานนั้นอย่างดีที่สุด โดยคิดว่าไม่มีใครจะทำหน้าที่นี้ได้ดีไปกว่าตัวเอง พร้อมที่จะเสียสละตนเองเมื่อเห็นว่าส่วนรวมได้ประโยขน์ คนญี่ปุ่นยังมีวัฒนธรรมที่ถูกสอนให้พึ่งพาตัวเอง เอาใจใส่และจริงจังกับทุกอย่าง
• ความเครียดจากการทำงานและสภาพสังคม
คนญี่ปุ่นหลายคนจะบังคับลูกให้เรียนหนักแต่เด็กเพื่อสอบเข้ามหาวิทยารัฐบาลที่มีชื่อเสียง (เรียกว่าสร้างความเครียดให้แต่เด็ก และเด็กจะยิ่งเครียดมากขึ้นหากสอบเข้าไม่ได้) พอจบปริญญาตรีก็มักจะทำงานที่เดียวไปตลอดชีวิต
ลองคิดดูนะคะว่าหากไม่ถูกกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องทำงานร่วมกันทุกวัน บางคนเจอเจ้านายโรคจิตกดดัน ตะคอกใส่ทุกวันจะเครียดขนาดไหน ทั้งปริมาณงานที่ต้องทำก็เยอะและไม่มีทางปฏิเสธได้ คนญี่ปุ่นหลายคนแข่งกันทำงานเพื่อให้เจ้านายเห็นผลงานและเผื่อว่าจะได้ขึ้นตำแหน่ง จึงรู้สึกผิดมากหากกลับบ้านตรงเวลาหรือหากจะลาพักร้อน บางคนแข่งกันทำงานล่วงเวลากับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ใช้วันลาพักร้อนเลย
นอกจากนี้หากอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ชาวญี่ปุ่นยังต้องเผชิญความเครียดจากการแก่งแย่งเบียดเสียดบนรถไฟไปและกลับจากทำงาน การแย่งกันหาร้านกินข้าว และต้องรีบกินเร็ว ๆ เพราะร้านจะคนเยอะมาก การแย่งกันซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่แต่กลับอยู่แบบตัวใครตัวมันทำให้เกิดความอ้างว้างและโดดเดี่ยวจนอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า
• การไม่แสดงความรู้สึก
ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบโดยปราศจากความยืดหยุ่น เช่น การเข้าแถวขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบ การห้ามส่งเสียงดังบนรถไฟ วินัยการจราจรดีเยี่ยม นอกจากนี้สังคมญี่ปุ่นยังขึ้นชื่อเรื่องความเอาจริงเอาจังและความรับผิดชอบ การขาดความยืดหยุ่นนี้เองทำให้ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ถือมารยาทในสังคมสูง และจะไม่แสดงอารมณ์ด้านลบทางสีหน้าให้ใครเห็น อารมณ์ความรู้สึกด้านลบใด ๆ ก็ต้องปิดเอาไว้บอกใครไม่ได้ เช่น ความโกรธ ความโมโห ความไม่พอใจ จนกลายเป็นความเก็บกด บางคนจึงหาทางออกด้วยความตาย
• ไม่มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
หากเป็นคนไทยหรือฝรั่ง เวลาเครียดก็อาจจะเข้าวัด สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรืออธิษฐานต่อพระเจ้าก็พอจะคลาดความเครียดไปได้บ้าง แต่ญี่ปุ่นไม่ยึดถือคำสอนของศาสนาใดอย่างจริงจังและไม่เชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปเหมือนชาวคริสต์หรือพุทธ
ในทางตรงกันข้ามคนญี่ปุ่นกลับถือการฆ่าตัวตายเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำใด ๆ ที่ล้มเหลวของตน เหมือนเช่นการฆ่าตัวตายแบบฮาราคีรีของซามูไรในสมัยก่อนเพราะละอายต่อความผิดพลาดของตัวเอง จึงไม่มีหน้าไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นต่อไป
• สังคมแบบรวมกลุ่ม
สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมแบบกลุ่มนิยมและมักจะทำอะไรเหมือน ๆ กัน เวลาเดินอยู่ในโตเกียวในวันทำงาน เราจะเห็นพนักงงานออฟฟิศใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันและแต่งตัวลักษณะคล้าย ๆ กันเดินขวักไขว่ มองไปช่างดูไร้สีสันอย่างสิ้นเชิง คนญี่ปุ่นชอบทำตัวให้เหมือน ๆ คนอื่นและไม่ต้องการแปลกแยก พวกเขาเรียกร้องการยอมรับจากคนอื่น ซีเรียสกับภาพลักษณ์และแคร์สายตาคนอื่นมาก ๆ ค่าของคน ๆ หนึ่งจะขึ้นอยู่กับว่าเขาได้รับการยอมรับจากคนอื่นมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นเขาก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง หากโดนเพื่อนที่โรงเรียน เจ้านายหรือเพื่อนที่ทำงานกีดกันหรือกลั่นแกล้งแล้วละก็ เขาก็จะรู้สึกถึงความกดดันแบบที่ยอมรับไม่ได้
ตอนดิฉันอยู่ญี่ปุ่นจะเห็นพนักงานออฟฟิศญี่ปุ่นหลายคนจับรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่หมดประมาณเกือบเที่ยงคืนมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดสำหรับคนทำงานดึก พนักงานเหล่านั้นหน้าตาดูเหนื่อยล้า แววตาดูไร้ชีวิต การทำงานหนักโดยไม่ยอมพักผ่อนก็ก่อให้เกิดผลเสียมากมาย ทั้งต่อสุขภาพร่างกาย
ดิฉันคิดว่าอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เดินทางสายกลางดีที่สุดค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สามารถพูดคุยและติดตามบทความจากพิชชารัศมิ์ ได้ที่ FB Page: :Life Inspired by พิชชารัศมิ์
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– ผลิตอะไรให้สิ่งนั้นตอบแทนสังคม
– เทคนิคการปรับความคิดพิชิตสำเร็จตามแนวทางนักปรัชญาญี่ปุ่น Nakamura Tempu
– ธนาคารอาหารญี่ปุ่น เก็บของเหลือเพื่อคนยาก
– หลักปฏิบัติ 6 เพื่อการขัดเกลาจิตวิญญาณของดร. คาซุโอะ อินาโมริ เทพแห่งการบริหารญี่ปุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่
– อย่ากินทิ้งกินขว้าง อย่าใช้ทิ้งใช้ขว้าง จิตสำนึกดี ๆ ของคนญี่ปุ่นที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง
– จัดบ้านให้น่าอยู่ จัดร้านให้น่าเข้า สไตล์ญี่ปุ่น
#การตายของพนักงานบริษัทเดนสึที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไป