โรงพยาบาลญี่ปุ่นนั้นเป็นอะไรที่เข้าไปขอรักษาไม่ได้ง่ายเหมือนที่ไทย การจะไปต้องจองและบางรพ.ไม่รับชาวต่างชาติ อีกทั้งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ต้องเรียกรถพยาบาลเท่านั้น แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่เรียกรถพยาบาล เรายังไหว จะต้องทำยังไงบ้าง?!?! จะประหยัดลงมั๊ย!?!?
เรื่องเล่านี้คือเรื่องจากประสบการณ์จริงซึ่งพบได้บ่อยมากสำหรับคนที่มาเที่ยวญี่ปุ่น จนคิดว่าถึงเวลาที่เราควรจะเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว
ในวันหยุดวันอาทิตย์ที่คนอื่นหยุด แต่อีฮั้นต้องออกจากบ้านไปทำงาน ก็ได้รับแชตจากพี่คนนึงซึ่งเค้ามาเที่ยวญี่ปุ่น แต่ถามว่าเคยคุยกันมั๊ยเรียกว่ารู้จักกันจากสื่อออนไลน์เลยค่ะ พี่เค้าแชตมาว่าอยากให้ใครสักคนมาช่วยเป็นล่าม เพราะพี่เค้ามีลูกอายุประมาณ 7 ขวบไข้ขึ้นสูงมาก ๆ นอนอยู่ที่โรงแรมคาโดยะ ที่ชินจุกุ
ต้องเรียนไว้ก่อนนะคะว่าโรงพยาบาลในญี่ปุ่นนั้นเป็นอะไรที่เข้าไปขอรักษาไม่ได้ง่ายเหมือนที่ไทย การจะไปต้องจองและบางรพ.ไม่รับชาวต่างชาติ อีกทั้งถ้าเป็นวันหยุดอย่างนี้ต้องเรียกรถพยาบาลเท่านั้น แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่เรียกรถพยาบาล เรายังไหว จะต้องทำยังไงบ้าง?!?! จะประหยัดลงมั๊ย!?!? จะว่าไปแล้วถ้าเราเจ็บป่วยบางครั้งก็ต้องยอมเสียทุกอย่างค่ะ เพราะฉะนั้นก่อนมาร่างกายควรจะพร้อมเพื่อให้ไม่ติดโรคติดต่อได้ง่าย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สวมมาร์กปิดปากได้ก็ควรสวมค่ะ
ในวันนั้นเราก็ติดทำงานกว่าจะเลิกก็บ่ายแก่ ๆ ก็เลยจะไปช่วยก็กระไรอยู่ เลยแนะนำให้พี่เค้าไปรพ.ที่พูดอังกฤษได้ก่อน เพราะการเข้ารพ.ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยโดยเฉพาะในวันหยุดนี่ลำบากมาก ๆ เคยมีน้องเกือบจะตายอยู่แล้ว เค้ายังไม่รับเลย เค้าบอกว่าต้องให้เรียกรถพยาบาลแล้วให้รถพยาบาลตัดสินใจว่าจะให้ไปที่ไหน กรณีที่มากับทัวร์คงไม่ต้องห่วงไกด์จัดการให้หมดมีประกันอยู่แล้ว แต่ถ้ามาเองหล่ะคะ ในเมื่อยาที่มีอยู่ก็เอาไม่อยู่ ซื้อยาเค้ากินก็ไม่หายสักที ไข้ 38 องศาขึ้นนี่เราต้องตั้งสติมาก ๆ ค่ะ ต้องมาดูกันค่ะว่าถ้าเราจะโดยสารแท็กซี่ไปหาหมอเองต้องเริ่มจากอะไรบ้าง ซึ่งในวันนั้นอีฮั้นต้องไปช่วยน้องหลังจากทำงานเสร็จ
1. ปรึกษาเจ้าหน้าที่โรงแรม
หรือใครก็ได้ในญี่ปุ่นให้เค้าหาข้อมูลโรงพยาบาลให้ เนื่องจากที่ญี่ปุ่นพื้นที่อันแสนแคบจะหาโรงพยาบาลต้องดูอาการ ข้อนี้สำคัญที่สุดเลย ถ้าเราคิดว่าไม่รู้จะพึ่งใครดีให้ไปที่โรงแรมก่อนค่ะ ในเบื้องต้นเราพักกับเค้า หลายต่อหลายเคสแล้วก็ให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดคือโรงแรมที่เราพัก ครั้งนี้ก็เช่นกัน โรงแรมหารพ.ให้เนื่องจากเค้าต้องวิเคราห์โรคก่อนจะเข้าไปรักษา รพ.ส่วนใหญ่เป็นรพ.เฉพาะทาง
ครั้งนี้ขออนุญาตไม่พูดถึงชื่อโรงพยาบาลนะคะ เพราะแนะนำว่าควรแจ้งคนที่จะช่วยหารพ.ให้เค้าช่วยหาก่อน ซึ่งโรงแรมแต่ละพื้นที่ก็จะพยายามหารพ.ที่ใกล้ที่สุดและตรงกับโรคให้เรา ซึ่งในครั้งนี้โรงแรมน่ารักมากค่ะ จองไว้ให้เราด้วย เขียนบอกแท็กซี่ให้หมดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ให้จอดรถให้กับคนไข้ที่ไหน การติดต่อที่โรงแรมต้องแจ้งอาการอย่างชัดเจนด้วยนะคะ
2. โดยสารแท็กซี่
กรณีที่เราไม่เรียกรถพยาบาล 119 ถ้าไข้สูงขนาดนั้นคงต้องพี่แท็กแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ เรียกพี่แท็กไม่ได้แพงอะไรมากมายยอมจ่ายเลยค่ะ จุดนี้แล้ว ครั้งนี้เราก็เสียเงินไปเพียงสองพันกว่าเยน ซึ่งเราเดินทางจากชินจุกุมาถึงสถานีโอชาโนะมิซุไกลจากชินจุกุพอสมควร แต่ก็ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงระหว่างทางน้องก็นอนแบบพูดไม่ไหวแล้วเลยค่ะ แท็กซี่ก็ใจดีมาก ๆ พาไปส่งถึงหน้าโรงพยาบาล
3. ทำการแจ้งตรวจอาการ
เมื่อเข้าไปถึงเจอเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เนื่องจากวันนี้วันหยุดมีแต่แผนกฉุกเฉินเท่านั้นที่ทำงาน เราให้รปภ.พาไปที่แผนกฉุกเฉิน แล้วติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ เค้าทำหน้างง ๆ เพราะเรามาช้ากว่าที่ทางโรงแรมติดต่อไว้ถึง 5 ชั่วโมง คือเค้าบอกว่าถ้าไม่มีการแจ้งมาก่อน เคสเดินเข้ามานี่ไม่รับเลย ต้องมีรถพยาบาลมาส่งเท่านั้น แต่เนื่องจากทางโรงแรมแจ้งรายละเอียดไว้ให้ ถ้าเราไปเองเค้าคงไม่รับจริง ๆ สินะ T-T
ทางโรงพยาบาลก็ให้เรานำพาสปอร์ตออกมาแล้วเขียนประวัติอย่างง่าย ๆ สิ่งที่เค้าจะถามอย่างแรกคือ ชื่อที่อยู่โรงแรม มาถึงญี่ปุ่นกี่วันแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างท่องเที่ยวใช่มั๊ย อาการเค้ายังไม่ถามเพราะทางโรงแรมแจ้งแล้ว และให้ไปนั่งรอ จุดนั้นแต่ละเคสคือหนัก ๆ เข้ามาจริง ๆ ค่ะ
รับการตรวจรักษา รวมถึงการตรวจโรคไข้หวัดใหญ่ Influenza จากนั้นนั่งรอประมาณ 20 นาทีแพทย์ที่พูดอังกฤษได้จะเข้ามาเรียกเราค่ะ แล้วก็แน่นอนว่าโดนถามว่าทำไมไม่มาตั้งแต่แรก ซึ่งทางคุณพ่อคุณแม่น้องกังวลในเรื่องภาษา คุณหมอบอกว่าไม่ต้องหว่งนะ ควรมาเร็ว ๆ ยิ่งเร็วยิ่งดี แล้วหมอพูดอังกฤษได้ ภาษาไม่น่าจะเป็นปัญหาเรื่องการรักษา (เนื่องจากคุณหมอทำภาษากายได้เก่งมากค่ะเช่นคำว่าอาเจียน หมอจะทำท่าให้ดู)
คุณหมอจะถามวันเดินทางมาถึงเพื่อวินิฉัยโรคว่าเป็นโรคที่มาว่ามาจากประเทศไทยหรือญี่ปุ่น ทุกคำตอบคือสิ่งที่จะทำให้แพทย์ตัดสินใจนะคะว่าเราเป็นโรคอะไร ถ้าอาการแฝงมาตั้งแต่บนเครื่องบินคืออาจจะเป็นโรคระบาดใหญ่ในอนาคต เค้าจะถามว่าเราโดนยุงกัดมารึเปล่าด้วย และเมื่อคุณหมอถามทุกอย่างแล้วสุดท้ายเค้าจะบอกว่าไข้แบบนี้ขอตรวจ Influenza มีเงินพอมั๊ย สิ่งนี้สำคัญค่ะ เพราะยาแพง ที่นี่เนื่องจากคนเป็นกันเยอะ จึงจะไม่มีการนอนให้ยาในโรงพยาบาลอะไรทั้งนั้น ให้ยารอบเดียวแล้วกลับไปนอนพักจริง
คุณหมอถามเสร็จเราก็บอกว่ามีบัตรค่ะ ถ้าเกินงบเราก็มีบัตรหมอบอกได้เลยถ้าอย่างนั้นขอตรวจ หมอจะเอาแท่งคัตตันบัทเข้ามาจิ้มจนถึงปลายจมูก ซึ่งเชื้อจะอยู่ตรงนั้น (อันนี้ไม่แน่ใจจะตรวจเหมือนที่ไทยมั๊ย แต่บอกเลยว่าเจ็บมาก เจ็บยิ่งกว่าฉีดยาหลายเท่านัก) แล้วก็ให้เราไปนั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง
การตรวจ Influenza เป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่นะคะ ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไร ไข้หวัดชนิดนี้อีฮั้นเคยเป็นชนิด A มาแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ B อีกด้วย ในปี 2009 ที่บ้านเราระบาดกันนั้นเป็นสายพันธุ์ A นะคะดูข้อมูลเพิ่มเติมของโรคนี้ได้ที่นี่ >> https://th.wikipedia.org/wiki/ไข้หวัดใหญ่
อาหารของไข้หวัดใหญ่ Influenza จะมีอาการหนาวสั่น ไอ เจ็บคอ วิงเวียน คลื่นไส้ ไข้ขึ้นสูง หอบหืดซึ่งไม่ควรปล่อยไว้เด็ดขาด เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ดวงไม่ดีแล้วเป็นนะคะ เนื่องจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ กลับเข้าพี่พักก็ควรจะล้างมือ บ้วนปากก่อนเป็นอันดับแรกเลยค่ะ และเมื่อมีไข้แนะนำว่าเพื่อน ๆ ควรทานแต่พาราเซตามอลนะคะ อย่าเพิ่งทานยาอย่างอื่นเพราะโรคอาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ (กรณีที่ตัวร้อนจัดส่วนตัวชอบทานพวกแอสไพริน) จริง ๆ แล้วหมอเคยบอกไม่ให้ทานค่ะให้ทานแค่พาราฯ
4. การแจ้งผล
ถ้าน้องไข้ไม่สูง อาการไม่หนักก็คงจะไม่ถึงกับต้องตรวจไข้หวัดใหญ่ Influenza ผลสรุปคือน้องเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ A ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ไทยค่ะ แล้วจะทำยังไงดีคะ น้องจะต้องกลับวันสุดท้ายพอดีเลย น้องจะหายมั๊ย อันนี้คุณหมอก็ห่วง สิ่งแรกที่จำไว้คือคนญี่ปุ่นมีวินัยเมื่อทราบว่าตัวเองเป็นเค้าจะไม่ออกจากบ้านเลย 5-7 วัน และใส่มาร์กเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก ๆ ค่ะ ที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยกังวลเพราะประกันสังคมที่นี่ช่วยเหลืออยู่ แต่เพื่อน ๆ ที่มาอาจจะต้องเสียเงินถึง 5 หมื่นกว่าเยน ซึ่งเราเองได้รับความกรุณาจากคุณหมอที่หายาที่คุณสมบัติเท่ากันแต่ราคาถูกกว่า ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้เลยเหลือเพียง 29,000 เยน ซึ่งคุณหมอใจดีมาก ๆ นั่งเทียบตัวยาจากตำราให้กับเราเลย ปกติหมอบอกจะจ่ายตัวแพงให้ค่ะ แล้วมีตัวที่ต้องเป่าสูดเข้าร่างกายเพียงรอบเดียว ซึ่งคุณหมอจะให้ตัวซ้อมดูดยามาด้วยค่ะ เนื่องจากเราเป็นคนต่างชาติคุณหมอจะช่วยควบคุมการสูดยาตัวนี้ ซึ่งนี่แหล่ะแพง ถ้าเราสูดเข้าร่างกายไม่หมด จะต้องสูดใหม่ เสียเงินซื้อใหม่

5. การใช้ยา
ยาที่ได้มามี 2 ตัวเท่านั้นค่ะ มีตัวที่สูดเข้าร่างกายเป็นยารักษาไวรัสซึ่งเค้าให้เราสูด 4 รอบ น้องก็พยายามสูดมาก เป็นผง (จะบอกว่ายาแก้หอบที่นี่ก็ไม่ใช่ยาพ่นเป็นแบบสูดเหมือนกันค่ะ)
ส่วนอีกตัวนึงจะเป็นยาแก้ไข้ ซึ่งยาแก้ไข้นั้น ไม่ให้รับประทานตลอดนะคะ เราไม่ต้องทานอะไรแล้ว การสูดสี่รอบคือการกำจัดเชื้อไวรัสในร่างกายเราค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีไข้ยาแก้ไข้ 4 ครั้งนี้ ก็ไม่ต้องทานเลยค่ะ

ข้อปฏิบัติหลังจากทราบว่าเราติดเชื้อไวรัสชนิดนี้
– นอนพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าเป็นไปได้นะคะ ไม่ออกจากที่พัก ไม่แพร่เชื้อเพิ่ม
– ตัวเองและคนรอบข้างต้องสวมมาร์กด้วย การมาพักต่างประเทศถ้าเป็นผู้ใหญ่แนะนำให้เปิดห้องพักใหม่เลย ถ้าไม่สะดวกก็ต้องระมัดระวังอย่างมากนะคะ
– หลังจากรับยา ส่วนมากแล้วจะไม่มีไข้ ถ้ามีไข้ให้ทานยาที่คุณหมอให้มา
– การขึ้นเครื่องบินกลับไม่ได้อันนี้ต้องแล้วแต่การพิจารณาแพทย์ แล้วก็ของสายการบินด้วยค่ะ เพราะของน้องนี่คือหายพอดี เชื้อหมดพอดีกัน คุณหมอจึงบอกว่าขึ้นเครื่องไปได้
– อาการที่ยังค้างอยู่เช่นไอ พยายามทำให้ตัวเองชุ่มคอ เช่น หายาอม น้ำผลไม้ วิตามินซีมารับประทาน หากต้องการรับประทานยาอื่น ๆ กรุณาสอบถามแพทย์ก่อนออกจากโรงพยาบาล แต่ครั้งนี้ได้แนะนำน้องไปว่าให้หายาอมทานดีกว่าค่ะ
โรคนี้ไม่ใช่โรคน่ากลัวเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ซึ่งก็มีหลายต่อหลายคนที่ไม่เคยเป็น ไม่ใช่คนในประเทศนี้จะเคยเป็นหมดนะคะ แต่ความเจ็บป่วยก็สามารถทำให้เราหมดสนุกได้ถ้าใครสักคนในทริปเป็น ถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าให้ทำประกันก่อนการเดินทางสำหรับเด็ก และผู้สูงอายุมาจะดีมาก ๆ เลยค่ะ บางทีอะไรที่มันใกล้ ๆ ตัวเราก็อาจจะลืมนะคะ อะไรก็แล้วแต่สิ่งที่ดีคือสติ วันนั้นถ้าบางคนอาจจะไม่รู้จะเริ่มต้นจากอะไรก่อนดี ก็หวังว่าในรีวิวนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ ที่เดินทางแล้วเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ แบบนี้ใช้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอบคุณโรงแรม Kadoya Hotel เป็นอย่างมากที่ช่วยเหลือประสานงานกับทางโรงพยาบาลให้เป็นอย่างดี
คลิ๊กดูรายละเอียดโรงแรม >>> https://goo.gl/PWiMjh
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
ทักทายพูดคุยกับ Nat Nana ได้ที่>>> Facebook ไม่ใช่กรูรู แต่กรูรู้ ของถูกในโตเกียว
เรื่องแนะนำ :
– 5 ที่พักในญี่ปุ่นที่มาแรงช่วงฤดูหนาวนี้
– ช้อปปิ้งที่ Ikebukuro กับ 3 สิ่งแนะนำที่ทั้งสวย ดีงาม ราคามิตรภาพ
– หมุนกาชาปองสุดเพลินที่ Yodobashi camera สถานีฮาคาตะ
– อาสะกุสะ พักที่นี่ก็ดี ไปเที่ยวก็ดี ไปหาของกินยิ่งดี!
– เก็บกระเป๋า นอนตากลม ห่มหิมะ เที่ยวใกล้ๆ โตเกียวที่เมือง Tokamachi