“รบกวนช่วยบอกข้อดีข้อเสียของตนเองหน่อย” คำถามที่เจอบ่อยในตอนสัมภาษณ์งาน บอกข้อดีก็ดูจะอวด บอกข้อเสียก็ดูภาพลักษณ์แย่ อดได้งาน แล้วคนญี่ปุ่นตอบยังไงล่ะ?
หนึ่งในคำถามที่บริษัทญี่ปุ่นและบริษัทที่ไม่ใช่สัญชาติญี่ปุ่นชอบถามผู้สมัครงานกันบ่อยๆ คือ “คิดว่าข้อดีข้อเสียของตัวเองคืออะไร?”
ซึ่งโดยส่วนตัวคอลัมน์นิจรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากที่จะตอบ เพราะถ้าตอบไปว่า “ข้อดีคือขยัน มีความรับผิดชอบ” ก็จะดูแบบกล่าวลอยๆ ไม่มีหลักฐานรองรับ หรือ ข้อดีคือ “เข้ากับคนง่าย” ก็รู้สึกว่า รู้ได้ยังไงว่าตัวเองเป็นแบบนั้น คนอื่นอาจจะมองว่าเราหยิ่งมาก หลงคิดว่าตัวเองเฟรนด์ลี่ไปอีก
ถ้าตอบว่าข้อเสียของตัวเองคือ “เป็นคนที่รักความสมบูรณ์แบบ ตั้งใจทำงานให้ออกมาดีมากที่สุด” มองได้อีกแง่คือน่าจะเป็นคนเครียด จะปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ยากหรือเปล่า?
เพื่อยับยั้งความกระอักกระอ่วนใจนี้ จึงไปส่องบทความเกี่ยวกับวิธีตอบข้อดีข้อเสียของตนเองในตอนสัมภาษณ์งานของเว็บไซต์ tenshoku.mynavi.jp ซึ่งเป็นเว็บไซต์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนงาน ซึ่ง
- เนื้อหาที่มองว่าเป็นสาระที่น่าสนใจก็คือ
ขั้นแรกเลยคือเราจะนำลักษณะที่ฟังดูเป็นแง่ลบหรือแรงเกินไปมาทำให้เป็นคำที่ดูดีขึ้นก่อน เช่น
เปลี่ยนจาก “เป็นตัวของตัวเองมาก” เป็น “มีความเป็นผู้นำทางความคิด”
เปลี่ยนจาก “เกลียดความพ่ายแพ้” เป็น “มีความอดทน”
เปลี่ยนจาก “ไม่ค่อยวางแผนในการทำงาน” เป็น “เน้นปฏิบัติ” เป็นต้น ข้อนี้คอลัมน์นิจเองแอบฮาเพราะว่า แค่เปลี่ยนคำพูดนิดหน่อยนี่ทำให้ดูยังกับเป็นคนละคน ฮ่าๆๆ
2. อย่าลืมว่าข้อดีและข้อเสียควรเป็นสิ่งที่ตำแหน่งที่เราสมัครนั้นต้องการ เช่น ตำแหน่งที่ต้องการความเป็นผู้นำ เราก็ควรเน้นว่าเราเป็นคนแบบนี้ ตำแหน่งที่ต้องใส่ใจการบริการ ก็ควรเน้นข้อดีเรื่องนี้ของตนเอง ระวังเรื่องการที่ข้อดีของเราจะไม่แมทช์กับสิ่งที่บริษัทตามหา แม้มันจะเป็นข้อดีก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วถึงดีแต่ไม่โดนก็อดได้งาน
3. หาเรื่องราวมาสนับสนุนข้อดีของตนเองให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและอธิบายว่าบริษัทได้รับประโยชน์จากข้อดีนั้นอย่างไร เช่น “จากคุณลักษณะดังกล่าวของผม/ดิฉัน ทำให้ยอดขายของแผนกเพิ่มขึ้นถึง …..% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมีลูกค้ารายเดิมมาซื้อซ้ำ” เพราะทางบริษัทเองก็คงอยากรับฟังข้อดีที่เกี่ยวกับประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับมากกว่าข้อดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน
4. ข้อดีของเราไม่ควรเป็นสิ่งที่เรามโนไปเองคนเดียวเพราะฟังดูไม่มีน้ำหนัก เราอาจเสริมว่า “ลูกค้าเคยชมว่า….” เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
5. เวลาพูดข้อเสียของตนเอง ให้พูดด้วยว่าจะนำข้อเสียมาทำให้เป็นข้อดีหรือปรับปรุงตัวในการทำงานอย่างไร เช่น
“ปกติแล้วเป็นคนที่เชื่อในความคิดของตนเอง แต่เวลาต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นก็จะพยายามเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน”
หรือ
“ข้อเสียคือเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่นั่นเป็นเพราะว่าชอบที่จะสังเกตท่าทางของคู่สนทนาเพื่อประเมินก่อนว่าควรพูดอะไรออกไป” เป็นต้น
โห ฟังดูดี ดูใส่ใจคนอื่นไปอีก สวยสุดๆ
แต่เอาจริงๆนะ คอลัมน์นิจมองว่า สุดท้ายแล้วจะได้ทำงานที่ไหนเนี่ย คือบางทีมันจะได้ที่นี่ก็คือได้ ส่วนตัวเคยมีประสบการณ์สัมภาษณ์งานที่คิดว่าทำได้ไม่ดีแต่เค้ากลับเรียกไปทำ แต่กับอีกที่นึงรู้สึกว่าต้องได้แน่ สุดท้ายไม่ได้ก็มี
มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างบริษัททำให้ต้องการคนด่วน คนเก่าที่ลาออกไปแล้วกลับมาสมัครเลยเอาคนเก่าจะได้ไม่ต้องสอนงาน ย้ายคนในแผนกอื่นมาทำตำแหน่งนี้แทน และอื่นๆอีกมาก
บทความวันนี้อ่านเล่นไว้เป็น reference แล้วกัน จะได้กระอักกระอ่วนน้อยลงเวลาตอบคำถาม เราทำได้แค่ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้มันดี จากนั้นก็ปล่อยให้เหตุปัจจัยมันทำงานของมันไป
สู้ๆ นะคะคนหางานทุกท่าน
ทักทายพูดคุยกับ คอลัมน์นิจ ได้ที่ >>> Facebook คอลัมน์นิจคิดandไรท์
เรื่องแนะนำ :
– “Paradise Yamamoto” ซานตาคลอสแห่งประเทศญี่ปุ่น จงไล่ตามสิ่งที่คุณรัก ถ้าอยากเป็นซานตาคลอสก็เป็นซะ!
– ซาโต้ ยามาดะ ทานากะ คนญี่ปุ่นชื่อโหลจังจะจำยังไง ชีวิตยิ่งยากเข้าไปใหญ่เมื่อแผนกเดียวกันมียามาดะตั้งสามคน
– เรื่องร่มใสในวันใจใสใจร่ม
– เหตุไฉนคนญี่ปุ่นหลายคนจึงพูดไทยได้แต่อ่านภาษาไทยไม่ได้
– คนญี่ปุ่นทำไมเวลาแก้ผ้าเข้าออนเซ็นเค้าไม่อาย แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้าไม่อาย หือ?
ขอบคุณข้อมูลจาก
– https://tenshoku.mynavi.jp/knowhow/mensetsu/guide/05