เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2018 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นว่า UNESCO ได้ประกาศรับรอง “กลุ่มสถานที่เกี่ยวข้องคริสตังลับในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะ” (Hidden Christian Sites in the Nagasaki Region) เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
สวัสดีค่ะ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2018 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศรับรอง “กลุ่มสถานที่เกี่ยวข้องคริสตังลับในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะ” (Hidden Christian Sites in the Nagasaki Region) เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมค่ะ
กลุ่มสถานที่ดังกล่าวเป็นมรดกโลกลำดับที่ 22 ของญี่ปุ่น ประกอบด้วยสถานที่ 12 แห่งที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของจังหวัดนางาซากิ และอีกหนึ่งแห่งในจังหวัดคุมาโมโต้

มรดกโลกกลุ่มสถานที่เกี่ยวข้องคริสตังลับในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะลำดับที่ 1 – 6
ภาพจาก http://kyoukaigun.jp, http://kirishitan.jp และภาพส่วนตัวของป้าหมวยยย
1. ซากปราสาทฮาระ (Remains of Hara Castle) ที่ตำบลมินามิอาริมะ เมืองมินามิชิมาบาระ
2. ชุมชนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งฮิราโดะ : ชุมชนคาสึงะและภูเขายาสึมันดะเคะ (Village and Sacred Places in Hirado : Kasuga Village and Mt. Yasumandake) ที่ตำบลคาสึงะ เมืองฮิราโดะ
3. ชุมชนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งฮิราโดะ : เกาะนาคาเอะโนชิม่า (Kasuga Village and Sacret Places in Hirado : Nakaenoshima Island) ใกล้เกาะอิคิทสึกิ เมืองฮิราโดะ
4. ชุมชนซาคิทสึแห่งอามาคุสะ (Sakitsu Village in Amakusa) ที่ตำบลคาวาอุระมาจิซาคิทสึ เมืองอามาคุสะ จังหวัดคุมาโมโต้
5. ชุมชนชิทสึแห่งโซโตเมะ (Shitsu Village in Sotome) ที่ตำบลนิชิชิทสึมาจิ เมืองนางาซากิ
6. ชุมชนโอโนะแห่งโซโตเมะ (Ono Village of Sotome) ที่ตำบลชิโมะโอโนมาจิ เมืองนางาซากิ
มรดกโลกกลุ่มสถานที่เกี่ยวข้องคริสตังลับในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะลำดับที่ 7 – 12
ภาพจาก http://kyoukaigun.jp และ http://kirishitan.jp
7. ชุมชนบนเกาะคุโรชิม่า (Villages on Kuroshima Island) บนเกาะคุโรชิม่า เมืองซาเซโบะ
8. ซากชุมชนบนเกาะโนซากิ (Remains of Villages on Nozaki Island) ที่ตำบลโอจิกะ อำเภอคิตะมัตสึอุระ
9. ชุมชนบนเกาะคาชิระงาชิม่า (Villages on Kashiragashima Island) ที่ตำบลชินคามิโกโต้ อำเภอมินามิมัตสึอุระ
10. ชุมชนบนเกาะฮิซากะ (Villages on Hisaka Island) เมืองโกโต้
11. หมู่บ้านเองามิบนเกาะนารุ : โบสถ์เองามิและสถานที่ใกล้เคียง (Egami Village on Naru Island : Egami Church and Its Surroundings) เมืองโกโต้
12. อาสนวิหารโออุระ (Oura Cathedral) ที่ตำบลมินามิยามาเตะมาจิ เมืองนางาซากิ
กว่าจะได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกก็ต้องใช้เวลายาวนานหลายปีทีเดียวค่ะ รัฐบาลญี่ปุ่นโดยสำนักกิจการทางวัฒนธรรมได้ยื่นเสนอกลุ่มสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ต่อยูเนสโกครั้งแรกในปี 2004 และได้รับพิจารณาให้อยู่ในรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ในปี 2007
ในปี 2017 ทางรัฐบาลได้รับคำแนะนำจากสภานานาชาติว่าด้วยการดูแลอนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี (International Council on Monuments and Sites หรือ อิโคโมส (ICOMOS) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการของยูเนสโก ที่ให้เน้นไปที่ช่วงประวัติศาสตร์ที่มีการห้ามนับถือศาสนาคริสต์และการเบียดเบียนศาสนา จึงมีการเปลี่ยนแปลงรายการสถานที่ โดยตัดทอนสถานที่ออกจากรายชื่อบางส่วน และเปลี่ยนชื่อเป็น
“มรดกคริสตังลับในพื้นที่อามาคุสะและนางาซากิ” (長崎と天草地方の潜伏キリシタン関連遺産 Nagasaki to Amakusa Chihō no Sempuku Kirishitan Kanren Isan) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า “Hidden Christian Sites in the Nagasaki Region”
เพื่อให้เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น ป้าหมวยยยขอย้อนไปถึงประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนาในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะคร่าว ๆ ก่อนนะคะ
คริสต์ศาสนาในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะมีประวัติยาวนานเกือบ 450 ปี ผ่านยุคเริ่มต้น ยุครุ่งเรือง ยุคเสื่อม และยุคฟื้นฟู
เริ่มต้นจากการเผยแพร่ศาสนาของนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ (Saint Francis Xavier) ในปี 1550 ผู้ครองเขต (ไดเมียว) เข้ารีตหลายคน ส่วนหนึ่งด้วยผลประโยชน์ด้านการค้ากับต่างประเทศ มีซามุไร พ่อค้า ประชาชนหันมานับถือคริสต์ศาสนามากมายนับแสนคน ความรุ่งเรืองถึงขั้นมีการส่งยุวทูต 4 คนไปยุโรปภายใต้การสนับสนุนของไดเมียวคริสตังในปี 1582 และจัดตั้งสามเณราลัยชั้นต้น (เซมินาริโย セミナリヨ / Seminario) และสามเณราลัยชั้นสูง (คอเลจิโย コレジヨ / Collegio) เพื่อฝึกสอนบาทหลวงท้องถิ่น
แต่ทว่าความรุ่งเรืองของพระศาสนจักรแห่งญี่ปุ่นเบ่งบานได้เพียง 30 กว่าปีก็เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อม รัฐบาลภายใต้การปกครองของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิเริ่มไม่ไว้วางใจชาวตะวันตกและศาสนาคริสต์ด้วยแลเห็นว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่อการปกครอง จึงออกคำสั่งขับไล่บาทหลวงในปี 1587 เพื่อจำกัดกิจกรรมการเผยแผ่ศาสนา แต่ด้วยเหตุการณ์เรือซานเฟลิปเปทำให้ความระแวงต่อศาสนาฝรั่งของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การประหารนักบวชและคริสตัง 26 คน (“นักบุญมรณสักขีทั้ง 26 แห่งญี่ปุ่น” 日本二十六聖人Nihon Nijūroku Seijin) ที่เนินนิชิซากะ เมืองนางาซากิในปี 1597 หลังจากนั้นเมื่อญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของโทคุงาวะ อิเอยาสึ รัฐบาลได้ออกคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์อย่างเด็ดขาดในปี 1614
อนุสรณ์ 26 นักบุญมรณสักขีที่เนินนิชิซากะ เมืองนางาซากิ (ภาพโดยป้าหมวยยย)
นับแต่นั้น ชาวคริสตังจึงถูกเบียดเบียนศาสนาด้วยวิธีการต่าง ๆ เริ่มต้นจากถูกบังคับให้เหยียบแผ่นสลักรูปพระแม่มารีย์และพระเยซูที่เรียกว่า “แผ่นฟุมิเอะ” (踏み絵 Fumi-e) และถูกทรมานร่างกายด้วยวิธีทารุณ เช่น ขังคุกน้ำ กรีดแผลและราดน้ำเดือด จับตรึงกางเขนริมทะเล จับห้อยหัวลงในบ่อโสโครก ฯลฯ โดยมีจุดประสงค์ให้คริสตังผู้นั้นประกาศละทิ้งศาสนา ไม่เช่นนั้นจะนำตัวไปประหารเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เช่น ตัดศีรษะ จับถ่วงน้ำ โยนลงบ่อน้ำพุเดือด จุดไฟเผาทั้งเป็น แต่คริสตังจำนวนไม่น้อยยอมรับความตายเป็นศาสนพลี
แผ่นฟุมิเอะรูปปิเอตา รายละเอียดต่าง ๆ เลือนหาย
ตามการเหยียบของคนจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
ภาพกระจกสีแสดงวีรกรรมมรณสักขีที่นรกอุนเซ็นและริมแม่น้ำอาริมะ
(ภาพโดยป้าหมวยยย)
ในปี 1637 เกิดเหตุการณ์กบฏชิมาบาระ-อามาคุสะ (島原の乱 Shimabara no Ran) ที่นับเป็นกบฏครั้งใหญ่ที่สุดในยุคเอโดะ ชาวนาคริสตังเกือบสี่หมื่นคนจับอาวุธขึ้นต่อต้านรัฐบาลโดยมีต้นเหตุจากความอัดอั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีดภาษีและเบียดเบียนศาสนา รัฐบาลได้กวาดล้างกลุ่มกบฏอย่างเฉียบขาดที่ซากปราสาทฮาระ สมาชิกกลุ่มกบฏไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ชายหญิงถูกฆ่าตายสิ้น
หลังการกวาดล้างกบฏครั้งใหญ่ รัฐบาลดำเนินนโยบายปิดประเทศสำเร็จในปี 1641 ปิดกั้นการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยสิ้นเชิงยกเว้นแต่ชาวฮอลันดา ซึ่งรัฐบาลอนุญาตให้ทำการค้าได้เฉพาะบนเกาะเดจิมะ (出島 Dejima) ที่นางาซากิภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด
บาทหลวงในประเทศคนสุดท้ายถูกประหารในปี 1644 คริสตังจำนวนมากประกาศละทิ้งศาสนา แต่นั่นเป็นเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น ผู้คนที่ยังคงมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าจำนวนไม่น้อยย้ายไปอยู่ ณ ที่ห่างไกล และดำเนินชีวิตเป็นพุทธศาสนิกชนตามคำสั่งรัฐบาล แต่เบื้องหลังยังคงเสี่ยงชีวิตรักษาความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเท่าที่ทำได้แม้ไร้การชี้นำจากบาทหลวง คนเหล่านี้เองที่รู้จักกันในชื่อ “คริสตังลับ” หรือ “คาคุเระคิริชิตัง (隠れキリシタン Kakure Kirishitan)”
ตัวอย่างการรักษาความเชื่อศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างลับ ๆ ในยุคนั้น ได้แก่ การใช้รูปพระโพธิสัตว์แทนพระแม่มารีย์ (รู้จักกันในชื่อ “มาเรียคันนง” マリア観音 Maria Kannon) การแอบซ่อนสัญลักษณ์ในศาสนาคริสต์ไว้ในศาสนวัตถุ หรือการแปลงเสียงบทสวดให้ฟังคล้ายพระสูตรเรียกว่า “โอราโช” (おらしょ Orasho มาจากภาษาละติน Oratio) การสร้างห้องลับไว้ในบ้านสำหรับทำพิธีกรรม เป็นต้น
รูปมาเรีย (มาริยะ) คันนง และภาพเงาดำรูปถ้วยกาลิกซ์ ปัง และกางเขน
ที่ถูกซ่อนอยู่หลังพระพุทธรูป (ภาพโดยป้าหมวยยย)
วันเวลาผ่านไป ความเชื่อและพิธีกรรมของคริสตังลับที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานนับร้อยปีนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ชินโต สังคมและวัฒนธรรม จนแปรเปลี่ยนจากแบบแผนจารีตคาทอลิกดั้งเดิมกลายเป็นลัทธิเฉพาะกลุ่ม
เมื่อญี่ปุ่นเปิดประเทศในปี 1854 และเริ่มมีชาวตะวันตกเข้ามาทำการค้าในนางาซากิ จึงมีการสร้างโบสถ์โออุระ (大浦天主堂 Oura Tenshudō) เพื่อรองรับกิจกรรมทางศาสนาของชาวตะวันตก ในปี 1865 คริสตังลับแห่งหมู่บ้านอุราคามิได้แสดงตัวต่อคุณพ่อบาทหลวง จึงทำให้โลกทราบว่ายังคงมีผู้ศรัทธาหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น นับเป็นก้าวแรกและความหวังในการฟื้นฟูพระศาสนจักรอีกครั้ง
กลุ่มคริสตังลับเริ่มมีความเคลื่อนไหว ขณะนั้นรัฐบาลเมจิที่นิยมแนวคิดชินโตยังคงยึดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะไว้ มีการจับกุมทำลายหมู่บ้านและลงโทษคริสตังลับ แม้จะไม่รุนแรงเท่าสมัยเอโดะแต่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์โดยชาติตะวันตกและออกมากดดันรัฐบาล
ในที่สุดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ที่มีผลยาวนานถึง 259 ปีก็ถูกยกเลิกในปี 1873 จากนั้นคณะนักบวชคาทอลิกต่าง ๆ จากต่างประเทศเริ่มเข้าไปฟื้นฟูชุมชนคริสตังในพื้นที่นางาซากิและอามาคุสะอย่างเป็นทางการ มีการสร้างโบสถ์ต่าง ๆ มากมายนับร้อยแห่งด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านผู้มีใจศรัทธา
คริสตังลับส่วนหนึ่งกลับเข้าสู่พระศาสนจักรโดยรับศีลล้างบาปเป็นคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิก บางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นเช่น พุทธหรือชินโต แต่อีกจำนวนหนึ่งยังคงสืบทอดธรรมเนียมคริสตังลับของตระกูลหรือชุมชนต่อเพื่อ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุและมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อย ๆ
หมายเหตุ
ในแหล่งข้อมูลภาษาญี่ปุ่นบางครั้งแยกคริสตังลับออกเป็นสองกลุ่มตามระยะเวลา
กลุ่มแรกคือ “คริสตังใต้ดิน” (潜伏キリシタン Sempuku Kirishitan / ‘Underground Christian’) หรือคริสตังที่ยังคงความเชื่อและทำพิธีกรรมอย่างลับ ๆ ตั้งแต่ช่วงมีคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ปี 1644 จนยกเลิกคำสั่งในปี 1873
กลุ่มที่สองคือ “คริสตังหลบซ่อน” (カクレキリシタン Kakure Kirishitan / ‘Hidden Christian’) หรือ คริสตังลับที่ยังคงสืบทอดพิธีกรรมต่อ แม้จะมียกเลิกคำสั่งห้ามในปี 1873 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนแหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษนิยมใช้คำว่า Hidden Christian โดยไม่แบ่งแยก
ตอนหน้า ป้าหมวยยจะพาไปชมมรดกโลกแต่ละแห่งค่ะ คอยติดตามนะคะ
เรื่องแนะนำ :
– คุมะมงภูมิใจนำเสนอ Amakusa Daiō : ไก่ราชันอามาคุสะ
– Tenjōkyō : สะพานที่เกือบจะได้ชื่อว่า “สะพานคุมะมง”
– สะพานทั้งห้าแห่งอามาคุสะ (Five Bridges of Amakusa)
– Asadoya Yunta : เพลงพื้นบ้านโอกินาว่าขวัญใจมหาชน
– ซันชิน (Sanshin) : เครื่องดนตรีจิตวิญญาณแห่งโอกินาว่า
ข้อมูลจาก
http://kirishitan.jp/
http://kyoukaigun.jp/
https://christian-nagasaki.jp/en/
https://ja.wikipedia.org/wiki/長崎と天草地方の潜伏キリシタン関連遺産