มาต่อกันที่มรดกคริสตังลับแห่งที่ 4 – 6 ที่นางาซากิและอามาคุสะ อันได้แก่ ชุมชนซาคิทสึแห่งอามาคุสะ, ชุมชนชิทสึ, และชุมชนโอโนะแห่งโซโตเมะ
สวัสดีค่ะ
จากที่ป้าหมวยยยอธิบายประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนาในพื้นที่นางาซากิในตอนที่ 1 และแนะนำสถานที่ 3 แห่งแล้วแรกในตอนที่ 2 แล้ว เราต่อกันที่มรดกคริสตังลับแห่งที่ 4 – 6 ได้แก่ ชุมชนซาคิทสึแห่งอามาคุสะ, ชุมชนชิทสึ, และชุมชนโอโนะแห่งโซโตเมะกันนะคะ
4. ชุมชนซาคิทสึแห่งอามาคุสะ (Sakitsu Village in Amakusa)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/2.jpg)
ชุมชนซาคิทสึเป็นมรดกโลกแห่งเดียวในจำนวน 12 แห่งที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดคุมาโมโต้ ทางตอนใต้ของหมู่เกาะอามาคุสะเคยเป็นพื้นที่ที่คริสต์ศาสนารุ่งเรืองไม่น้อยไปกว่านางาซากิ
ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 เกาะอามาคุสะปกครองโดยตระกูลที่มีอำนาจ 5 ตระกูล แรกสุดหัวหน้าตระกูลชิกิ (志岐氏 Shiki-shi) ต้องการทำการค้ากับต่างประเทศจึงเข้ารีตและอนุญาตให้มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในพื้นที่เป็นการแลกเปลี่ยน จากนั้นคุณพ่อหลุยส์ เดอ อัลเมดา (Louis de Almeida) แห่งคณะเยซูอิตเดินทางมายังอามาคุสะในปี 1566 และเริ่มประกาศข่าวดี อย่างไรก็ตาม เมื่อตระกูลชิกิไม่ประสบความสำเร็จในการทำการค้าต่างประเทศจึงละทิ้งศาสนา ศูนย์กลางกิจกรรมทางศาสนาคริสต์จึงย้ายไปยังพื้นที่ภายใต้การปกครองของตระกูลอามาคุสะ (天草氏 Amakusa-shi) เมื่อตระกูลที่เหลือเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ทำให้ในเวลานั้นมีคริสตังบนเกาะอามาคุสะถึง 15,000 คนและมีการสร้างโบสถ์มากมายถึง 30 แห่ง
ในปี 1588 กองทัพของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิเข้ายึดครองคิวชูได้สำเร็จ และมอบหมายให้คาโต้ คิโยมาสะ (加藤清正 Katō Kiyomasa) ดูแลแคว้นฮิโงะ (คุมาโมโต้) ส่วนบน และโคนิชิ ยูคินางะ (小西行長 Konishi Yukinaga) ดูแลส่วนล่างรวมทั้งเกาะอามาคุสะ ตระกูลทั้งห้ายอมจำนนและอยู่ภายใต้การปกครองของยูคินางะ
ในปีถัดมา เกิดความขัดแย้งระหว่างยูคินางะและตระกูลทั้งห้าในการก่อสร้างปราสาทอุโตะ เมื่อความไปถึงฮิเดโยชิ จึงมีคำสั่งให้คิโยมาสะและยูคินางะร่วมมือกันส่งกองทัพมากำราบผู้กระด้างกระเดื่อง ชัยชนะในการรบตกเป็นของรัฐบาล ยูคินางะไว้ชีวิตอามาคุสะ ทาเนะโมโตะ (天草種元 Amakusa Tanemoto) เจ้าตระกูลอามาคุสะ หลังจากนั้นคริสต์ศาสนาในพื้นที่อามาคุสะก็รุ่งเรือง มีการสร้างสามเณราลัยชั้นต้น (เซมินาริโย) และสามเณราลัยชั้นสูง (คอเลจิโย) เพราะผู้ปกครองอย่างยูคินางะเป็นคริสตังให้การสนับสนุน
ทว่าเวลาแห่งความรุ่งเรืองนั้นสั้นนัก ในปี 1596 ฮิเดโยชิออกคำสั่งขับไล่บาทหลวงฉบับที่ 2 ทำให้มีการเบียดเบียนศาสนามากขึ้น และในปี 1600 เกิดสงครามเซกิงาฮาระ (関が原の戦い Sekigahara no Tatakai) โคนิชิ ยูคินางะที่เข้ากับฝ่ายตะวันตกซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงต้องโทษประหารที่เกียวโต ส่วนอามาคุสะ ทาเนะโมโตะเสียชีวิตในที่รบ จากนั้นผู้ปกครองใหม่ เทราซาวะ ฮิโรทากะ (寺沢広高 Terasawa Hirotaka) จากเขตคาราทสึ เข้ามาปกครองอามาคุสะแทน ทำให้คริสตังแห่งอามาคุสะใช้ชีวิตยากลำบากยิ่ง
ในปี 1614 รัฐบาลบากุฟุประกาศสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์อย่างเด็ดขาด ชาวบ้านถูกเบียดเบียนศาสนาประกอบกับการถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ความคั่งแค้นนำพาให้ชาวบ้านร่วมกันก่อกบฏคริสตังชิมาบาระ-อามาคุสะขึ้นในปี 1637 กลุ่มกบฏยืดหยัดต่อสู้อยู่ 88 วันพ่ายแพ้ให้แก่กองทัพผสมรัฐบาล สมาชิกกลุ่มทั้ง 37,000 คนถูกฆ่าตายหมด หลังจากนั้นคริสตังในพื้นที่อามาคุสะจึงต้องปกปิดตัวตนเช่นเดียวกับคริสตังลับในนางาซากิ
ซาคิทสึเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะชิโมจิมะของหมู่เกาะอามาคุสะ ชาวบ้านเริ่มหันมานับถือศาสนาคริสต์เมื่อคุณพ่อหลุยส์ เดอ อัลเมดาได้เข้ามาประกาศข่าวดีในหมู่บ้านราวปี 1569 มีการจัดตั้งกลุ่มคริสตังย่อยเรียกว่า “โคะกุมิ” (小組 Kogumi) และมีผู้นำที่เรียกว่า มิซึคาตะ (水方 Mizukata) จะเป็นผู้ทำพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีล้างบาป พิธีศพ และพิธีอื่น ๆ ตามปฏิทินพิธีกรรม
ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์กบฏชิมาบาระ-อามาคุสะ ชาวบ้านในหมู่บ้านซาคิทสึรวมทั้งหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างทาคาฮามะ, โอเอะ, และอิมาโทมิไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มกบฏจึงไม่ได้ถูกเพ่งเล็งมากนัก เมื่อรัฐบาลออกกฏห้ามนับถือศาสนาคริสต์จึงยังสามารถปิดบังตัวตนไว้ได้โดยไปวัดหรือศาลเจ้าแต่ยังคงแอบทำพิธีกรรมอย่างลับ ๆ
ในช่วงที่รัฐบาลห้ามนับถือศาสนาคริสต์ ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องทำมาพิธีเหยียบแผ่นฟุมิเอะ (踏絵 Fumie) หรือแผ่นจำลองรูปพระเยซูหรือพระแม่มารีย์ปีละครั้งที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน (庄屋 Shoya) ภายใต้สายตาของเจ้าหน้าที่รัฐบาล และต้องลงทะเบียนชื่อและสังกัดวัดในสมุดที่เรียกว่า ชูมง อาราตะเมะโจ (宗門改帳 Shūmon Aratame-chō) คริสตังลับนอกจากแสดงตัวเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วยังเข้าร่วมศาสนพิธีกรรมแบบชินโตที่ศาลเจ้าสุวะเพื่อปกปิดตัวตนด้วย
ศาลเจ้าสุวะแห่งซาคิทสึ (崎津諏訪神社 Sakitsu Suwa Jinja) ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้อ่าว เป็นศาลเจ้าที่ตั้งขึ้นในปี 1647 และเป็นดั่งศูนย์กลางของชุมชนซาคิทสึ ชาวบ้านมักมาขอพรเพื่อความปลอดภัยยามออกทะเลและขอให้ทำประมงได้ แต่เมื่อกลับบ้านคริสตังลับจะสวดบทสวดคอนจิริซังโนะริยาคุ (こんちりさんのりやく Konchirisan no Riyaku, คอนจิริซัง มาจากภาษาโปรตุเกส Contrição หรือภาษาอังกฤษ Contrition หมายถึงการเป็นทุกข์ถึงบาป ส่วน Riyaku หมายถึงความช่วยเหลือจากเบื้องบน) เพื่อวอนขอการอภัยบาปต่อพระเจ้า
คริสตังลับแห่งซาคิทสึจะบูชาเทพไดโกกุเท็น (大黒天 Daikokuten) หรือเทพเอบิสุ (恵比須 Ebisu) แทนองค์เซอุส (แผลงมาจาก Deus หรือพระเจ้า) เพื่อขอให้จับปลาได้มาก ๆ รวมทั้งบูชาลวดลายบนหอยมุกหรือหอยอื่น ๆ แทนพระแม่มารีย์ นอกจากนี้มีการถวายเนื้อปลาที่พระแท่นตามอย่างธรรมเนียมพุทธ เมื่อไปศาลเจ้าจะสวดบทภาวนา “อังเมนริยุสุ” (あんめんりゆす) หรือ Amen Deus หรือ Jesus ทั้งหมดนี้แสดงถึงการผสมผสานความเชื่อทั้งชินโต พุทธ และคริสต์ในพื้นที่
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/3.jpg)
ต่อมา รัฐบาลตั้งข้อสังเกตว่า คนในหมู่บ้านซาคิทสึและหมู่บ้านใกล้เคียงจะล้มวัวและถวายเนื้อบนแท่นบูชาทุก ๆ ช่วงคริสต์มาส และเคารพรูปบูชาที่แตกต่างจากรูปปั้นทางพุทธศาสนา จึงนำไปสู่การเปิดโปงคริสตังลับในปี 1805 โดยพบว่ากว่า 70% ของชาวบ้านในหมู่บ้านซาคิทสึเป็นคริสตังลับ มีการบันทึกคำสารภาพและข้อมูลต่าง ๆ เช่น รูปแบบองค์กร ธรรมเนียมปฏิบัติ บทสวด วัตถุบูชา และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่อย่างไรก็ตาม เป็นความโชคดีของคริสตังลับแห่งซาคิทสึ เพราะเหตุการณ์นี้รัฐบาลมองว่าเป็น ‘ความเชื่อต่างลัทธิ’ ที่ไม่ขัดกับคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ และสั่งให้นำวัตถุบูชามาทิ้งที่ศาลเจ้าสุวะเท่านั้น
เมื่อคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ถูกปลดลงในปี 1873 ไม่กี่ปีหลังจากนั้น คุณพ่อหลายท่านจากคณะมิสซังแห่งกรุงปารีส (M.E.P) เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากฝรั่งเศสมาถึงอามาคุสะเพื่อฟื้นฟูชุมชนคริสตังขึ้นมาใหม่หลังจากที่ต้องหลบซ่อนอยู่ 250 ปี ณ เวลานั้นคริสตังลับแห่งอามาคุสะต้องเลือกระหว่างกลับเข้าสู่พระศาสนจักร หรือยังคงเป็นคริสตังลับต่อไป คนในหมู่บ้านซาคิทสึและโอเอะยินดีกลับรับศีลล้างบาป ในขณะที่คนในหมู่บ้านอิมาโทมิยังคงสืบทอดธรรมเนียมคริสตังลับอีกกว่า 30 ปีจนยอมกลับเข้าสู่พระศาสนจักรในราวปี 1940
ศูนย์กลางของชุมชนซาคิทสึ คือ โบสถ์ซาคิทสึ (崎津教会 Sakitsu Kyōkai) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสังฆมณฑลฟุกุโอกะ โบสถ์หลังแรกสร้างบนพื้นที่ติดกับศาลเจ้าสุวะในปี 1888 และโบสถ์หลังปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 1934 โดยตั้งอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ริมอ่าว โดยเป็นความตั้งใจของคุณพ่อออกุสแตง ฮัลบูต์ (Fr. Augustin Halbout) ที่ขอซื้อที่สร้างโบสถ์ ณ จุดที่เคยเป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้าน (โชยะ) ที่ชาวบ้านต้องมาเข้าพิธีเอฟุมิในช่วงห้ามนับถือศาสนาคริสต์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูพระศาสนจักร
![อามาคุสะ](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/4.jpg)
โบสถ์ซาคิทสึหลังใหม่มีสถาปัตยกรรมภายนอกแบบโกธิค ตัวโบสถ์ส่วนหน้าทำด้วยหินสีเทา แต่ส่วนหลังทำด้วยไม้เพื่อประหยัดงบประมาณ เมื่อมองด้านข้างจึงเห็นได้ชัดเจนว่าตัวโบสถ์มีสองสี
![นางาซากิ](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/5.jpg)
ภายในโบสถ์มีเพดานสูงแบบ Rib vault ทาสีขาวดูสะอาดตา และปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิตั้งแต่แรกสร้าง เป็นการผสมผสานของความเป็นตะวันตกและความเป็นญี่ปุ่นที่ดูแปลกตาแต่ลงตัว เวลามีพิธีมิสซาจะตั้งเก้าอี้พับเพื่อความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ ตำแหน่งของพระแท่นเอกด้านในสุด คือจุดที่ชาวบ้านต้องเหยียบแผ่นฟุมิเอะในสมัยก่อน
![นางาซากิ](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/6.jpg)
การเดินทางโดยรถยนต์นั้น ใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองคุมาโมโต้ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง การเข้าชมต้องลงทะเบียนล่วงหน้าที่เว็บไซท์ http://kyoukaigun.jp โดยเลือกวันเวลาที่ต้องการเข้าชม ห้ามถ่ายภาพภายในโบสถ์ และเนื่องจากพื้นที่คับแคบจึงจำเป็นต้องติดตามการประกาศเกี่ยวกับจุดจอดรถล่วงหน้าเสมอ
ห่างจากโบสถ์ซาคิทสึประมาณ 6 กิโลเมตรมีโบสถ์โอเอะ (大江教会 Ōe Kyōkai) ตั้งอยู่บนเนินเขา โบสถ์โอเอะเป็นโบสถ์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ทาสีขาว สร้างขึ้นในปี 1933 ใกล้เคียงกับโบสถ์ซาคิทสึ โดยคุณพ่อเฟเดอริก หลุยส์ การ์นิเย่ (Fr. Frederic Louis Garnier) ที่มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสคนแรกเรี่ยไรเงินจากผู้ศรัทธาและญาติมิตรที่ฝรั่งเศสสร้างโบสถ์ขึ้น และตรงทางขึ้นเนินเขามีพิพิธภัณฑ์อามาคุสะโรซารีโอ (天草ロザリオ館 Rozario-kan) จัดแสดงวัตถุบูชาของคริสตังลับ
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/7.jpg)
ทั้งโบสถ์ซาคิทสึและโบสถ์โอเอะออกแบบและดูแลการก่อสร้างโดยนายช่างเท็ตสึคาวะ โยสึเกะ (鉄川与助 Tetsukawa Yosuke) ซึ่งเกิดในตระกูลช่างไม้ และมีโอกาสเรียนรู้ศึกษารูปแบบการก่อสร้างแบบตะวันตกจากคุณพ่อบาทหลวงฝรั่งเศส จึงนำเทคนิคการก่อสร้างแบบตะวันตกมาผสมผสานกับเทคนิคแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม โบสถ์คาทอลิกที่เป็นผลงานของคุณเท็ตสึคาวะกระจายอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วจังหวัดนางาซากินับสิบแห่ง แต่ละแห่งล้วนได้รับการยกย่องถึงความสวยงาม
5. ชุมชนชิทสึแห่งโซโตเมะ (Shitsu Village in Sotome)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/8.jpg)
โซโตเมะ (出津 Shitsu) เดิมเป็นชื่อตำบลที่ทอดยาวไปตามชายฝั่งซุโมนาดะทางตะวันตกเฉียงเหนือจากเมืองนางาซากิไปราว 30 กิโลเมตร เมื่อข้ามทะเลไปจะเป็นบริเวณเกาะนากาโดริ หนึ่งในหมู่เกาะโกโต้ (五島列島 Gotōrettō) ที่นี่เป็นต้นแบบของหมู่บ้านคริสตังโทโมงิที่ปรากฏในนวนิยายชื่อดัง “沈黙” (Silence) ของเอ็นโด ชูซากุ (遠藤周作 Endō Shūsaku)
ชาวบ้านในพื้นที่หันมานับถือคริสต์ศาสนาตั้งแต่ราวคริสตศตวรรษที่ 16 โดยคุณพ่อฟรังซิสโก คาบรัล (Francisco Cabral) แห่งคณะเยซูอิตเป็นผู้เข้ามาประกาศข่าวดีในโซโตเมะในปี 1571 การแพร่ธรรมเป็นไปด้วยดีจนมีคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ออกบังคับในปี 1614
ด้วยบริเวณโซโตเมะเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างเขตโอมูระและเขตซางะ แม้เขตโอมูระจะเข้มงวดในการตรวจสอบผู้นับถือศาสนาคริสต์ แต่โซโตเมะอยู่ไกลจากปราสาทจุดศูนย์กลางการปกครองมาก ทำให้ยากในการส่งข้าราชการมา นอกจากนี้หมู่บ้านชิทสึยังอยู่ในการปกครองของเขตซางะที่ไม่ค่อยเข้มงวดในการตรวจสอบ จึงทำให้มีคริสตังลับอาศัยอยู่บริเวณนี้เป็นจำนวนไม่น้อย
ภายในหมู่บ้านคริสตังลับ จะแบ่งเป็นกลุ่มคริสตังย่อยเรียกว่า คุมิ (組 Kumi) หลายกลุ่ม มีการเลือกกลุ่มผู้นำเรียกว่า “จิฮิซามะ” (ジヒサマ Jihisama) ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้า, รองหัวหน้า, และสาวกอย่างละ 1 คน หน้าที่ของจิฮิซามะคือ ทำพิธีล้างบาป พิธีศพ และนำพิธีสวดภาวนาในโอกาสต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น เทศกาลคริสต์สมภพที่เรียกว่าโกะตันโจ (ご誕生 Gotanjō) โดยอ้างอิงปฏิทินพิธีกรรมเรียกว่า โอโจ (お帳 Ochō) ที่สืบทอดมาตั้งแต่ก่อนมีคำสั่งห้ามนับถือศาสนา
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/9.jpg)
ศาสนวัตถุของคริสตังลับแห่งโซโตเมะมีหลายชิ้นที่น่าสนใจ เช่น หุ่นเซียนทำด้วยสำริดทองแดงจากจีนที่คริสตังลับเรียกว่า “อินัชโชะซามะ” (イナッショさま Inassho-sama) ใช้เป็นตัวแทนของนักบุญอิกญาซีโอแห่งโลโยลา (Ignatius of Loyola) ผู้ก่อตั้งคณะเยซูอิต นอกจากนี้ยังมีศาสนวัตถุแบบดั้งเดิมที่คริสตังลับเสี่ยงชีวิตเก็บรักษารุ่นต่อรุ่นยาวนานนับร้อยปี เช่น แผ่นสำริดทองแดงรูปพระแม่มารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล และภาพแขวน Our Lady of the Snows
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/10.jpg)
ภาพแขวน Our Lady of the Snows (雪のサンタマリア Yuki no Santa Maria) ถูกค้นพบในปี 1973 ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์ 26 นักบุญมรณสักขี (二十六聖人記念館 Nijūrokuseijin Kinenkan) ที่เมืองนางาซากิ ทั้งแผ่นมีขนาด 21 x 27 ซม. แต่ตัวภาพมีขนาดเพียง 10 ซม. เท่านั้น เป็นภาพพระแม่มารีย์แบบตะวันตกแต่วาดด้วยสีและเทคนิคการวาดแบบญี่ปุ่นบนกระดาษญี่ปุ่น สันนิษฐานว่าถูกวาดขึ้นในราวต้นศตวรรษที่ 16 แม้ผ่านไป 400 ปีแล้วแต่ยังคงปรากฏรายละเอียดและสีสันสวยงาม นอกจากนี้ภาพนี้ยังปรากฏอยู่ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ Silence (2016) ที่กำกับโดย Martin Scorsese ด้วย
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/11.jpg)
ในปี 1865 เมื่อคริสตังลับหมู่บ้านอุราคามิในนางาซากิไปแสดงตัวเป็นครั้งแรกต่อคุณพ่อชาวฝรั่งเศสที่โบสถ์โออุระในนางาซากิ ทำให้หัวหน้าคริสตังลับแห่งหมู่บ้านชิทสึได้ติดต่อคุณพ่อเป็นการลับ เพื่อเชิญมายังหมู่บ้านและมีชาวบ้าน 200 ครัวเรือนได้เข้ารับศีลล้างบาป บางส่วนยังคงยึดธรรมเนียมคริสตังลับต่อไป แต่ในปัจจุบันแทบไม่เหลือคริสตังลับในพื้นที่แล้ว
แปดปีหลังจากนั้น เมื่อปลดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ในปี 1873 ทางคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (M.E.P) ได้ส่งคุณพ่อมัลค์ มารี เดอ โรต์ซ (Marc Marie de Rotz) มาประจำที่หมู่บ้านชิทสึ คุณพ่อมาถึงในปี 1879 ทุ่มเทแรงกายใจในการสอนศาสนาและกิจการต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวบ้าน และไม่เคยกลับไปยังฝรั่งเศสอีกเลยจนเสียชีวิตในปี 1914
คุณพ่อเดอโรต์ซนอกจากเป็นบาทหลวงมีใจเมตตา แล้วมีความรู้รอบด้านทั้งด้านการก่อสร้าง เภสัชศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ ท่านช่วยเหลือชาวบ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวบ้านจึงเรียกท่านด้วยความเคารพว่า “โดโระซามะ (ท่านโดโระ)” (ド・ロ様 Doro-sama)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/12.jpg)
โบสถ์ชิทสึ (出津教会 Shitsu Kyōkai) ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของอัครสังฆมณฑลนางาซากิ สร้างเสร็จในปี 1882 ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นผลงานออกแบบของคุณพ่อเดอโรต์ซ สร้างด้วยอิฐฉาบปูน มีหลังคาเตี้ยเพื่อให้คงทนต่อแรงลมทะเลที่พัดมาตลอดเวลา มีการสร้างหอเล็กและหอระฆังบนยอดหลังคาในการต่อเติมปี 1891 และ 1909 ภายในหอใหญ่ติดตั้งระฆังและตั้งพระรูปพระแม่มารีย์จากฝรั่งเศสไว้ด้านบนยอด หอระฆังถูกนำออกไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันสร้างหอระฆังแยกไว้ต่างหาก
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/13.jpg)
ภายในโบสถ์ชิทสึเป็นเพดานเรียบและมีช่องเว้าตรงกลางนำสายตาไปยังพระแท่นเอก แตกต่างจากโบสถ์อื่น ๆ ในสมัยนั้นที่นิยมสร้างให้ภายในมีหลังคาโค้งสูงแบบ Rib vault
การเดินทางใช้รถยนต์จะสะดวกที่สุด โดยขับรถจากตัวเมืองนางาซากิหรือเมืองซาเซโบะ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง การเข้าชมต้องลงทะเบียนล่วงหน้าที่เว็บไซท์ http://kyoukaigun.jp โดยเลือกวันเวลาที่ต้องการเข้าชม และห้ามถ่ายภาพภายในโบสถ์
ภายในหมู่บ้าน นอกจากโบสถ์ชิทสึแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโซโตเมะ (外海歴史民俗資料館Sotome Rekishi Minzoku Shiryōkan) ที่จัดแสดงโบราณวัตถุยุคหินเก่าที่ขุดพบที่ชิทสึ ข้าวของเครื่องใช้ในท้องถิ่นในสมัยก่อน และศาสนวัตถุของคริสตังลับ, พิพิธภัณฑ์คุณพ่อเดอโรต์ซ (ド・ロ神父記念館 Doro Shinpu Kinenkan) จัดแสดงของใช้ส่วนตัวของคุณพ่อเดอโรตซ์, พิพิธภัณฑ์ศูนย์ฝึกอาชีพชิทสึ (旧出津救助院 Kyū Shitsu Kyūjoin) จัดแสดงการฝึกอาชีพต่าง ๆ ที่คุณพ่อเคยริเริ่มขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านที่ยากจนได้เรียนรู้นำไปประกอบอาชีพ เช่น การทำเส้นโซเม็ง มักโรนี การทำโชยุ เป็นต้น
6. ชุมชนโอโนะแห่งโซโตเมะ (Ono Village of Sotome)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/14.jpg)
ห่างจากหมู่บ้านชิทสึไปทางเหนือประมาณ 4.5 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโอโนะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยมีคริสตังลับอาศัยอยู่เช่นเดียวกับหมู่บ้านชิทสึ
คุณพ่อฟรังซิสโก คาบรัล (Francisco Cabral) เป็นผู้นำคริสต์ศาสนามาสู่หมู่บ้านโอโนะในปี 1571เช่นเดียวกับหมู่บ้านชิทสึ เมื่อมีคำสั่งห้ามนับถือศาสนาคริสต์ออกมาในปี 1614 คริสตังลับในหมู่บ้านอำพรางตัวเป็นผู้นับถือศาสนาชินโต โดยสักการะเทพเจ้าที่ศาลเจ้าสำคัญในหมู่บ้านสามแห่ง ได้แก่ ศาลเจ้าโอโนะ (大野神社 Ōno Jinja), ศาลเจ้าคาโดะ (門神社 Kado Jinja), และศาลเจ้าทสึจิ (辻神社 Tsuji Jinja)
ศาลเจ้าโอโนะมีศักดิ์สูงที่สุดในบรรดาศาลเจ้าทั้งสาม เป็นเสมือนเทพผู้คุ้มครองหมู่บ้าน ส่วนศาลเจ้าคาโดะและศาลเจ้าทสึจิ คริสตังลับเคารพบูชายามาดะ โยชิมิทสึ (本田敏光 Honda Yoshimitsu) โดยเรียกว่า “ซังจูวังซามะ” (サンジュワン様 Sanjuwan-sama) ตามชื่อของนักบวชชาวโปรตุเกสที่เคยลักลอบแพร่ธรรมในโซโตเมะในช่วงต้นของการห้ามนับถือศาสนา (คนละคนกับ “ซังจูวังซามะ” ที่เป็นที่นับถือในพื้นที่ฮิราโดะ) กล่าวกันว่ายามาดะเป็นผู้หลบหนีจากเหตุการณ์กบฏชิมาบาระ (ปี 1637-1638) มายังหมู่บ้าน
เมื่อหมู่บ้านชิทสึเชิญคุณพ่อบาทหลวงฝรั่งเศสมาที่หมู่บ้านเป็นการลับ คริสตังลับของหมู่บ้านโอโนะก็ได้ถือโอกาสนี้เชิญคุณพ่อมาที่หมู่บ้านและเข้ารับศีลล้างบาปกลับเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิก
เมื่อมีการปลดคำสั่งห้ามนับถือศาสนาในปี 1873 คริสตังในหมู่บ้าน 200 หลังคาเรือนต้องเดินทางไกล 3-4 กิโลเมตรเพื่อไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์ชิทสึ ต่อมาคุณพ่อเดอโรต์ซจึงให้สร้างโบสถ์โอโนะขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้คริสตังในชุมชนที่ไม่สะดวกเดินทาง โบสถ์นี้ไม่มีบาทหลวงประจำ ดังนั้นคุณพ่อจะเดินทางจากโบสถ์ชิทสึมาทำพิธีมิสซาให้ สมัยก่อนเคยมีคริสตชนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/15.jpg)
โบสถ์โอโนะ (大野教会 Ōno Kyōkai) ตั้งอยู่บนเนินเขากลางหมู่บ้าน สร้างขึ้นในปี 1893 ด้วยเงินส่วนตัวของคุณพ่อเดอโรต์ซและแรงงานของชาวบ้าน เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่มีความกว้าง 6.1 เมตร และยาว 11.8 เมตร มีห้องพักบาทหลวงที่ต่อเติมขึ้นในปี 1926 โบสถ์นี้มีความพิเศษที่ผนังกำแพงซึ่งใช้เทคนิคที่คุณพ่อเดอโรต์ซดัดแปลงจากวิธีก่อสร้างกำแพงแบบพื้นบ้านให้มีความคงทนมากขึ้น โดยนำทรายกับปูนขาวผสมลงในดินเหนียวละลายน้ำ ใช้เป็นตัวเชื่อมแผ่นหินบะซอล์ตที่วางซ้อนกันจนเป็นกำแพงหินที่แข็งแรงคงทนต่อลมทะเลและมีความสวยงามแปลกตา ผนังและกำแพงที่สร้างด้วยเทคนิคนี้เรียกว่า “กำแพงเดอโรต์ซ” (ド・ロ壁 Doro-kabe)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pa%20Muay/Hidden%20Christian%20Sites%20in%20Nagasaki%20Region%203/16.jpg)
ปัจจุบันโบสถ์โอโนะไม่ได้ใช้งานแล้วนอกจากมีพิธีมิสซาที่จะจัดขึ้นเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและพิธีศพ ผู้เยี่ยมชมสามารถชมได้แต่ภายนอกเท่านั้น การเข้าชมต้องลงทะเบียนล่วงหน้าที่เว็บไซท์ http://kyoukaigun.jp โดยเลือกวันเวลาที่ต้องการเข้าชม
ตอนหน้าป้าหมวยยยจะพาไปรู้จักชุมชนบนเกาะคุโรชิม่า, ซากชุมชนบนเกาะโนซากิ และชุมชนบนเกาะคาชิระงาชิม่าค่ะ
เรื่องแนะนำ :
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 2
– แลมรดกโลก : มรดกคริสตังลับแห่งนางาซากิและอามาคุสะ ตอนที่ 1
– คุมะมงภูมิใจนำเสนอ Amakusa Daiō : ไก่ราชันอามาคุสะ
– Tenjōkyō : สะพานที่เกือบจะได้ชื่อว่า “สะพานคุมะมง”
– สะพานทั้งห้าแห่งอามาคุสะ (Five Bridges of Amakusa)
ข้อมูลจาก
https://amakusac-ch.jimdo.com/天草キリシタン史について
http://www2.harimaya.com/sengoku/html/amakusa.html
http://www.geocities.jp/amakusa_tanken/tensyounotatakai.html
https://www.city.amakusa.kumamoto.jp/sakitsu-sekai/…/3_17_8798_up_83ugl8r0.pdf
https://www.nishinippon.co.jp/special/isan/201401/article/keisho.shtml
http://oratio.jp
http://shitsu-kyujoin.com/en/publics/index/4/
http://www1.odn.ne.jp/tomas/oonosoto.htm