หนังญี่ปุ่น…หนังที่ผมโคตรชอบอีกเรื่องนั้นคือ “Inception” ที่พูดถึงเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในความฝัน (แม้จะต้องดูหลายรอบถึงจะค่อยๆ เข้าใจ)
หลายครั้งที่เวลาฝันดีมากๆ เวลาตื่นมา ผมจะชอบมานั่งทบทวนว่าเมื่อกี้เนี่ย เราฝันอะไรไปบ้าง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ยักออก แล้วเวลาที่ผมเห็นใครหลับแล้วเขายิ้ม หรือเวลาที่หมาที่บ้านผมละเมอ ผมจะสงสัยมากว่ามันเห็นอะไรนะ นึกแล้วก็คิดว่าถ้าสามารถมองเห็นความฝันได้คงน่าจะสนุกดีเหมือนกัน…
จนมาถึงหนังที่ผมโคตรชอบอีกเรื่องนั้นคือ “Inception” ที่พูดถึงเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในความฝัน (แม้จะต้องดูหลายรอบถึงจะค่อยๆ เข้าใจ)
สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆ ของมนุษย์เรานั่นก็คือเจ้าความฝันนี่แหละครับ เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ไม่มีตัวตน สวยงามได้ โหดร้ายได้ ลึกลับและซับซ้อนแม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังเข้าไม่ถึง…
และแน่นอนครับว่าวันนี้ผมก็มีอนิเมชั่นเรื่องนึงที่เล่าถึงความฝัน และหากใครชอบเนื้อเรื่องแนวๆ Inception แล้วอย่าพลาดครับ… จริงๆ แล้วเรื่องนี้ออกฉายเมื่อปี 2006 ก่อน inception ด้วยซ้ำ… เอาล่ะครับผมจะพาคุณผู้ชมทุกท่านเดินทางเข้าสู่โลกแห่งความฝันไปกับ “PAPRIKA” ครับ…

พูดถึงโลกที่มนุษย์นั้นสามารถสร้างเทคโนโลยีที่สามารถ “ดูความฝัน” และเข้าไปในความฝันของคนอื่นได้เพื่อบำบัดรักษาโรคทางจิต ที่ชื่อว่า “DC Mini” ซึ่งแม้จะทำงานได้จริง แต่ก็ยังเป็นแค่เครื่องทดลอง
ก่อนจะดูเรื่องนี้มีคนเคยบอกมาว่า ต้องใช้จินตนาการมากๆ ในการดูเรื่องนี้เพราะมันสามารถพาเราไปไหนต่อไหนได้โดยไม่รู้ตัว… เอาล่ะก็คิดว่าพอมีจินตนาการมากพอนะ เอ้ามา…
เปิดเรื่องมาด้วย สารวัตรโคนากาวะ ที่กำลังไปสืบหาคดีอะไรสักอย่างในคณะละครสัตว์โดยมีผู้ช่วยเป็นผู้หญิงผมแดงคนหนึ่ง สักพักก็ตัดมาที่ป่าซึ่งสารวัตรกำลังเป็นทาร์ซานอยู่มีผู้หญิงผมแดงคนนั้นเป็นเจน และสักพักตัดมาเป็นฉากในรถไฟที่สารวัตรกำลังถูกรัดคอผู้หญิงผมแดงคนนั้นก็เป็นคนมาช่วย ตัดมาอีกทีตอนนี้เขากลายเป็นช่างกล้องในงานอะไรสักอย่าง และต่อมาตัดมาที่ฉากที่มีคนถูกฆาตกรรมและสารวัตรก็พยายามวิ่งตามคนร้ายไปจนตกไปในแสงสีขาว…และเขาก็ตื่นขึ้น… พร้อมกับผู้หญิงผมแดงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเดียวกันที่เขาเห็นในฝัน…นั่นคือ “Paprika” นั่นเอง






และทั้งหมดที่เขาเห็นคือความฝันของเขาและปาปริก้าเข้าไปในฝันของเขาโดยใช้เจ้าเครื่อง DC mini เพื่อช่วยบำบัดสิ่งที่ติดค้างในใจของสารวัตรนั้นคือฉากฆาตกรรมสุดท้ายที่สารวัตรยังจับตัวฆาตกรไม่ได้… แหม..แค่ฉากเปิดก็แทบตามไม่ทันครับ แต่ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบฉากเปิดที่ชวนงงนี้มาก คือตอนแรกจะงงๆ ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงตัดไป ตัดมา แต่จริงๆ มันก็เหมือนกับความฝันของคนเราที่บางครั้งฝันเรื่องนี้อยู่ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย นอกจากจะเป็นฉากเปิดตัวปาปริก้าแล้ว ก็ยังเป็นฉากที่อธิบายการทำงานของเจ้าเครื่อง DC mini ว่ามันทำงานยังงัยด้วย…





ซึ่งคุยกันว่าให้รีบหาเพราะหากตกไปอยู่ในมือคนเลวๆ แล้วอาจใช้เครื่องในทางที่ผิดได้…
ขณะที่คุยกันนั้นอยู่ๆ ดร.ก็เพี้ยนขึ้นมา พูดถึงพาเหรดของเครื่องใช้ไฟฟ้า กบเล่นดนตรี และอะไรหลายๆ อย่าง ทันใดนั้นเขาก็วิ่งออกจากห้อง แล้วก็วิ่งทะลุกระจกจากชั้นบนออกไป…

และหลังจากได้มาดูความฝันของดร. ก็พบว่าเขาน่าจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายคนแรกจากการที่มีใครสักคนใช้เครื่อง DC mini เข้าไปสร้างความฝันให้กับดร. จนเขาเพี้ยนและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้…

เรื่องนี้เล่นกับจิตใจของเรานิดนึงหากดูด้วยความเคยชินและไม่ต่อเนื่องนี่มีงงแน่นอนเพราะเนื้อเรื่องนั้นเล่าสลับโลกความจริงกับความฝันโดยที่ไม่ให้เราตั้งตัวเลยทีเดียว…
เช่นฉากหนึ่งที่กำลังตามหาตัวผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งอยู่ โดยบุกเข้าไปค้นภายในห้องของผู้ต้องสงสัยคนนั้น อยู่ๆ ดร.ชิบะ ก็เจอทางลับเข้าในตู้เสื้อผ้า แล้วเธอก็เดินลงไปตามทางนั้น จนเจอประตูที่ออกมาเจอสวนสนุกแห่งหนึ่ง

แล้วเธอก็ตามตุ๊กตาต้องสงสัยตัวหนึ่งไป ขณะที่เธอกำลังจะข้ามรั้วเพื่อไปหาตุ๊กตาตัวนั้น ฉากก็บิดเบี้ยวและตัดมามีมือของเพื่อนร่วมงานของเธอมาจับเอาไว้


ขณะที่เธอกำลังจะข้ามและตกจากระเบียงออกไป เท่ากับว่าเมื่อกี้เธอเข้าสู่โลกของความฝันโดยที่มีใครสักคนเข้ามาแทรกแทรงและหลอกว่าเธอกำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ จนเธอเกือบตาย นี่น่าจะอธิบายที่หัวหน้าของเธออยู่ๆ ก็เพี้ยนแล้ววิ่งทะลุกระจกในตอนต้นได้ว่า คนร้ายนั้นสามารถบิดเบือนโลกแห่งความจริงได้ด้วยการหลอกให้จิตใต้สำนึกของเราเห็นภาพที่อยู่ในความฝัน ซึ่งมันคงน่ากลัวมากหากใครสักคนสามารถเข้าควบคุมและบิดเบือนจิตใต้สำนึกของเราได้…
ส่วนตัวผมว่าความฝันเป็นเหมือนกับจิตใต้สำนึกและตัวตนจริงๆ ของคนนั้นๆ เป็นโลกที่เราอยากจะเป็นอะไรก็เป็นได้ เหมือน ปาปริก้า ที่เป็นตัวละครที่มีบุคลิกร่าเริง ขี้เล่น

แต่จริงๆ แล้วเธอเป็นคล้ายๆ กับ avartar ที่มีตัวตนอยู่แค่ในความฝันแต่ทว่าตัวตนของเธอในโลกของความเป็นจริงนั้นคือ ดร.ชิบะ นั่นเองซึ่งมีบุคลิกที่เราเห็นคือเป็นคนจริงจัง เครียดๆ แตกต่างจาก ปาปริก้า อย่างสิ้นเชิง
แต่กับตัว ดร.โทคิตะ ซึ่งตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นคนที่มีนิสัยเด็กๆ ไม่ค่อยจริงจัง ซึ่ง avartar ในความฝันของเขาก็ออกมาเป็นหุ่นยนต์ตัวสีเหลือง

ซึ่งก็สื่อถึงความเป็นเด็กเหมือนกับตัวตนที่เขาเป็นจริงๆ
เหมือนกับชีวิตจริงที่หลายๆ คนต้องฝืนทำอะไรเพื่อใคร หรือใส่หน้ากาก เข้าหากัน เพื่ออะไรบางอย่าง ถ้าเรามีโลกที่เหมือนกับ DC mini ได้ก็คงดี ที่ให้เราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่โดยที่ไปได้ไกลเท่าที่จิตนาการอยากไป แต่ก็เหมือนกับทุกๆ อย่างที่มีประโยชน์มากโทษก็มหาศาลเช่นกัน เมื่อ DC mini ตกไปอยู่ในมือของท่านประธานผู้ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า ความฝัน เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์และโลกที่บริสุทธิ์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นล้วนเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ดังนั้น DC mini ก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะมาทำลาย โลกความฝันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ดังนั้นเพื่อป้องกันสิ่งนั้นเขาจึงใช้ DC mini เพื่อครอบครองความฝันของคนทั้งโลกและตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแห่งความมืดเพื่อครอบครองโลกแห่งความฝันอันนี้ที่ค่อยๆ กลืนกินโลกแห่งความเป็นจริง…

แม้ส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบตอนจบที่มันโคตรรู้สึกว่าตัดจบและไม่ค่อยเข้าใจตรรกะ แต่อาจเป็นเพราะผมดูแค่รอบเดียว อาจไม่ได้ซึมซับอะไรที่ขาดหายไป แต่โดยรวมเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วให้อารมณ์ลึกซึ้งและเล่นกับจิตใจของเราได้ดีมาก เหมือนตอนที่ได้ดู “Inception” เลย ตลอดชั่วโมงกว่าๆ จนจบของเรื่องนี้ทำให้ผมคิดตลอดเลยว่า จริงๆ แล้วเจ้า DC mini ที่มองดูความฝันของคนอื่นได้นั้นดีจริงๆ หรือ?
ผมกลับมาคิดถึงคนที่ยิ้มอย่างมีความสุขด้วยฝันดีๆ กับหมาผมที่นอนละเมอ ผมคิดว่าเก็บความฝันเหล่านั้นไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาไว้ จริงๆ อาจจะดีอยู่แล้วก็ได้…:)

เรื่องแนะนำ :
– ฮีโร่…
– เรื่องของเด็กๆ กับอนิเมชั่น “Laputa”
– แรงบันดาลใจ
– ราเม็งแห่งความฝัน