CEFR คืออะไร แล้วทำไม JLPT ต้องใช้ CEFR ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2025?
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวใหญ่มากสำหรับวงการศึกษาภาษาญี่ปุ่นทั่วโลก คือการที่ JEES (Japan Educational Exchanges and Services) ออกมาประกาศว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค. ศ. 2025 เป็นต้นไป ใบประกาศผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT จะมีการแสดงผลของระดับภาษาในระบบ CEFR เพิ่มเติมจากระบบ N1-N5 อีกด้วย วันนี้เลยจะชวนคุยว่า CEFR มันคืออะไรกัน ทำไมญี่ปุ่นจึงต้องให้ความสำคัญกับการสอบระบบ CEFR นอกเหนือจากระบบ JLPT ของตัวเองด้วย
CEFR นั้นคือตัวย่อจาก Common European Framework of Reference for Languages เห็นคำว่า European ก็ทราบได้ทันทีว่ามาจากฝั่งยุโรปแน่นอน คือภาษายุโรปหลาย ๆ ภาษานั้นค่อนข้างมีจุดร่วมกันคือ ใช้อักษรโรมันในภาษาตัวเอง และรับอารยธรรมกรีกโรมันมาพอสมควร แม้การออกเสียง คำศัพท์ หรือไวยากรณ์ จะต่างกันไปตามแต่ละภาษา แต่ก็มีชุดอักษรที่ใช้ร่วมกันมาก และมีการยืมคำศัพท์ข้ามกันไปมาอยู่มาก ระหว่างปี ค. ศ. 1989-1996 มีโครงงการ Language Learning for European Citizenship เกิดขึ้นโดย สภายุโรป (Council of Europe) เมื่อดำเนินการสำรวจค้นคว้าเรียบร้อยแล้ว ในปี ค. ศ. 2001 จึงมีการประกาศมาตรฐาน CEFR นี้ขึ้น เพื่อใช้เป็นมาตรฐานกลางในการวัดผลความสามารถทางภาษายุโรปทั้งปวงนานาภาษาของผู้เรียนที่ไม่ได้พูดภาษานั้น ๆ เป็นภาษาแม่นั่นเอง
ภาพจาก: https://www.germanschoolcampus.com/
CEFR แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 2 ระดับ รวมทั้งสิ้นเป็น 6 ระดับ สรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้
Basic User – A1: อ่านอะไรสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้
Basic User – A2: สามารถพูดนำเสนออะไรสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้หากมีการซักซ้อม และหัวข้อเป็นหัวข้อที่คุ้นเคย
Independent User – B1: สามารถนำเสนออะไรไม่ซับซ้อนในหัวข้อที่ตัวเองถนัด
Independent User – B2: สามารถนำเสนอเรื่องราวได้
Proficient User – C1: สามารถนำเสนอหัวข้อที่ซับซ้อนและมีการวางโครงสร้างที่ดี
Proficient User – C2: สามารถนำเสนอหัวข้อที่ซับซ้อนอย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพให้ผู้ฟังที่ไม่คุ้นเคยกับหัวข้อนั้นได้
ภาพจาก: https://www.jfstandard.jpf.go.jp/summaryen/ja/render.do
จะสังเกตได้ว่ามีแค่ระดับ A1 เท่านั้นที่ระบุคำกริยาว่าเป็น read ในขณะที่อีก 5 ระดับจะใช้คำว่า present หรือ presentation ทั้งสิ้น ผู้เขียนคิดว่าอาจเป็นเพราะภาษายุโรปนั้นเกือบทั้งหมดใช้อักษรโรมัน ทำให้ต่างจากภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นที่ใช้อักษรหลายพันตัว ทำให้การวัดผลของภาษายุโรปหนักไปที่การอ่านเบื้องต้นและการฟังพูดเพื่อการสื่อสาร จึงไม่ต้องเน้นการอ่านตัวอักษรมากเท่าภาษาเอเชียอย่างจีนหรือญี่ปุ่น
ผู้เขียนคิดเอาเองโดยอิงจากประสบการณ์ในวงการภาษาญี่ปุ่นมากกว่า 20 ปีของตัวเองว่า สาเหตุที่ภาษาญี่ปุ่นเริ่มนำ CEFR มาใช้ในระบบ JLPT มี 2 ประการดังนี้
1. การสอบ JLPT เป็นการสอบเพียง 2 ทักษะคือ การฟัง และ การอ่าน เท่านั้น ไม่มีการสอบเขียน และสอบพูด การสอบ JLPT จึงไม่สามารถวัดผล 4 ทักษะของผู้เรียนได้ การใส่ CEFR เข้ามาใน JLPT เป็นการบอกใบ้ในเบื้องแรกว่าในอนาคต JLPT อาจมีการสอบเขียนและสอบพูด เหมือนภาษายุโรปอย่าง TOEFL หรือ IELTS ก็เป็นได้
2. ทาง Japan Foundation เองก็มีการนำแนวคิด CEFR มาปรับใช้เข้ากับการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่น กลายเป็นระบบ JF Can-do และ Minna no Can-do ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อ “สื่อสาร” ได้จริง ๆ โดยไม่ใช่เรียนเพียงเพื่อการสอบ JLPT แล้วก็พูดไม่ออกเขียนไม่เป็นเหมือนผู้เรียนบางคน (หลายคน) ที่ได้ N1-N2 มาแล้วแต่ยังใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่ดีเท่าผลวัดระดับที่ได้มา
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมาตรฐานการใช้ CEFR มาเทียบกับ JLPT นั้นยังไม่นิ่งนัก ทำให้เกิดปัญหา 2 ประการคือ
1. แต่ละสำนักจัดให้ JLPT กับ CEFR ออกมาต่างกันอยู่บ้าง บางสำนักจัดให้ N1 เป็นเพียง B2 ของ CEFR และ N2 เป็นเพียง B1 ของ CEFR เท่านั้น เนื่องจากเชื่อว่า JLPT ไม่มีการสอบเขียน และสอบพูด แต่บางสำนักก็มองว่า N1 ต้องได้ระดับ C1 ของ CEFR แล้วต่างหากเพราะถือว่าเป็นระดับสูงแล้ว ส่วน N2 ต้องเป็น B2 สิ ซึ่งตรงนี้คงเป็นประเด็นปัญหาหลักว่า JEES จะใช้วิจารณญาณของกรรมการผู้เกี่ยวข้องเคาะออกมาว่าอย่างไร เพราะปัจจุบันยังไม่มีการจัดเทียบเคียง JLPT-CEFR ของสำนักใดที่เป็นที่ยอมรับ ต้องรอประกาศจาก JEES เท่านั้น
2. CEFR เป็นมาตรฐานของภาษายุโรปที่ไม่มีอักษรมากมายแบบภาษาจีนและญี่ปุ่น การนำ CEFR มาใช้มีข้อดีคือกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนเพื่อการสื่อสาร ไม่ใช่เพื่อการสอบอย่างเดียว แต่ก็มีผลเสียคือ CEFR ไม่ได้มีการวัดผลด้านจำนวนตัวอักษร (ก็ยุโรปไม่ใช้ KANJI นี่นะ) ที่เป็นรูปธรรม การนำ CEFR มาใช้กับ JLPT จึงยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีอาจจะนามนับทศวรรษ กว่าจะสร้างมาตรฐานที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม การที่สอบวัดระดับ JLPT หันไปใช้ระบบ CEFR ของยุโรป นั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า ทั้งผู้เรียนและผู้สอนภาษาญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกนั้น จะมัวมองแต่ญี่ปุ่นไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากญี่ปุ่นเองก็ตระหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงความเป็น Global Citizen ของตัวเอง พยายามนำภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปเชื่อมโยงกับชาวโลกให้มากขึ้น แม้แต่การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นยังพยายามนำไปเชื่อมกับระบบยุโรป ดังนั้น ผู้เรียนและผู้สอนภาษาญี่ปุ่นจึงควรเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมชาวโลก มองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปิดกว้างขึ้น อาจทำให้ได้สัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นในมุมมองใหม่ที่ได้รสชาติแตกต่างออกไปกว่าเดิมก็เป็นได้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– Soft Power และกรุงโรม ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว: มาพิจารณาการพัฒนา Soft Power ของญี่ปุ่นกัน
– คุณค่าของมังงะและอนิเมะในฐานะเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีสำหรับบทละครหรือบทภาพยนตร์
– ความแตกต่างระหว่าง ซะเงียว (作業) และ ชิโงะโตะ (仕事): คุณกำลังเข้าใจว่า “กระบวนการ” คือ “งาน” อยู่หรือไม่?
– รีวิวหลักสูตรมังงะและอนิเมะศึกษาของมหาวิทยาลัยหลายแห่งในประเทศไท
– Start-up สัญชาติญี่ปุ่นเตรียมผงาดหลังสถานการณ์ Covid-19 บรรเทาลง
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://www.germanschoolcampus.com/
#CEFR คืออะไร แล้วทำไม JLPT ต้องใช้ CEFR ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2025?