เปิดห้องหนังสือ : ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ หนังสือที่จะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหนังสือไปอย่างสิ้นเชิง
เธอชอบหนังสือสินะ?
แล้วเธอชอบแมวมั้ยล่ะ?
หากคำตอบคือ ใช่ เราอยากแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้คุณรู้จักค่ะ
“ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ” ผลงานของนักเขียนชื่อดังนัตสึคาวะ โซสุเกะ (Sosuke Natsukawa) ถูกแปลไปแล้วกว่า 15 ภาษาทั่วโลก และยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศ Japan Bookseller Award อีกด้วย สำหรับหนังสือฉบับภาษาไทยนั้นถูกแปลโดย “คุณฉัตรขวัญ อดิศัย” นักแปลนิยาย และไลท์โนเวล ที่หลายคนรู้จักดี หนังสือเล่มนี้ไม่หนามากมีเพียงแค่ 232 หน้าเท่านั้น หากมีเวลาว่างคิดว่าใช้เวลาแค่วันเดียวก็อ่านจบแล้ว
สำหรับไอซึเองนั้นครั้งแรกที่ได้เห็นหนังสือเล่มนี้ก็ถึงกับตกหลุมรัก เพราะหน้าปก รูปเล่ม และคำโปรย มันเป็นอะไรที่ถูกจริตเราที่สุด และยิ่งได้ลองอ่านเรื่องย่อก็ยิ่งน่าสนใจ
หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง นัตสึกิ รินทาโร่ นักเรียนหนุ่มมัธยมปลาย ที่อาศัยอยู่กับคุณปู่ที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง เมื่อปู่เสียชีวิตกะทันหันเด็กหนุ่มจึงได้รับสืบทอดกิจการ แต่ตัวเขาเองกลับไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ในตอนนั้นเองแมวลายส้มพูดได้ที่แอบอยู่ในร้านก็ปรากฏตัว และขอให้รินทาโร่ร่วมเดินทางไปเพื่อปกป้องหนังสือจากศัตรูที่เกลียดชังหนังสือ การผจญภัยในเขาวงกตของคนกับแมวจึงเริ่มต้นขึ้น..
ความคิดแรกที่เราได้อ่านเรื่องย่อก็คิดเอาไว้ว่าคงได้อ่านนิยานแฟนตาซีที่พาเราไปผจญภัยกับหนังสือและแมวตามที่ต่างๆ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ค่ะ หนังสือเล่มนี้ให้อะไรมากกว่านั้น ให้ทั้งคำเสียดสี คำวิพากษ์วิจารณ์ คำถาม และข้อขบคิด ในทุกบรรทัดเต็มไปด้วยความจริง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจิตใจที่เหล่านักอ่านจะต้องคอยตอบคำถามและต่อสู้กับเหตุผลที่ตัวหนังสือคอยส่งมาตลอดเวลา หนังสือเล่มนี้จึงเป็นมากกว่าไลท์โนเวลแฟนตาซี ฟีลกู้ด แบบที่ทุกคนเข้าใจ แต่กลับเต็มไปด้วยการจิกกัดทั้งนักอ่านและคนทำหนังสือประมาณนึงเลยทีเดียว
หนังสือเล่มนี้เปิดเนื้อเรื่องมาได้อย่างน่าสะเทือนใจว่า “ปู่ตายแล้ว” ซึ่งทำให้เราทั้งตกใจ เสียใจและเศร้าไปกับรินทาโร่ และก็เพราะว่าคุณปู่ตายแล้วจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด แรกเริ่มรินทาโร่ก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาที่ชอบเก็บตัว วันวันขลุกตัวอยู่แต่กับกองหนังสือที่เขารักในร้านของคุณปู่ ที่เต็มไปด้วยวรรณกรรมสุดคลาสสิกของนักเขียนชื่อดังระดับโลกหลายท่าน อย่างเช่น ฟรีดริค นิตเช่, วอลแตร์, อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี, กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ เป็นต้น และเมื่อปู่จากไปยิ่งทำให้รินทาโร่จมดิ่งอยู่กับตัวเอง จนเมื่อแมวลายเสือนามว่าโทระ เดินทะลุกำแพงออกมาและกล่าวว่า “ข้าขอยืมพลังของเจ้า รุ่นที่สอง” การผจญภัยของรินทาโร่จึงเริ่มต้นขึ้น
เขาวงกตแห่งที่หนึ่ง ผู้กักขัง
รินทาโร่ต้องมาช่วยหนังสือจากนักอ่านที่พยายามอ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพียงเพื่อต้องการการยอมรับจากคนในสังคมโดยลืมไปว่าการอ่านหนังสือด้วยความรักเป็นอย่างไร และเมื่อได้ลองอ่านไปจบจนเรากลับพบว่าผู้กักขังหนังสือนั้นเป็นคนที่รักหนังสือ แต่เพียงแค่มุมมองในความรักของเขานั้นอาจจะแตกต่างจากคนอื่นไปบ้างเท่านั้นเอง
และสำหรับไอซึนั้นเมื่อได้อ่านบทนี้ก็เห็นด้วยกับรินทาโร่หมดใจเพราะนิสัยการอ่านของไอซึนั้นไม่มีการตั้งเป้าหมายว่าเราต้องอ่านได้กี่เล่มในเวลากี่เดือน แต่เลือกอ่านหนังสือจากความชอบ และความสนใจจริง ๆ หนังสือที่มีในครอบครองจึงถูกนำมาอ่านซ้ำอยู่บ่อย ๆ ไม่ถูกกักขังอยู่ในตู้ตลอดไปนั้นเอง
เขาวงกตแห่งที่สอง ผู้ตัดฉับ ๆ
ที่แห่งนี้รินทาโร่ต้องพบกับนักอ่านที่พยายามหาวิธีที่ทำให้อ่านหนังสือแต่ละเล่มจบในเวลาอันรวดเร็ว โดยการอ่านเฉพาะเรื่องย่อนั้นเอง ซึ่งผู้ตัดฉับ ๆ นี้ให้เหตุผลว่า
“โลกนี้มีหนังสืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน ในขณะที่มนุษย์อย่างพวกเรายุ่งจนเกินไป จึงไม่มีเวลาอ่านได้ทุกเล่ม แต่เมื่อใดที่งานวิจัยของฉันเสร็จสมบูรณ์ ผู้คนจะสามารถอ่านหนังสือได้วันละหลายสิบเล่ม ไม่ใช่แค่หนังสือติดอันดับขายดีที่อยู่ในกระแสนิยม แต่ยังอ่านเรื่องราวที่สลับซับซ้อนและหนังสือปรัชญายาก ๆ ได้ภายในชั่วอึดใจ นี่จะเป็นความปลาบปลื้มครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
ไอซึก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกคล้อยตามไปกับผู้ตัดฉับ ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะมันคือความจริงที่มีหนังสืออยู่มากมายบนโลกใบนี้ และการที่เราจะอ่านได้หมดในเวลาชั่วชีวิตนี้คงเป็นไปได้ยาก การอ่านเรื่องย่อจึงทำให้เรารู้ว่าหนังสือเล่มนั้น มีเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร และกล่าวถึงอะไร
แต่มันจะคุ้มกันหรือที่เราจะต้องสูญเสียความสุนทรีความสำราญ และความตื่นเต้นของหนังสือแต่ละเล่มไป เหลือเพียงแค่ประโยคบอกเล่าเพียงไม่กี่ประโยค ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายเหลือเกิน
สำหรับเขาวงกตแห่งที่สองนี้สร้างคำถามและข้อขบคิดให้กับตัวไอซึเองมากมายเลยค่ะ
เขาวงกตแห่งที่สาม ผู้ขายดี
สำหรับเขาวงกตแห่งที่สามนี้ รินทาโร่ต้องพบกับประธานสำนักพิมพ์อันดับหนึ่งของโลก ที่ต้องการเพิ่มผลกำไรและยอดขายให้กับสำนักพิมพ์โดยเลือกตีพิมพ์แต่หนังสือขายดีติดอันดับ และหนังสือที่ผู้คนให้ความสนใจ โดยหลงลืมไปว่าการที่ก้าวเข้ามาทำงานหนังสือในครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นมาจากความรักหนังสือ
สำหรับตอนนี้เป็นการเสียดสีบรรดาสำนักพิมพ์และคนทำหนังสือให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดถึงคุณค่าของหนังสือกับหนังสือที่สังคมต้องการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้วคนทำหนังสือทุกคนล้วนแล้วแต่รักหนังสือ และเพียงเพื่อต้องการให้หนังสืออยู่รอดจึงจำเป็นที่จะต้องตีพิมพ์หนังสือที่คนอ่านต้องการเท่านั้นเอง
เขาวงกตแห่งสุดท้าย
เขาวงกตที่สรุปรวมเรื่องราวทั้งหมด เป็นเขาวงกตที่ช่วยให้ฉุกคิดได้ว่าเราอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร และหนังสือต้องการจะบอกอะไร หนังสือทุกเล่มล้วนมีพลัง และมีหัวใจ หนังสือที่ถูกทำลายจะสูญเสียพลัง ถึงเป็นหนังสือที่มีพลังแค่ไหน หากถูกกักขัง ถูกตัดฉับ ๆ และขายดี พวกมันก็จะหายไปในที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนมากมายที่ยังคงรักหนังสือและพยายามรักษาหนังสือเหล่านั้นไว้นั้นเอง
สุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้นอกจากจะเอ่ยถึงนักอ่านและสำนักพิมพ์หลากหลายประเภทแล้ว ยังกล่าวถึงมุมมองการใช้ชีวิตและการก้าวข้ามอุปสรรค และมีชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้วการอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การออกไปใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน และเราต่างไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
“หนังสือก็คล้ายกับการปีนเขา”
“การอ่านหนังสือไม่ควรหวังแค่ความสำราญหรือความน่าตื่นเต้น บางครั้งเราต้องดื่มต่ำไปทีละประโยค อ่านเนื้อหาเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรืออ่านช้า ๆ พร้อมกับกุมขมับไปด้วย งานที่ยากลำบากนั้นช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เราแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนเวลาปีนยอดเขาแล้วเห็นทิวทัศน์กว้างไกล”
ข้อมูลหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ
ผู้เขียน : นัตสึคาวะ โซสุเกะ (Sosuke Natsukawa)
ผู้แปล : ฉัตรขวัญ อดิศัย
สำนักพิมพ์ : Bibli
เรื่องที่เกี่ยวข้อง >>
– Harvey’s Island เกาะแห่งความทรงจำ Animal Crossing : New Horizons
– รีวิวเกม Animal Crossing : New Horizons สร้างโลกใบที่สองให้เป็นไปในแบบที่คุณต้องการ
– 10 ความเชื่อเรื่องต่างๆ ของคนญี่ปุ่น
– แนะนำ 3 สถานที่เปิดใหม่ในญี่ปุ่นปี 2020
– 10 งานอดิเรกยอดฮิตของคนญี่ปุ่น
#ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ