คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ก็ยังลุยกันต่อนะครับ ไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องที่ตั้งใจจะเขียน “คั่นรายการ” จะมีเนื้อหาที่เข้มข้นขนาดนี้ อ่ะเราไปกันเลยครับ
ความหมายของ เกียรติ (Honor) นั้น โดยที่บอกเป็นนัยถึงความตระหนักรู้ที่เจิดจ้าถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าส่วนบุคคล ไม่อาจตกหล่นที่จะแสดงลักษณะพิเศษของซามูไร ที่เกิดมาและเติบโตมาโดยให้คุณค่ากับหน้าที่และอภิสิทธิในวิชาชีพของตน แม้ว่าคำที่ปกติให้กันในปัจจุบันเป็นคำแปลของ Honor ไม่ได้ใช้อย่างเสรี (น่าจะหมายถึงคำว่า เมย์โยะ 名誉 นี่แหละ) แต่แนวคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดด้วยคำต่างๆ เช่น นะ (名 ชื่อ) เมมโมคุ (面目 หน้าตา) ไกบุน (外聞 คำเล่าลือ) ซึ่งทำให้เราระลึกถึงการใช้คำว่า “name” ในพระคัมภีร์ หรือ วิวัฒนาการของคำว่า “personality” จากคำว่าหน้ากากในภาษากรีก แล้วก็คำว่า “fame” ชื่อเสียงอันดี ส่วนที่อมตะของตัวตน ที่ยังคงเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าย่อมเป็นเช่นนั้น
การล่วงล้ำบูรณภาพของมัน ย่อมเป็นที่รู้สึกว่าน่าอับอาย (shame) และความหมายของ ความอับอาย (廉恥心 เรนจิชิน) ก็เป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่จะถูกรักถนอมในการศึกษาของเยาวชน “เจ้าจะถูกหัวเราะเยาะ” “มันจะทำให้เจ้าอับอาย” “เจ้าไม่ละอายใจหรือ?” เป็นการอุทธรณ์ครั้งสุดท้ายเพื่อแก้ไขพฤติกรรมในส่วนของของเยาวชนผู้กระทำผิด การไล่เบี้ยเอากับเกียรติของเขา ได้แตะจุดที่อ่อนไหวที่สุดในหัวใจของเด็ก ราวกับว่าเด็กนั้นถูกเลี้ยงดูด้วยเกียรติในขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา เพราะเกียรติเป็นอิทธิพลที่มีก่อนเกิดโดยแท้ ซึ่งผูกพันอย่างใกล้ชิดกับจิตสำนึกครอบครัวที่เข้มแข็ง “ในการสูญเสียความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของครอบครัว” บาลซัค (ออนอเร เดอ บาลซัก นักเขียนนิยายชาวฝรั่งเศส?) กล่าว “สังคมได้สูญเสียพลังพื้นฐานที่มงเตสกีเยอเรียกว่าเกียรติ (Honor)”
แท้จริงแล้ว ความรู้สึกละอายใจนั้นสำหรับข้าพเจ้าแล้วดูเหมือนจะเป็นสิ่งบ่งชี้แรกสุดถึงจิตสำนึกทางศีลธรรมของเผ่าพันธุ์ของเรา การลงโทษครั้งแรกและเลวร้ายที่สุดซึ่งเกิดขึ้นกับมนุษยชาติอันเป็นผลมาจากการได้ลิ้มรส “ผลของต้นไม้ต้องห้ามนั้น” นั้น ในความคิดของข้าพเจ้า ไม่ใช่ความโศกเศร้าของการคลอดบุตร หรือหนามและพืชมีหนาม แต่เป็นการปลุกความรู้สึกอับอายขึ้นมาต่างหาก มีเหตุการณ์ไม่กี่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าฉากที่แม่คนแรกวิ่งไปมาด้วยอกกระเพื่อมและนิ้วที่สั่นเทา เข็มอันหยาบของนางอยู่บนใบมะเดื่อสองสามใบ ซึ่งสามีผู้หดหู่ของนางเด็ดออกมาให้นาง (หมายถึงนางเอวาที่ได้กินผลไม้ดังกล่าวแล้วจึงเกิดความอับอายที่เปลือยกาย จนต้องไปหาใบไม้มาเย็บติดกันเพื่อใช้ปกปิดร่างกาย)
ผลแรกของการไม่เชื่อฟังนี้เกาะติดกับเราด้วยความดื้อรั้นที่ไม่มีสิ่งอื่นใดเท่า ความฉลาดในการแต่งตัวของมนุษยชาติยังไม่ประสบความสำเร็จในการตัดเย็บผ้ากันเปื้อนที่จะซ่อนความรู้สึกอับอายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซามูไรคนนั้นทำถูกแล้วที่ปฏิเสธที่จะประนีประนอมกับชื่อเสียงอันดีของเขาด้วยความอัปยศอดสูเล็กน้อยในวัยเยาว์ “เพราะว่า” เขากล่าว “ความเสื่อมเกียรติก็เหมือนแผลบนต้นไม้ ซึ่งเวลา แทนที่จะลบล้าง กลับมีแต่ช่วยให้ขยายใหญ่ขึ้น”
งานนี้คัมภีร์พันธสัญญาเดิมก็มา เลยนะครับ
ความกลัวต่อความอัปยศ (disgrace) มีมากจนหากวรรณกรรมของเราขาดคารมคมคายอย่างที่เชกสเปียร์ใส่ไว้ในปากของนอร์ฟอล์ก (คงหมายถึงดยุคแห่งนอร์ฟอล์กรุ่นที่หนึ่ง ดังปรากฎในบทละครของเชกสเปียร์) มันถูกแขวนไว้ราวกับดาบแห่งดาโมคลีส (เป็นเรื่องเล่าที่ซิเซโร นักพูดชาวโรมันผูกขึ้นมาว่า ดาโมคลีสอยากลองเป็นกษัตริย์หนึ่งวัน กษัตริย์ดิโอนิซิอุสเลยจัดให้ มีทั้งบัลลังก์ นางกำนัล แถมดาบที่ห้อยเหนือหัวให้ด้วย 555) เหนือศีรษะของซามูไรทุกผู้ทุกนาม และมักจะถือว่าเป็นลักษณะที่เป็นโรคร้าย ในนามของเกียรติ การก่อกรรมทำเข็ญต่างๆ ได้ถูกกระทำโดยไม่มีเหตุอันควรใดๆ ในประมวลกฎหมายของบูชิโด แม้แต่การดูถูกที่เบาที่สุด ไม่สิ ที่มโนภาพ คนคุยโวอารมณ์ร้อนก็ขุ่นเคือง หันไปพึ่งการใช้ดาบ และเกิดการทะเลาะวิวาทโดยไม่จำเป็นหลายครั้ง และชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากก็สูญเสียไป
เรื่องราวของพลเมืองผู้หวังดีคนหนึ่ง เรียกบูชิให้หันไปสนใจไปที่หมัดที่กระโดดอยู่บนหลังของเขา แล้วก็ถูกผ่าเป็นสองท่อนทันที ด้วยเหตุผลง่ายๆ และน่าสงสัยที่ว่า เนื่องจากหมัดเป็นปรสิตที่เลี้ยงชีพบนตัวสัตว์ มันจึงเป็นการดูถูกที่ไม่อาจให้อภัยได้ในการชี้ว่านักรบผู้สูงศักดิ์นั้นเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า เรื่องราวเช่นนี้ไร้สาระเกินกว่าจะเชื่อได้
กระนั้น แต่การหมุนเวียนของเรื่องราวดังกล่าวมีนัยสามประการ (1) สิ่งเหล่านี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปหวาดกลัว (2) การละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากการแสดงออกซึ่งเกียรติจริงๆ และ (3) มีความรู้สึกอับอายอย่างมากเกิดขึ้นในหมู่พวกเขา มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะเอากรณีไม่ปกติมากล่าวร้อยต่อศีลทั้งหลายนี้ ยิ่งไปกว่าที่ตัดสินคำสอนที่แท้จริงของพระคริสต์จากผลของความคลั่งศาสนาและความฟุ่มเฟือย การสอบสวนหาความผิดและความหน้าซื่อใจคด แต่ว่า อย่างในความหมกมุ่นในศาสนา มีบางสิ่งบางอย่างที่สูงส่งสัมผัสได้ เมื่อเทียบกับอาการคลุ้มคลั่งเพราะพิษสุราเรื้อรังของคนขี้เมา ดังนั้นในความอ่อนไหวอย่างสุดโต่งของซามูไรเกี่ยวกับเกียรติของพวกเขา เราจะไม่รับรู้ถึงรากฐานของคุณธรรมที่แท้จริงเลยหรือ?
นี่มันซามูไรหรือเด็กช่างกลวะเนี่ย 555
ความเลวร้ายเกินปกติซึ่งกฎเกณฑ์อันละเอียดอ่อนของซามูไรจะโน้มเอียงไปหานั้น ถูกถ่วงดุลอย่างแข็งแรง ด้วยการเทศนาเรื่องความมีใจกว้าง (magnanimity) และความอดทน (patience) การก้าวร้าวเพราะการยั่วยุเพียงเล็กน้อยถูกเยาะเย้ยว่าเป็น “คนใจร้อน” สุภาษิตยอดนิยมกล่าวว่า “การอดทนในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านทนไม่ได้ ก็คือการอดทนจริงๆ” อิเอยาสุผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งหลักคติพจน์เล็กน้อยไว้แก่คนรุ่นหลัง ในหมู่นั้นมีอยู่ว่า “ชีวิตมนุษย์เปรียบเสมือนการเดินทางระยะไกลโดยมีภาระหนักบนบ่า อย่ารีบร้อน. * * * * อย่าตำหนิใคร แต่จงระวังความบกพร่องของตัวเองตลอดไป * * *
ความอดกลั้น (Forbearance) คือพื้นฐานของความยาวนานของวัน” เขาได้พิสูจน์สิ่งที่เขาสั่งสอนในชีวิตของเขา ผู้มีปฏิภาณทางวรรณกรรมได้ใส่คำคมที่แสดงลักษณะเฉพาะ ไว้ในปากของบุคคลที่มีชื่อเสียงสามคนในประวัติศาสตร์ของเรา โนบุนากะพูดว่า “ถ้านกกาเหว่าไม่ร้องจะฆ่ามันซะ” ฮิเดโยชิพูดว่า “ถ้านกกาเหว่าไม่ร้องเดี๋ยวจะลองทำให้มันร้อง” อิเอยาสุพูดว่า “ถ้านกกาเหว่าไม่ร้องก็คอยไปจนกว่าจะร้องนั่นแหละ”
ครับ อิเอยาสุนี่แหละครับ “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” ของจริง
ใครเป็นใครดูกันเองนะครับ (ที่มา mind.co.jp)
ต้องยอมรับว่ามีน้อยคนเท่านั้นที่บรรลุถึงความมีใจกว้าง ความอดทน และการให้อภัยในระดับที่สูงส่ง เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่มีอะไรที่ถูกแสดงอย่างชัดเจนและทั่วไปว่าสิ่งใดที่สถาปนาเกียรติ มีเพียงจิตที่รู้แจ้งเพียงน้อยนิดที่ตระหนักว่า “มันไม่ได้เกิดขึ้นจากสภาวะอะไรทั้งนั้น” แต่มันอยู่ในการกระทำได้ดีในส่วนของตนแต่ละการกระทำ ไม่มีอะไรจะง่ายไปกว่า สำหรับเยาวชนลืมท่ามกลางความร้อนแรงของการกระทำ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากเม่งจื๊อ ในขณะที่พวกเขาใจเย็นกว่านี้ ปราชญ์ผู้นี้กล่าวว่า “ทุกคนมีจิตใจรักชอบเกียรติ แต่เขาไม่ค่อยนึกว่า สิ่งที่เป็นเกียรติอย่างแท้จริงนั้นอยู่ในตัวของเขาเองไม่ใช่ที่อื่นใด เกียรติที่มนุษย์ประสาทให้ไม่ใช่เกียรติที่ดี บรรดาผู้ที่เจ้าแคว้นจ้าว (趙) ผู้ยิ่งใหญ่ตั้งให้เป็นขุนนางได้ เขาก็ทำให้ตกต่ำได้” (孟子曰:欲贵者,人之同心也。人人有贵于己者,弗思耳。 人之所贵者,非良贵也。赵孟之所贵,赵孟能贱之。)
เอาตรงๆ ง่ายๆ นะครับ “โลกธรรม ๘” มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศสรรเสริญนินทาสุขทุกข์
น่าสังเกตว่า คำว่า “เกียรติ” (Honor) ในที่นี้ ในคำของเม่งจื้อใช้คำว่า เกว้ย (贵) หมายถึง “สูงส่ง”
ถ้าให้ผมแปลถอดภาษาจีนโบราณแบบงูๆ ปลาๆ ผมถอดได้แบบนี้
孟子曰:欲贵者,人之同心也。人人有贵于己者,弗思耳。 人之所贵者,非良贵也。赵孟之所贵,赵孟能贱之。
เม่งจื๊อกล่าว การอยากได้เกียรติ (ยศสูงส่ง) นั้น คน (ล้วน) ใจเดียวกัน คนทั้งหลายมีเกียรติที่ (ใน) ตัวเอง (กลับ) ไม่นึก เกียรติที่คนตั้ง มิใช่เกียรติที่ดี เกียรติที่ท่านจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ตั้ง ท่านจ้าวผู้ยิ่งใหญ่ (ก็) อาจทำให้ต่ำต้อยได้
โอย เหนื่อย อย่าหาทำ 555
โดยส่วนใหญ่แล้ว การดูถูกเหยียดหยามจะถูกโกรธแค้นอย่างรวดเร็วและชดใช้ด้วยความตาย ดังที่เราจะได้เห็นในภายหลัง ในขณะที่เกียรติย ซึ่งบ่อยครั้งไม่มีอะไรจะเกินไปกว่าความทะนงตัว หรือการเป็นที่ยอมรับแบบโลกๆ กลับถูกยกย่องให้เป็นสิ่งประเสริฐสุด (summum bonum) ของสิ่งที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ ชื่อเสียง (Fame) ไม่ใช่ความมั่งคั่งหรือความรู้ เป็นเป้าหมายที่เยาวชนต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อไปสู่ เด็กหนุ่มหลายคนสาบานในตัวเองขณะที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูของบ้านบิดาของเขา ว่าเขาจะไม่ข้ามมันอีกจนกว่าเขาจะได้สร้างชื่อไว้ในโลก และแม่ผู้ทะเยอทะยานหลายคนปฏิเสธที่จะพบลูกชายของเธออีก เว้นแต่พวกเขาจะสามารถ “กลับบ้านได้ ” ดังสำนวนที่ว่า “ประดับม้าด้วยผ้าไหมทอง”
เพื่อหลบเลี่ยงความอับอายหรือได้มาซึ่งชื่อ เด็กชายซามูไรจะต้องยอมจำนนต่อความขาดแคลนและต้องทนต่อการทดสอบโดยเผชิญกับความทุกข์ทรมานทางร่างกายหรือจิตใจอย่างรุนแรง พวกเขารู้ว่าเกียรติยศที่ได้รับในวัยเยาว์นั้นเพิ่มขึ้นตามวัย ในการล้อมเมืองโอซาก้าที่น่าจดจำ บุตรชายคนเล็กของอิเอยาสุ แม้จะขอร้องอย่างจริงจังให้ได้ไปอยู่กองหน้า แต่ก็ถูกจัดให้อยู่ด้านหลังกองทัพ เมื่อปราสาทล่ม เขาเสียใจมากและร้องไห้อย่างขมขื่น จนมนตรีผู้เฒ่าพยายามปลอบใจเขาด้วยทรัพยากรทั้งหมดตามคำสั่งของเขา “ใจเย็นๆ นะท่าน” เขาพูด “เมื่อคิดถึงอนาคตอันยาวนานที่อยู่ตรงหน้าท่าน ในอีกหลายปีที่ท่านมีชีวิตอยู่ จะมีโอกาสมากมายที่จะทำให้ตัวท่านเองโดดเด่น” เด็กชายจับจ้องไปที่ชายคนนั้นอย่างขุ่นเคืองแล้วพูดว่า “เจ้าได้พูดโง่เขลาจริง! ปีที่สิบสี่ของข้าจะกลับมาอีกครั้งไหมล่ะ”
ชีวิตนั้นถูกคิดว่าราคาถูก ถ้าบรรลุถึงเกียรติและชื่อเสียงได้ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีเหตุปรากฏซึ่งถือว่ามีค่ายิ่งกว่าชีวิต ชีวิตก็จะปลอดโปร่งและฉับไวอย่างที่สุด
สาเหตุที่เมื่อเปรียบแล้วไม่มีชีวิตใดที่มีค่าเกินไปที่จะเสียสละ คือหน้าที่แห่งความภักดี (The Duty of Loyalty) ซึ่งเป็นศิลาหลักที่ทำให้คุณธรรมของศักดินากลายเป็นประตูโค้งที่สมมาตร
ครับ ในที่สุดก็จะมาถึงศีลข้อสุดท้ายของซามูไรกันแล้ว เป็นไงบ้างครับสำหรับวันนี้ เอาตรงๆ ผมอ่านแล้วก็อึ้งไปเลยแหละ มันเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนญี่ปุ่นมี “ความยึดติด” (โคดาวาริ こだわり) กันนัก เอาล่ะครับสำหรับสาระในวันนี้ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน คราวหน้าจะพูดถึงศีลข้อสุดท้ายกันแล้วนะครับ
อ้อ ขอฝากพอตแคสต์ “ยูยิตสูเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ
Google Podcast ก็มี
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (5) ว่าด้วย ความเมตตากรุณา (จิน 仁)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (4) ว่าด้วย ความกล้าหาญ (ยู 勇)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (3) ว่าด้วยความเที่ยงธรรม (กิ 義)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (8) ว่าด้วย เกียรติ (เมย์โยะ 名誉)