สมัยก่อนบริษัทญี่ปุ่นจะไม่อยากทำงานกับบริษัทที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะเลือกทำกับบริษัทใหญ่ๆ ให้ง่ายต่อการประสานงานหรือแก้ไขงาน แต่เมื่อเป็นยุค Social แล้ว ความกังวลใจในตรงนี้ก็ลดน้อยลง
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นของผมก็คือการ สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าเขา “เปิดรับ” สิ่งต่างๆ รวมถึงข้อเสนอจากภายนอกมากขึ้น
ขอเกริ่นก่อนว่าปกติแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทำงานค่อนข้างจำกัดคู่ค้าครับ หากเขาเลือกที่จะทำงานกับใครแล้ว เขาจะทำงานกับที่นั่นไปเลยโดยไม่เปิดรับคู่ค้าใหม่ๆ รวมถึงกิจการบางอย่างก็ทำโดยที่ไม่ได้สนใจถึงตลาดนอกประเทศ (ดังที่เราจะเห็นพวกสินค้าหรือสื่อบันเทิง โดยเฉพาะเกมที่ Exclusive for Japanese อยู่บ่อยๆ)

อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนก็คือญี่ปุ่นหันมาเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะสภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ไม่สู้ดีนักในช่วงหลังๆ ตลอดจนปัจจุบันเป็นยุค social media และสมัยก่อนปัญหาหลักๆ ก็คือญี่ปุ่นนั้นมักไม่ชอบเผชิญหน้ากับปัญหาที่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาจะไม่อยากทำงานกับบริษัทที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะเลือกทำกับบริษัทใหญ่ๆ ให้ง่ายต่อการประสานงานหรือแก้ไขงาน แต่เมื่อเป็นยุค Social แล้ว ความกังวลใจในตรงนี้ก็ลดน้อยลง พวกเขาสามารถตรวจสอบทุกๆ บริษัทได้ง่ายขึ้น ติดต่อทุกคนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว บริบทนี้เองที่ทำให้ญี่ปุ่นกล้าที่จะเดินหน้าบุกตลาดที่เขาไม่คุ้นเคย
ข้อดีของการเก็บทุกอย่าง exclusive ไว้ในประเทศ ก็คือถึงแม้วันหนึ่งคนญี่ปุ่นจะคุ้นเคยกับมันจนหมดความสนใจ แต่อย่าลืมว่าสิ่งนั้นยังมีสถานะเป็น “ของใหม่” สำหรับตลาดอื่นๆ อยู่เสมอ ดังนั้นยังมีอะไรอีกมากมายที่ญี่ปุ่นจะขายออกไปได้ครับ

ผมทำงานสายมวยปล้ำและหนังสือ สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือ มวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นโดยปกติแล้วเป็นสินค้าที่ค่อนข้าง exclusive ไม่ใช่แค่จะมีเงินก็ไปซื้อลิขสิทธิ์มาได้ จำเป็นต้องมีคอนเน็คชั่นและแผนงานที่ชัดเจนไปยำเสนอกว่าเขาจะปล่อยสิทธิ์ออก มา อย่างไรก็ตามในช่วงหลังสมาคมมวยปล้ำญี่ปุ่นปล่อยลิขสิทธิ์ออกมาง่ายมาก โดยหวังจะเปิดตลาดใหม่ๆ ในเอเชีย
สมาคม New Japan Pro Wrestling สมาคมมวยปล้ำอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น แต่เดิมแทบไม่ทำการออกนอกประเทศเลย แต่ปัจจุบันหันมาทำช่อลทีวีออนไลน์ที่คนสามารถรับชมได้ทั่วโลก ตอนนี้พวกเขายังทำในสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมมาก นั่นคือพวกเขา “แจกบัตรชมฟรี” ให้กับแฟนๆ ทั้งที่ปกติแล้วเลิกคิดได้เลยกับของฟรีจากญี่ปุ่นที่จะให้โดยไม่มีเงื่อนไข แต่อันนี้คือดูฟรีสามเดือนไม่มีเงื่อนไข เป้าหมายเขาคือการให้คนนอกญี่ปุ่นได้รู้จักกับสินค้าของพวกเขา และต่อยอดความชื่นชอบออกไปในอนาคตนั่นเอง สิ่งนี้สำเร็จมากๆ นะครับ อย่างในส่วนของมวยปล้ำเนี่ยเขาสำรวจตลาดรอบข้างเราดีแล้วว่ารายการมวยปล้ำ อื่นๆ มันอิ่มตัว นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามานั่นเอง

ยกตัวอย่างอื่นๆ ก็เช่นวงการหนังสือครับ ตลาดอินโดนิเซียและเวียดนามเป็นตลาดที่ญี่ปุ่นสนใจมาก เพราะอะไร? คำตอบคือสองประเทศนี้มีข้อจำกัดทางการเมืองอยู่ ทำให้งาน local ของพวกเขาไม่สุดเท่าที่ควร อย่างเช่นเวียดนาม การพิมพ์ทุกอย่างจะต้องผ่านการอนุญาตจากรัฐบาล ดังนั้นงานอะไรที่มีคอนเทนท์หวาดเสียวหรือสยดสยอง จะถูกตีกลับทันที แต่หากเป็นงานแปลจะเป็นคนละเรื่องครับ และญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่สินค้าเป็นที่ชื่นชอบของชายเวียดนาม เหตุนี้เองที่ญี่ปุ่นพยายามเจาะตลาดตรงที่เวียดนามขาดหายและค่อยๆ ครองตลาดได้สำเร็จ
เช่นเดียวกับอินโดนิเซียที่เป็นมุสลิมและงาน local ของเขาไม่มีเรื่องผี อาจด้วยข้อจำกัดทางศาสนาหรือค่านิยมในสังคมที่เขาไม่สามารถเขียนเรื่องผีแบบ สุดโหด สยองรุนแรงได้ ญี่ปุ่นก็อาศัยจุดนี้เช่นกัน หางานหนังสือสยองขวัญรูปแบบต่างๆ ไปครองตลาดอินโดนิเซีย และก็ทำได้สำเร็จอีกครั้ง
สิ่งต่อมาหลังจากใจส่วนของย่อยๆ ที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว ญี่ปุ่นก็เริ่มจะหันมาสร้าง International Base ครับ หลักๆ ตอนนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งญี่ปุ่นมักจะใช้เป็นเมืองศูนย์กลางในการดูแลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อลดต้นทุนค่า shipping ตลอดจนการประสานงานในแต่ละวาระ ตอนนี้รากฐานบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นครองใจเพื่อนบ้านเราได้เยอะเลยล่ะครับ และเชื่อว่าอีกไม่นานวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็จะแพร่หลายในสังคมเรามากกว่านี้ และผมมั่นใจว่ามันจะต่อยอดได้อีกเยอะ เพราะญี่ปุ่นมีสิ่งที่เราไม่รู้จักและรอเวลาเปิดเผยออกมาอีกเต็มไปหมด
นี่เป็นเพียงบริบทเริ่มต้นๆ สำหรับจุดเริ่มต้นของการกลับมาครองตลาดในแถบประเทศของเราอีกครั้ง ไว้ผมจะมาลงรายละเอียดในโอกาสต่อๆ ไปครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ