“ไกจิน: ความเป็นอื่นเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา?”
“ฉันมาทำอะไรที่นี่…?”
เป็นคำถามที่หลายคนอาจเคยถามตัวเองด้วยความงง สับสน เบลอ เครียด เวลาที่ต้องไปอยู่ในสังคมใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของชีวิต เช่น การย้ายโรงเรียน/ที่ทำงาน, ย้ายบ้าน ช่วงแรกจะเป็นช่วงที่เครียดมากสุดเพราะนอกจากต้องทำใจกับการที่ต้องสูญเสียสิ่งแวดล้อมเก่าแล้ว ยังต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจวัฒนธรรมและระบบวิธีคิดของสิ่งแวดล้อมใหม่อีก แต่ละที่มีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน บางสังคมยอมรับสมาชิกใหม่ที่เข้าไปได้ง่าย ไม่ค่อยแบ่งแยก เปิดใจรับความแตกต่างที่หลากหลาย แต่บางที่ไม่ว่าคนนอกที่เข้าไปจะพยายามปรับตัวมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นเลย
มีเรื่องเล่ากันว่าความรู้สึกของนักท่องเที่ยวที่ไปญี่ปุ่นไม่เหมือนกับการที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในสังคมญี่ปุ่นแบบจริงจัง
คนญี่ปุ่นปฏิบัติระหว่าง “คนใน” กับ “คนนอก” ไม่เหมือนกัน หากเป็นคนในด้วยกันเองจะปฏิบัติแบบ “ฮนเนะ” (本音) คือแสดงออกกันแบบเรียลๆ แต่ตอนเราไปเที่ยว (เป็นคนนอก) คนญี่ปุ่นจะปฏิบัติกับเราแบบ “ทาเตมาเอะ” ประดิษฐ์ประดอย (建前) เช่น ใช้คำศัพท์ที่สุภาพ, ใจดี, นอบน้อม ทำให้เรารู้สึกประทับใจ
คนที่เคยใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าต่อให้เราเรียนรู้และทำตัวตามขนมธรรมเนียมเขาแค่ไหน แต่เขาจะมีกำแพงบางๆ กั้นระหว่างเขากับเรา ตราบใดที่เราไม่ใช่คนญี่ปุ่นด้วยชาติกำเนิดเราก็เป็น “คนนอก” ซึ่งเป็นความรู้สึกเฝื่อนๆ เหมือนจะใช่ (เป็นสมาชิก) แต่ก็ไม่ใช่อยู่ดี
มีศัพท์เรียกคนนอกที่เข้าไปอยู่ในสังคมญี่ปุ่นว่า “ไกจิน” ( 外人) ที่มาของวิธีการคิดแบบนี้เกิดจากการที่ญี่ปุ่นเป็นเกาะและมีการปิดประเทศช่วงที่ตระกูลโทะกุงะวะมีอำนาจในการปกครองสูงสุดยาวนานถึง 220 ปี (ตั้งแต่ปี 1639-1854 สาเหตุที่กลับมาเปิดประเทศเพราะถูกอเมริกากดดัน) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความมั่นคงทางการเมืองสูง ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์และคนในประเทศมีความบริสุทธิ์ของสายเลือดเพราะแทบจะไม่มีคนต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเลย ถึงแม้หลังเปิดประเทศจะมีวัฒนธรรมต่างชาติไหลบ่าเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังการปฏิวัติยุคเมจิในปี 1868 และช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกา แต่คนญี่ปุ่นยอมรับแค่วัฒนธรรมบางส่วนที่ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมเดิม แล้วนำสิ่งนั้นมาปรับจนเป็นของตัวเอง
จากความคิดแบบชาตินิยมสุดโต่งและแบ่งเขาแบ่งเราชัดเจน ทำให้ชาวต่างชาติหลายคนที่ไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นรู้สึกอึดอัดใจเพราะเหมือนถูกกีดกัน ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เหมือนไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง จนเกิดความเครียดได้
>> เมื่อเรารู้สึกแปลกแยก (Alienation)
ตามธรรมชาติมนุษย์ต้องการที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Sense of Belonging) ซึ่งสังคมมีตั้งแต่หน่วยเล็กไปจนหน่วยใหญ่ เช่น เป็นคนในครอบครัว, เป็นนักกีฬาของทีม, เป็นพลเมืองของประเทศนั้น สิ่งที่ได้รับจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนอกเหนือจากความรู้สึกดีต่อใจอบอุ่นปลอดภัยแล้ว เรายังได้รับประโยชน์อย่างอื่นด้วย เช่น มีคนให้ความช่วยเหลือ, มีคนให้กำลังใจ เวลาที่มีเรื่องเครียดๆเกิดขึ้นจะรู้สึกว่ามีคนที่คอยอยู่เคียงข้างเรา
แต่ถ้าเราต้องไปอยู่ในที่ๆ เรารู้สึกว่าคนอื่นกีดกันเราออกไป ไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมนั้น โดยที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตรงๆ ทางคำพูดหรืออ้อมๆ ผ่านภาษากาย เช่น เพิกเฉย (Ignorance), ทำท่ารังเกียจ มันทำให้เรารู้สึกแปลกแยก เหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยว มีความคิดลบขึ้นมา เช่น “นี่ไม่ใช่ที่ของเรา” “เราเป็นสิ่งแปลกปลอม”, “ไม่มีใครช่วยเลย”, “มันน่ากลัว” ส่งผลทำให้ใจเฉา
หากมีความรู้สึกแปลกแยกยิ่งนานหรือมากเท่าไรจะนำไปสู่ปัญหาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพหรือด้านจิตใจ เช่น อาการปวดเรื้อรัง, โรคซึมเศร้า, การใช้สารเสพติดเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว
สาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกแปลกแยก (Alienation) เกิดได้จากหลายอย่าง เช่น การย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิม, การสูญเสียคนรักที่เรายึดติดกับเขามาก, การที่มีสถานะทางสังคม/การเงินแตกต่างจากคนอื่น, สิ่งแวดล้อมที่อยู่การเมืองดราม่าแรง แบ่งแยกพวกเราพวกเขาชัดเจน
บางคนแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมแต่การป่วยเป็นโรคทางจิตเวชทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกได้เหมือนกันเนื่องจากสมองมีการทำงานผิดปกติ ทำให้มีวิธีการคิดตีความสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางลบ เช่น คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (Depression) จะมองตัวเองว่าไร้ค่า สมควรถูกดูถูก พอไปเข้าสังคมจะแยกตัวออกมาเพราะคิดว่าคนอื่นจะรังเกียจตัวเอง, โรควิตกกังวลกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder) คิดว่าตัวเองมีอะไรแปลก กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิด ทำให้คนอื่นมองตัวเองไม่ดี เลยหลีกเลี่ยงไม่เข้าสังคม
ความรู้สึกแปลกแยกกับโรคทางจิตเวชมีความสัมพันธ์กัน คือ คนที่รู้สึกแย่จากการแปลกแยกถ้าเป็นมากๆ อาจทำให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชได้ หรือในทางตรงข้ามโรคทางจิตเวชทำให้มีอาการรู้สึกแปลกแยกได้ ดังนั้นความรู้สึกแปลกแยกเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กแต่จริงๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่แก้ไขเรื่องอาจบานปลายได้
@ วิธีการช่วยเหลือ
- สิ่งแรกที่สำคัญ คือ ต้องหาสาเหตุที่ทำให้รู้สึกแปลกแยกเพื่อที่จะไปแก้ที่ต้นเหตุ เช่น ย้ายไปที่ทำงานใหม่แล้วยังไม่รู้จักวัฒนธรรมองค์กร วิธีการแก้ คือ การคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เรารู้สึกโอเคด้วยเพื่อเรียนรู้ข้อมูลที่จะนำไปปรับใช้ให้กลมกลืนกับสมาชิกคนอื่น
- หาคนที่ไว้ใจเพื่อพูดคุยระบายหรือปรึกษา
- พยายามหากิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับคนอื่นในสังคมนั้นเพื่อเป็นการเชื่อมโยงกัน เช่น การเล่นกีฬา, จิตอาสา
- เปิดใจ ยอมรับความแตกต่าง ให้เวลากับตัวเองในการปรับตัว
- ปรับความคิดของเราเองว่าถ้าเราได้พยายามทำทุกอย่างในการปรับตัวแล้ว แต่คนในสังคมนั้นยังไม่ยอมรับก็ต้องทำใจ เพราะปัจจัยจากคนอื่นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้นึกถึงว่าเราได้รับการยอมรับในสังคมไหนบ้าง เช่น เรายังมีคนในครอบครัวที่รักเรา, เรายังมีเพื่อนที่โรงเรียนเก่าที่สนิทกันอยู่
- หากอาการเป็นมากจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์, นักจิตวิทยา
บางคนที่คิดว่าต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่ลึกๆ แล้วเขาอาจยังไม่เจอที่ๆ ทำให้รู้สึกว่าเขาเหมาะกับที่นั้น ความรู้สึกแปลกแยกเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่งที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเยียวยา วันนี้คุณเจอที่ๆ เป็นของคุณแล้วหรือยัง?
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– เจ้าหญิงคางุยะผู้มาจากดวงจันทร์ และเส้นทางที่เธอเลือกเดิน
– Be With You: ใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะเราไม่สามารถย้อนเวลาได้
– เทศกาลหิมะซัปโปโรกับความรักที่รอวันละลาย
– “ฮารุกิ มุราคามิ” ผู้แปรเปลี่ยนความเหงาให้เราจับต้องได้
– ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 : ทนในสิ่งที่ยากจะทนให้พ้นผ่าน
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#“ไกจิน: ความเป็นอื่นเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา?”