Kurasushi ต่างจากร้านซูชิแบบดั้งเดิมมากมาย เพราะมีการใช้หุ่นยนต์ในการทำงานบางอย่าง ซึ่งได้เปรียบกว่าการใช้แรงงานคนที่แพงกว่า และเอาแน่เอานอนไม่ได้
เมื่อพูดถึงอาหารญี่ปุ่น ซูชิถือได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ที่คนจะนึกถึงเลยนะคะ
Kunihiko Tanaka มาจากครอบครัวที่ค้าขายสินค้าในตลาด เขาเองไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนหนังสือ จึงเข้าทำงานบริษัทขายน้ำส้มสายชูให้กับร้านซูชิตั้งแต่จบวิทยาลัย และก็มองเห็นโอกาสทางการค้าที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปเลย
ในช่วงปี 1970 ทานากะเห็นว่าธุรกิจร้านซูชินั้นบูมมากๆ แต่การจัดการร้านส่วนใหญ่กลับห่วยแตก เช่น พ่อครัวไม่ได้ควบคุมคุณภาพของซูชิ เขาเองเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการกินปลาหมึกดิบที่ร้านซูชิแห่งหนึ่งทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เพราะปลาหมึกแบบนั้นต้องกินแบบทอดเท่านั้น
นอกจากนี้ร้านโดยมากยังไม่มีมาตรฐานในการเก็บค่าอาหาร คิดราคาถูกกับลูกค้าบางคน คิดแพงกับลูกค้าอีกคน และราคาซูชิโดยทั่วไปก็แพงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับประทานได้ ยกเว้นในโอกาสพิเศษจริงๆ
ทานากะเลยเปิดร้านซูชิของตัวเองในปี 1977 โดยยืมเงินมา 3 ล้านเยนด้วยความมุ่งมั่นว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการซูชิ
ทานากะดำเนินกิจการเรื่อยมาจนกลายเป็น Kura Corporation ในปี 1995 บริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อทำให้ซูชิกลายเป็นอาหารที่ใครๆ ก็กินได้
ปัจจุบัน Kurasushi กลายเป็นภัตตาคารซูชิแบบสายพานที่ใหญ่อันดับ 2 รองจาก Sushiro Global Holding Ltd. และได้รับส่วนแบ่งตลาดมากถึง 26% และมียอดขายถึง 130 พันล้านเยน โดยมีสาขามากมาย 420 แห่งในญี่ปุ่น 19 แห่งในสหรัฐอเมริกา และ 15 แห่งในไต้หวัน
Kurasushi ต่างจากร้านซูชิแบบดั้งเดิมมากมาย เพราะมีการใช้หุ่นยนต์ในการทำงานบางอย่าง ซึ่งได้เปรียบกว่าการใช้แรงงานคนที่แพงกว่า และเอาแน่เอานอนไม่ได้ และการเสิร์ฟที่รวดเร็วบนสายพานสู่มือลูกค้า นอกจากนี้เจ้าของยังบอกว่าเขาไม่ใช้วัตถุเติมแต่งอาหารและสารกันบูดใดๆ ซึ่งโดยปกติสารพวกนี้จะมากับน้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว และวาซาบิ ทางร้านจึงสั่งทำซอสปรุงรสแบบปลอดสารขึ้นเอง เพราะทานากะบอกว่า เขาเองก็กินซูชิที่ร้านตัวเองอยู่บ่อยๆ
จุดสำคัญคือราคาซูชิที่ร้าน Kurasushi ถูกมาก เริ่มต้นเพียง 108 เยน และราคาก็ไม่ค่อยปรับมากว่า 3 ทศวรรษแล้ว ถึงแม้คู่แข่งจะขึ้นราคาไปไหนต่อไหน
ทานากะบอกว่า เขาตั้งใจจะขายราคาเดิมโดยไปลดต้นทุนส่วนอื่นๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้าช่วยเช่น การทำความสะอาดจานอัตโนมัติ ลูกค้าจะนำจานที่ทานเสร็จแล้วหย่อนใส่ช่องในโต๊ะ และจานเหล่านั้นก็จะเคลื่อนมาสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ และก็จะคำนวณราคาออกมาเป็นใบเสร็จของลูกค้า ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานในร้านเยอะ
ร้าน Kura ยังเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ที่จดทะเบียนถึง 31 สิทธิบัตร โดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า Sendo-kun หรือ Mr. Fresh คือฝาครอบใสๆ ที่ปิดบนจานซูชิ และฝาครอบจะเปิดอัตโนมัติเมื่อยกจานซูชิขึ้นเล็กน้อย ทำให้ลูกค้าและพ่อครัวไม่ต้องแตะฝาครอบ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเชื้อโรคเข้าไป และฝาครอบยังฝังชิปที่สามารถบันทึกว่าจานๆ นั้นหมุนวนไปกี่รอบแล้ว
ความตั้งใจของทานากะคือ ไม่ได้หวังจะเติบโตในประเทศอีกมากนักเพราะตลาดไม่น่าจะเฟื่องฟูไปกว่านี้เท่าใด เขามองที่จะไปเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดต่างประเทศมากกว่า โดยหวังจะเปิดสัก 10 ร้านต่อปีในไต้หวันและสหรัฐอเมริกา เขาอยากเปิดร้านในยุโรป และอยากนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกาด้วย
จะเห็นได้ว่าทานากะ เดินทางมาไกลมากนับจากวันที่เขาเป็นเซลล์แมนขายน้ำส้มสายชู เพราะปัจจุบันครอบครัวของเขามีมูลค่าหุ้นสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ แต่เขาก็ยังอยากไปต่อ
มีคนถามเขาว่า “คุณคิดว่าคุณทำความฝันให้เป็นจริงแล้วหรือยัง”
แต่ทานากะกลับตอบว่า “การแสดงที่แท้จริงกำลังเริ่มขึ้น”
ติดตามอ่านเรื่องราวการทำธุรกิจด้วยใจรักจนประสบความสำเร็จได้ในหนังสือ “Japan Success ธุรกิจสำเร็จได้ด้วยใจรัก” และ หนังสือจิตวิทยาความรักความสัมพันธ์ “เมื่อจิตวิทยา ทำให้คนรักกัน” สามารถพูดคุยสื่อสารกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– ผู้หญิงญี่ปุ่นในที่ทำงาน
– กฎแห่งกระจก
– สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่น
– เหตุใดวัยรุ่นญี่ปุ่นถึงไม่มีความสุข
– Kongo Gumi บริษัทเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการได้นานถึง 1,428 ปี
– การตายอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายของคนแก่ญี่ปุ่น
ที่มา Japan Times