ผมได้มีโอกาสรู้จักกับนักมวยปล้ำสายโหดแบบนี้อย่างเป็นการส่วนตัวหลายต่อหลายคนมากขึ้น และได้แง่มุมได้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปล้ำ Deathmatch เพิ่มขึ้น จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้แฟน ๆ ของ Marumura ได้รู้จักกับมวยปล้ำสายโหด ๆ กัน อนึ่ง บทความนี้จะมีภาพประกอบที่ค่อนข้างรุนแรง (มาก) อยู่ด้วย การกดปิดตอนนี้ยังทันนะครับ แต่หากอยากลองอ่านดู ก็เชิญเลย!
จริง ๆ ในอดีตผมเคยเขียนเรื่อง “แมตช์แห่งความตาย” มาแล้วครั้งหนึ่งครับ แต่คราวนี้ผมอยากจะมาลงรายละเอียดมากขึ้น เนื่องจากผมได้มีโอกาสรู้จักกับนักมวยปล้ำสายโหดแบบนี้อย่างเป็นการส่วนตัวหลายต่อหลายคนมากขึ้น และได้แง่มุมได้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปล้ำ Deathmatch เพิ่มขึ้น จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้แฟน ๆ ของ Marumura ได้รู้จักกับมวยปล้ำสายโหด ๆ กัน
อนึ่ง บทความนี้จะมีภาพประกอบที่ค่อนข้างรุนแรง (มาก) อยู่ด้วย การกดปิดตอนนี้ยังทันนะครับ แต่หากอยากลองอ่านดู ก็เชิญเลย!
ถามว่า Deathmatch เริ่มต้นจากที่ไหน? คำตอบอันนี้ไม่มีใครสามารถหาได้อย่างชัดเจนครับ แต่ว่ากันว่าแมตช์มวยปล้ำพวกนี้ก็เริ่มต้นกันมาโดยไม่ตั้งใจ ในรูปแบบของ “แมตช์มวยปล้ำที่ใช้อาวุธประกอบ” นั่นเอง ซึ่งสมัยก่อนนั้น (ช่วงยุค 70 เป็นต้นมา) ประเทศที่เด่น ๆ ในการปล้ำอาวุธ ก็จะเป็นประเทศในแถบเปอร์โตริโกครับ แต่เดิมนั้นก็เป็นแมตช์ประกอบอาวุธธรรมดา แต่ก็ได้รับความนิยมเพียงระดับหนึ่ง จนกระทั่งเริ่มมีการ “กรีดเลือด” (ซึ่งถือเป็นวิธีปกติของมวยปล้ำนะครับ เวลาให้เลือดออกที่หน้า จะเอาใบมีดกรีดหน้าผาก) ก็ทำให้มวยปล้ำสายโหดเริ่มได้รับความนิยมขึ้นอย่างแพร่หลาย จึงมีการหาทางใช้ “เลือด” เป็นคำตอบมากยิ่งขึ้น
ภาพด้านบนนี้คือนักมวยปล้ำที่ชื่อว่า Abdullah The Butcher ซึ่งเป็นนักมวยปล้ำสายโหดที่โด่งดังและอื้อฉาวที่สุดคนหนึ่งของโลก อาวุธชื่อดังของเขาคือ “ส้อม” แต่เขาไม่ได้เอามาจิ้มอาหารนะครับ เขาเอามาจิ้มหัวคู่ต่อสู้ !!! และก็จิ้มกันจริง ๆ เสียด้วย (แน่นอนว่าต้องมีการกรีดเลือดช่วยบ้าง แต่ก็มีบางจังหวะที่เราจะเห็นการเอาส้อมจิ้มไปตรงแผลนั่นอีก)
และถ้าเรามองที่ภาพขวาจะเห็นว่าหัวของตัว Abdullah เองจะเป็นรอยบาก นั่นก็ได้รับการยืนยันมาแล้วว่าเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการใช้มีดโกนกรีดผิวหัวตัวเองมากเกินไปนั่นเอง พอกำลังจะฟื้นตัวก็เลือดไหลอีก เป็นงี้วนไปเรื่อย ๆ หลายสิบปี ทำให้สภาพผิวทนไม่ไหวกลายเป็นแบบนี้ในที่สุด
จากนั้นมามวยปล้ำ Deathmatch ก็พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ในบริบทว่า
– ทางเลือกสำหรับแฟนมวยปล้ำที่เบื่อมวยปล้ำแบบเดิม ๆ
ต้องยอมรับว่าวงการมวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นแต่เดิมเป็นวงการที่ค่อนข้าง Conservative อยู่พอสมควร และจะมี Pride อะไรบางอย่างที่เน้นว่าพวกเขาควรจะสู้กันแบบมือเปล่าบนสังเวียนที่ปราศจากการฉ้อโกงหรือพึ่งพาอาวุธ แต่แน่นอนในขณะที่วงการมวยปล้ำเติบโตขึ้นและมีสมาคมมวยปล้ำเกิดขึ้นมากมาย ทุกสมาคมกับมีสไตล์ที่คล้ายคลึงกันหมด ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือการเอาอาวุธ และเลือดออกมาให้เป็น Ultraviolence (ป่าเถื่อนถึงที่สุด) เพราะอย่าลืมว่านอกจากแฟนมวยปล้ำที่อยากศึกษาศิลปะการต่อสู้แล้ว ก็ยังมีแฟนมวยปล้ำอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูมวยปล้ำเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ เพื่อความสะใจ ดังนั้นมวยปล้ำแบบนี้ทำให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างถึงแก่น
– ทางเลือกสำหรับนักมวยปล้ำที่ไร้อนาคต
เมื่อวงการมวยปล้ำเติบโต คนที่สนใจจะเป็นนักมวยปล้ำก็เพิ่มจำนวนขึ้นด้วย ดังนั้นอะไรล่ะที่จะทำให้เราได้งานเยอะ ๆ ? อะไรล่ะที่จะทำให้คนพูดถึงเราอย่างมากด้วยการแข่งขันเพียงครั้งเดียว? Ultra Violence คือคำตอบ กล่าวคือเมื่อคนปล้ำแมตช์โหด ๆ กันเยอะ มันก็อาจจะเกิดความรู้สึกปกติธรรมดา ดังนั้นก็ต้องหาอะไรที่โหดขึ้นอีก แรงขึ้นอีก
ดังนั้นลองคิดดูนะครับว่า “มากขึ้นอีก” ไล่มาตั้งแต่วันแรกที่เรามีมวยปล้ำแบบนี้ มันจะอัพเกรดสูงขึ้นไปขนาดไหน? ภาพด้านบนคือ Megumi Kudo นักมวยปล้ำสาวหน้าตาดี ที่ฝีมือการปล้ำปกติไม่ได้ขี้เหร่อะไรแต่อาจไม่ดึงดูดมากนัก แต่พอเธอมาปล้ำแมตช์โหด ๆ เช่นโดนไฟเผา (แน่นอนก็แลกมากับร่างกายที่เสียหาย) แต่มันก็ทำให้เธอได้รับความนิยมมากขึ้น ได้งานมากขึ้น ซึ่งพอคนหันมาสนใจเธอแล้ว เธออาจจะเลิกปล้ำสไตล์นี้ไปเลยก็ได้ เพราะต่อให้เธอกลับไปปล้ำสไตล์ปกติ คนก็รู้จักเธอมากขึ้นไปแล้ว และมันก็จะส่งผลดีกับอาชีพการงานเธอ
ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่ามวยปล้ำสายโหด บางทีก็มีไว้เพื่อเรียกความสนใจและสร้างความดึงดูดให้กับการเป็นนักมวยปล้ำของตนเอง
ถามว่าคุ้มค่ากันไหม? สำหรับคนที่ดูแล้วเราอาจจะมองว่าไม่คุ้ม แต่กับนักมวยปล้ำสายนี้ เขาก็มองว่ามันเป็นความสุขของเขาจริง ๆ ครับ บางทีเขาอาจจะเจ็บจนเคยชิน? ผมเองก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้เหมือนกัน เพราะคนที่ผมรู้จักหลายคน ยืนคุยกับผมทั้งๆที่เลือดยังไหลอยู่ที่แขน แต่ก็มีท่าทางปกติธรรมดา วันรุ่งขึ้นตอนเช้า แผลที่แตกก็เริ่มจะหายดี แต่ตอนเย็น แกก็ไปปล้ำแบบเดิมและแขนก็เละอีกครั้ง วนไปแบบนี้เรื่อย ๆ
ทีนี้ที่ไม่คุ้มค่าคืออะไร? ที่ว่าไม่คุ้มค่าก็คือบางทีมันก็ใช้อาวุธเพื่อสร้างกระแสกันเกินไป ยิ่งยุคสมัยที่สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดียได้รับความนิยมแบบนี้ ต่างคนก็ยิ่งอยากหาอะไรมาให้เป็น Viral
ภาพด้านบนคือหลังของ Jun Kasai นักมวยปล้ำ Deathmatch ชื่อดังครับ เขาขึ้นปล้ำถี่มาก จนได้ชื่อว่าเป็นนักมวยปล้ำสายโหดที่ดังที่สุดของโลก หลังของเขาแทบไม่เหลือพื้นที่ที่เป็นปกติเลยครับ เพราะอย่าลืมว่านักมวยปล้ำหลังจากปล้ำเสร็จแล้วจะมีแผล จะบาดเจ็บแค่ไหนก็ต้องออกกำลัง และก็กินโปรตีน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ดังนั้นกล้ามเนื้อใหม่ที่สร้างมามันก็จะทำให้ร่างกายเป็นตะปุ่มตะป่ำแบบนี้ นี่คือสิ่งที่นักมวยปล้ำ Deathmatch ต้องยอมเสี่ยงครับ
จากภาพด้านบน คือนักมวยปล้ำเอาหมุดติดกระดาษ โรยใส่ตัวเอง เพื่อความสะใจในอารมณ์ ซึ่งแน่นอนว่าในแมตช์ก็จะต้องมีใครสักคนโดนจับฟาดจนหมุดติดเต็มร่างกายแน่นอนครับ อย่างไรก็ตามจากที่ผมทราบมา นักมวยปล้ำบางคนก็มีความชอบที่จะบาดเจ็บจริง ๆ และถ้าเขาไปหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บในที่อื่นนอกเหนือจากการเป็นนักมวยปล้ำ ก็จะไม่ดีครับ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามาทำในมวยปล้ำตัวเขาเองก็จะได้ระบาย เป็นความสะใจส่วนตัวของนักมวยปล้ำเหมือนกัน
ทีนี้หากมองมวยปล้ำในรูปแบบนี้ว่าเป็นของเถื่อน ผมว่ามันก็ออกจะไม่แฟร์ไปหน่อยครับ เพราะนักมวยปล้ำสายนี้ก็คือนักกีฬาที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน อย่างเช่นเขาต้องเข้าหาลวดหนามอย่างไร ต้องเหวี่ยงแขนอย่างไรให้มันบาดเยอะที่สุดแต่บาดเจ็บน้อยที่สุดและในขณะเดียวกันก็ให้เลือดไหลมากที่สุด เป็นต้น ทั้งหมดเป็นศิลปะที่แม้อาจจะดูดิบเถื่อนไปบ้าง แต่ก็มีกลุ่มคนที่เต็มใจและรักมัน ทั้งตัวนักมวยปล้ำเองรวมถึงคนดู
วงการมวยปล้ำยังมีอะไรน่ากลัว ๆ อีกมาก และ Deathmatch, Ultra Violence ก็เป็นหนึ่งในนั้น และดูจะได้รับความนิยมซะด้วยครับ
เรื่องแนะนำ :
– The เป็นนักมวยปล้ำญี่ปุ่นต้องทำอะไรบ้าง?
– ว่าด้วยเรื่องของคอสตูมนักมวยปล้ำญี่ปุ่น
– ความน่ากลัวของแฟนมวยปล้ำ
– ความยากลำบากของการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ
– Kansui Park สวนสาธารณะที่ควรไปสักครั้ง