“โตเกียวโอลิมปิก 1964: ฟื้นคืนจากความสิ้นหวังไปสู่แสงอันเจิดจ้า”
การจัดโตเกียวโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 เป็นการจัดโอลิมปิกครั้งที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น การจัดครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1964 หากฟังเผิน ๆ คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าศักยภาพระดับญี่ปุ่น แค่จัดกีฬาโอลิมปิกไม่น่าจะเป็นเรื่องยากจนเกินไป เพราะมีทั้งเงินทุน ความพร้อมในทุกด้าน น้อยคนที่จะรู้ว่ากว่าที่ประเทศญี่ปุ่นจะได้จัดโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 1964 ญี่ปุ่นต้องพยายามอย่างมากในการดึงตัวเองให้โผล่พ้นจากเศษซากของสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลได้เปลี่ยนความส้ินหวังของประชาชน ให้เกิดความหวังใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นไปตลอดกาล
ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 “จักรวรรดิญี่ปุ่น” ต้องการมีบทบาทในเวทีโลก ในที่ประชุมสภาโอลิมปิกสากล (IOC) ปี 1936 ญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดทั้งกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนและฤดูหนาวในปีเดียวกัน ซึ่งได้รับเลือกให้จัดในปี 1940 แต่เนื่องจากจักรวรรดิญี่ปุ่นมุ่งเน้นไปที่การก่อสงคราม ในปี 1938 คณะกรรมการจัดการแข่งขันของญี่ปุ่นแจ้งขอถอนตัวในการเป็นเจ้าภาพ
หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และผลจากการรุกรานสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับประเทศอื่น ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามายึดครองญี่ปุ่น มีบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามาช่วยฟื้นฟูเรื่องวางโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้มีการปฏิรูปหลายด้าน เช่น กระจายอำนาจการปกครองให้กับประชาชน, จัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อการกระจายรายได้, ปฎิรูปการศึกษาให้เท่าทันโลกสมัยใหม่ อีกไม่นานญี่ปุ่นสามารถฟื้นตัวและอยู่ได้ด้วยตัวเอง สหรัฐฯเลยถอนกำลังการดูแลไปในปี 1951
หลังจากได้รับเอกราชรัฐบาลญี่ปุ่นขอเป็นผู้จัดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1960 ทันที แต่เนื่องจากยังขาดความพร้อมอีกหลายด้าน ทำให้ยังไม่ได้รับเลือก แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้และพยายามที่จะพัฒนาประเทศเพื่อให้ได้รับเลือกในการจัดโอลิมปิก สุดท้ายญี่ปุ่นได้รับการโหวตให้จัดโอลิมปิกในปี 1964 เป็นประเทศในทวีปเอเซียประเทศแรกที่ได้รับเกียรติให้จัดงานระดับโลก
ในช่วงแรกของการฟื้นฟูโตเกียวที่เหลือแต่เศษซากจากสงคราม ความเป็นอยู่แออัด มีมลพิษจากโรงงานและขยะทั่วทั้งเมือง คุณภาพชีวิตประชาชนแย่มาก แต่เมื่อต้องเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกรัฐบาลทุ่มเงินมหาศาลในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ปรับพฤติกรรมคนในเมืองให้มีความเป็นอยู่ที่ถูกสุขลักษณะ มีสาธารณูปโภคทันสมัยทั้งรถไฟฟ้า/รถใต้ดิน/สนามบิน/รถไฟชิงคันเซ็น (เป็นรถไฟที่เร็วที่สุดในโลกในตอนนั้น) และยังมีเทคโนโลยีอีกหลายอย่างที่ล้ำสมัย เช่น นาฬิกาจับเวลา”ไซโก้” (Seiko), การเก็บสถิติด้วยคอมพิวเตอร์, ถ่ายทอดสดการแข่งกีฬาไปทั่วโลกเป็นภาพสีผ่านดาวเทียม
ส่วนด้านนักกีฬาญี่ปุ่นพัฒนาความสามารถให้กับนักกีฬาด้วยวิธีแบบใหม่ จนได้เหรียญทองมากถึง 16 เหรียญ ได้เป็นเป็นอันดับ 3 ในครั้งนั้น
หากเราเป็นคนญี่ปุ่นที่ต้องอยู่อย่างผู้แพ้ ไร้ความหวัง เราจะจัดการกับ “ความสิ้นหวัง” อย่างไร เพื่อให้มีความหวังและพลังที่จะกลับมาต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
>> หวังอย่างไรในวันที่แทบไม่มีหวัง
@ ทำความเข้าใจเรื่องความสิ้นหวัง
_ ทำใจยอมรับว่าเรากำลัง “รู้สึกสิ้นหวัง”
_ คนที่รู้สึกสิ้นหวังจะมองไม่เห็นอนาคต, คิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจในการจัดการอะไร (Powerlessness), ไม่มีใครช่วยได้ (Helplessness), ความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ดี (Low self esteem)
_ คนที่ตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังเป็นระยะเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า (Depression), โรควิตกกังวล (Anxiety)
@ ค้นหาที่มาของความสิ้นหวัง
_ ความรู้สึกสิ้นหวังอาจเป็นภาวะชั่วคราวที่เกิดจากเหตุความเครียดภายนอกที่เข้ามา (stressor) เช่น ตกงาน, มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น, การเจ็บป่วยทางกาย, ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม, คับข้องใจกับระบบบริหารของผู้มีอำนาจ
_ หากปัญหาได้รับการแก้ไขหรือรู้แนวทางว่าจะจัดการอย่างไรหรือทำใจได้ ความรู้สึกจะค่อยๆดีขึ้น
_ ต้องยอมรับว่าความเครียดต่างๆที่มาจากปัจจัยที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าไปจัดการได้มากเท่าไรนัก สิ่งที่ทำได้ คือ พยายามจัดการปัญหาด้วยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนั้น เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง
_ หากรู้สึกสิ้นหวังเป็นเกือบตลอดเวลา เป็นติดกันหลายวัน อาจเกิดจากการป่วยทางด้านจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า (Depression), โรควิตกกังวล (Anxiety), โรคเครียดหลังจากเจอเรื่องร้ายแรง (PTSD) แนะนำให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและการรักษา เช่น จิตแพทย์, นักจิตวิทยา
@ หาสิ่งที่ทำให้มีความสุข
_ “ความสุขของเราคืออะไร” แต่ละคนมีนิยามแตกต่างกัน
_ หากเรานำความสุขไปผูกกับปัจจัยภายนอก เช่น “ความสุข=การได้เลื่อนตำแหน่ง”, “ความสุข=แฟนมาดูแลใกล้ชิด” ซึ่งปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถไปควบคุมได้ มีโอกาสที่เราจะผิดหวังได้มาก
_ เปลี่ยนเป้าหมายของความสุขเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้จริงและควบคุมได้ ความสุขไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่ แค่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันก็สามารถทำให้รู้สึกดีได้ เช่น “ความสุข=อ่านหนังสือที่ดองไว้จบได้ 5 ตอน”
@ ตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ทำได้จริง
_ คนที่สิ้นหวังจะมีความคิดว่า “ฉันไม่สามารถจัดการหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้” ดังนั้นต้องตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ยากเกินไป เช่น “ปรับเวลานอนจากตี 2 มาเป็นเที่ยงคืน”
_ เมื่อเราทำได้สำเร็จ สมองของเราจะเกิดการเรียนรู้ใหม่ว่า “เรามีเรื่องที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้”
_ หากตั้งเป้าไว้แล้วยังทำไม่ได้ ลองลดเป้าหมายลงมา วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้ทำไม่ได้ แล้วปรับเปลี่ยนวิธีการดู การที่ทำครั้งแรกแล้วไม่สำเร็จไม่ได้หมายความครั้งต่อไปจะทำไม่ได้
@ มีสติใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
_ เราไม่สามารถห้ามความคิดได้ แต่เราฝึกให้รู้ทันมันได้ด้วยการใช้สติ (mindfulness)
_ จดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ทำอยู่ ถ้าเผลอคิดไปถึงเรื่องในอดีตหรือกังวลไปถึงเรื่องในอนาคตก็ไม่เป็นไร ให้เรารู้ตัวแล้วดึงตัวเองกลับมา
@ หากลุ่มคนที่สามารถให้กำลังใจเราได้ (social suport)
_ ให้ลิสต์รายชื่อคนที่เราคุยด้วยแล้วรู้สึกดี ช้วยเยียวยาเราได้ เวลาที่เรารู้สึกแย่จะได้คุยกับคนนั้น
@ จัดตารางทำกิจกรรม
_ อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง เพราะจะยิ่งไปคิดเรื่องแย่ๆที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ดังนั้นจัดตารางเพื่อที่เราจะได้มีเป้าหมายที่จะทำ
@ ดูแลสุขภาพให้ดี
_ กินอาหารที่มีประโยชน์
_ ปรับการนอนให้เป็นการนอนที่มีคุณภาพ (good sleep hygiene)
@ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดหรือมีพฤติกรรมที่จะทำให้ชีวิตยิ่งแย่
_ บางคนที่รู้สึกแย่ สิ้นหวัง อาจจะกินเหล้า, สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่นๆเพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว (self medication) แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นผลลัพธ์แย่ ๆ ตามมา
มีหนังญี่ปุ่นชื่อ “Always” เป็นหนังที่ดีงามมาก เนื้อหาเล่าเรื่องชีวิตของคนหลายคนในปี 1964 ที่โตเกียวโอลิมปิกจุดประกายเรื่องความฝัน ความหวัง แนะนำให้ดูกันค่ะ
สถานการณ์โควิดในตอนนี้ดูแย่มากจริงๆ หากเรารู้สิ้นหวังไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่เรารู้สึกสิ้นหวัง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องตกอยู่ในสภาวะนั้นตลอดไป หากเราลองมองหาเป้าหมายหรือความหวังใหม่ที่ทำได้จริง เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “การตัดสินใจจัดพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก: หยุดแค่นี้หรือไปต่อดี”
– “ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ”
– “สูญสิ้นความเป็นคน: รอยยิ้มที่กลบเสียงร่ำไห้”
– “ภัยพิบัติ x PTSD: ญี่ปุ่นรับมือกันอย่างไร”
– “ทานาบาตะ: แม้รักแค่ไหนแต่ไม่สามารถอยู่เคียงกันได้”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#โตเกียวโอลิมปิก 1964: ฟื้นคืนจากความสิ้นหวังไปสู่แสงอันเจิดจ้า