ผมเคยบอกไปว่าพิธีหรือรายละเอียดในการร่วมงานกับคนญี่ปุ่นนั้นมีมาก และคนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ไม่ได้สนเพียงเม็ดเงินเป็นหลัก ดังนั้นผมจึงอยากนำเสนอเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง ที่น่าจะช่วยให้การทำงานกับคนญี่ปุ่นดีขึ้นครับ
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ ค่อนข้างหนักสำหรับผมครับ ส่วนหนึ่งเลยคือการที่ต้องรับแขกญี่ปุ่นหลายต่อหลายราย (ซึ่งบางส่วนไม่เคยเจอมาก่อน)
อย่างที่ผมเคยบอกไปว่า พิธีหรือรายละเอียดในการร่วมงานกับคนญี่ปุ่นนั้นมีมาก และคนญี่ปุ่นเป็นชาติที่ไม่ได้สนเพียงเม็ดเงินเป็นหลัก กลับกันพวกเขาสนใจใน “ความสัมพันธ์ระยะยาว” ตลอดจน “ความเชื่อใจ” ในการทำงานมากกว่า ดังนั้นหน้าที่ของเรามีอย่างเดียวคือการสร้างมิตรภาพความประทับใจให้ได้ตลอด ระยะเวลาในการร่วมงานกัน ดังนั้นผมจึงอยากนำเสนอเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง ที่น่าจะช่วยให้การทำงานกับคนญี่ปุ่นดีขึ้นครับ
![เกร็ดเล็กน้อยเมื่อทำงานกับคนญี่ปุ่น](https://www.marumura.com/wp-content/uploads/2015/09/1-2.png)
[ad id=”61″]
1. อย่าเงียบหาย
กรณีนี้หมายถึงว่าเราต้องพยายามติดต่อสื่อสารกับเขาตลอดเวลาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อให่เห็นว่าเราใส่ใจนะ ถามสารทุกข์สุขดิบต่างๆ ก็ได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นแรกๆ ในการสร้างความประทับใจเลยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญในประเทศของเขา เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ หากเราเป็นคนแรกที่เขัาไปสอบถาม มันจะดีมากเลยล่ะครับ
เรื่องต่อมาที่สำคัญมากคือ “การตอบอีเมลล์” คนไทยหลายๆ คนมักจะคิดว่า “จะตอบเมื่อมีข้อมูลจะตอบ” ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร โดยเฉพาะหากเป็นข้อมูลที่ต้องใช้เวลาตรวจสอบนาน เป็นต้น เหตุนี้นำไปสู่การที่ผู้ถามต้องรอคำตอบและเจอความเงียบจากเราเป็นเวลานาน ในฐานะคนญี่ปุ่นมันเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดและบั่นทอนความเชื่อมั่นในการ ทำงานเป็นอย่างสูง (และแน่นอนว่าคนญี่ปุ่นหลายคนมักไม่ชอบที่จะทวง ดังนั้นมันจะกลายเป็นสุญญากาศในที่สุด)
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำคือ อย่างน้อยต้องคอนเฟิร์มเขาว่าคุณได้รับอีเมลล์แล้ว และอาจแจ้งไปเป็นกรณีๆ ว่า “ข้อมูลนี้อาจต้องใช้เวลานานในการค้นหา เราจะอัพเดทเป็นระยะนะครับ/ค่ะ” และจากนั้นก็คอยอัพเดทไปไม่ว่าจะได้คำตอบหรือยังก็เถอะ เขาจะได้เห็นว่าเราไม่ได้ตอบเมลล์แบบขอไปทีครับ
![](https://www.marumura.com/wp-content/uploads/2015/09/2-2.png)
2. การเตรียมข้อมูลและทำฝั่งเราเองให้พร้อม
ในทุกๆ การเดินทางมาเยือน หรือทำงานร่วมกับผู้อื่น คนญี่ปุ่นมักส่วแผนงานหรือรายละเอียดของเขามาให้เราเป็นเวลาหลายเดือน (โดยส่งมาเฉยๆ ไม่ได้ขออะไรหรอก) แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือศึกษาตรงนั้นให้ละเอียดที่สุด รวมไปถึง side story ต่างๆ ของประเด็นนั้น
ยกตัวอย่างสมมติคุณทำงานเรื่องของการ์ตูน ญี่ปุ่น ถ้าคุณมีแต่ข้อมูลของการ์ตูนที่เขาส่งมาเฉยๆ มันก็ดูปกติธรรมดา แต่ถ้าคุณมีข้อมูลไปอีกว่าที่ผ่านมาการ์ตูนแนวนี้ในไทยมีอะไรบ้าง ได้รับความนิยมขนาดไหน และการ์ตูนแนวนี้ที่ยังไม่เคยเข้าไทย เรื่องไหนคนอยากได้มากที่สุด ฯลฯ พวกนี้คือ side story ที่คุณต้องมี คุณต้องทำให้เขารู้สึกว่าคุณเจ๋งที่สุดกับหน้าที่ตรงนี้ (อนึ่งในการคุยงาน ถ้าเขายังไม่ถามก็อย่าไปเยอะใส่เขานะครับ จะกลายเป็นจุ้นจ้านแทน)
การเตรียมข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของ “การนัดหมาย” คุณต้องโคตรมั่นใจเลยว่าการมีตติ้งนั้นจะไม่ถูกยกเลิก ! และหากยกเลิก คุณต้องมีหนทางป้องกันตัวเองหรือให้เขาเห็นว่าเราทำเต็มที่แล้ว ! วิธีการที่คนญี่ปุ่นสอนผมมาคือเราต้องโทร, ส่งอีเมลล์ และ sms ไปคอนเฟิร์มกับเขาในวันก่อนหน้า และให้เบอร์ติดต่อฉุกเฉินไว้สักสามเบอร์ ทีนี้หากเขาทะลึ่ง no show เราก็ยังพอมีอะไรมาแก้ต่างได้บ้างน่ะครับ
นอกจากนี้ในตารางมีตติ้ง เราต้องมีข้อมูลคือ
– ชื่อบริษัท
– ชื่อบุคคล
– อีเมลล์, เบอร์โทรศัพท์
– สถานที่นัดหมาย
– หมายเหตุ (เผื่อเขียนข้อมูลต่างๆเพิ่มไป)
และที่สำคัญคุณควรจะทำ short company profile ของแต่ละบริษัทที่คนญี่ปุ่นจะต้องเข้าพบ คนญี่ปุ่นจะไม่ยอมดูง่อยในสายตาของใครเด็ดขาด เขาจะยินดีหากเขาสามารถนำคนอื่นไปได้ครึ่งก้าว และการที่เขารู้จักบริษัทอื่นๆ ไปก่อน จะทำให้เขารู้สึกดีมาก
นอกจากนี้ในกรณีที่เขาให้คุณเข้าประชุมร่วมกัน คนญี่ปุ่นหลายคนจะเป็น “สายโยน” ยกตัวอย่างสมมติลูกค้าขออะไรบางอย่างที่หัวหน้าผู้น่ารักจากญี่ปุ่นรู้ตัว ว่ากูไม่มีแน่ๆ เขาจะหันมาหาเราด้วยสายตาอันมุ่งมั่นว่า “ข้อมูลนี้เรามีไหมนะ”… ? คืออันนี้กับดักเลยยย เราอย่าทะลึ่งไปตอบว่า “ไม่มีครับ!!!” หรือ “ไม่แน่ใจค่ะ”!!! เด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้หัวหน้าเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเก็บเราไว้ในบริษัทอี กรึเปล่า !? สิ่งที่คุณควรทำคือตอบๆไปว่า “ฉันคิดว่ามีนะ จะส่งไปให้ภายหลังนะครับ” ฯลฯ ทำนองนี้และจดเอาไว้ (แม้จริงๆ เราจะไม่มีข้อมูลไรเลยก็เหอะ) จากนั้นพอเลิกงานก็เป็นหน้าที่เราที่จะไปหาข้อมูลเหล่านั้นและส่งตามไป นี่คือวิธีที่ดีที่ดีที่สุดครับ
![](https://www.marumura.com/wp-content/uploads/2015/09/3-1.png)
3. การเรียกแท็กซี่ไทย
อันนี้จะบอกว่าหากเรียกพวก uber หรืออะไรเทือกนั้นได้ก็เลือกไปเถอะครับ เพราะการร่ำลาของคนญี่ปุ่นนี่สตอรี่เยอะมาก คือถ้าเราทะลึ่งไปเรียกแท็กซี่ข้างทางที่บังเอิญจะต้องไปส่งรถในอีกหนึ่ง ชั่วโมงข้างหน้า อาจเจองานตะโกนด่าจากในรถได้ โดยเฉพาะการเรียกรถให้หลังงานเลี้ยง คนเราก็เมาๆ เนอะ แท็กซี่ก็จอดรอเนอะ คนญี่ปุ่นก็อำลารอบวงเลยเนอะ !!! ดังนั้นหากเรามีความจำเป็นต้องเรียกแท็กซี่ทั่วไปจริงๆ สิ่งที่เราควรทำคือพุ่งไปหาแท็กซี่และบอกเขาไปอย่างจริงใจว่า “กดมิเตอร์รอเลยครับ” (เสียงห้าวหาญ) แต่ถ้าหากแกยังดูหงุดหงิด เราอาจต้องใช้งานเข้าเนื้อครับ แถมให้แกไปสักยี่สิบ+ให้กดมิเตอร์รอ และอธิบายไปตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น วิธีนี้พอจะช้วยลดความตึงเครียดได้บ้างครับ
นี่ก็เป็น 3 ข้อสั้นๆ ที่ผมนำมาฝากกันในสัปดาห์นี้ครับ จริงๆ มีอีกหลายประเด็นที่อยากจะพูดถึง เช่นหัวหน้าญี่ปุ่นที่พยายามพูดไทย (เพื่ออาร๊ายยยยยยยยย) เราจะเข้าใจนางได้ยังไง หรือวิธีเอาใจหัวหน้าที่ซึนมากๆ ไรงี้ (555)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii (สำหรับคนขี้เกียจนับ ตัวไอสิบตัวนะครับ)
สวัสดีครับ ! ^^