วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในที่สุดก็จบเรื่องราวของชีวิตนักเรียนที่ญี่ปุ่น ณ ปี 2006 แล้วนะครับ จบพร้อมกับการจบการศึกษารับปริญญานี่แหละ (ฮา) คราวนี้ก็ขอกลับเข้ามาสู่เรื่องของปรัชญาเซนกับชีวิตประจำวันในการซ้อมบีเจเจ ณ ปี 2021 กันนะครับ
อย่างที่ท่านผู้อ่านคงทราบกันดีว่าวิกฤติโควิดคราวนี้หนักหนาเหลือเกิน ตัวผมเองก็ได้พูดคุยกับ บก. ว่า ในยุคสมัยที่ “ไม่ปลอดภัย” เช่นนี้ เราควรจะนำเอาปรัชญาแนวคิดอย่างนักรบซามูไรมาศึกษาและปรับใช้กับชีวิตในยุคปัจจุบันเพื่อ “หาหนทางเอาตัวให้รอด” ในยุคสมัยที่ไม่มีอะไรที่อยู่ภายนอกตัวเราที่จะเป็นที่พึ่งที่พาได้เลย ได้แต่ต้องทำกายใจของตนให้เข้มแข็งเพื่อที่จะได้รักษาชีวิตตัวเองให้ได้ต่อไป
ก่อนอื่นขอเริ่มด้วยการเล่านิทาน (อีกแล้ว) ก่อน ว่าด้วยเรื่อง “แมวสามตัว” (คัดมาจากหนังสือเล่มเดิมของพระอาจารย์ไทเซน) ดังนี้ครับ
…มีซามูไรอยู่คนหนึ่งซึ่งในบ้านมีหนูตัวแสบ ทำไงก็กำจัดมันไม่ได้เสียที ก็เลยไปหาแมวมาปราบหนู ได้แมวตัวแรกมาเป็นแมวที่แบบร่างกายกำยำล้ำเลิศ กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน แต่หนูดันว่องไวกว่าเลยเล่นปั่นหัวเสียจนแมวตัวนั้นดูโง่ไปเลย ทีนี้ซามูไรก็เลยไปหาแมวตัวใหม่มา เป็นแมวหัวเปรื่องมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่หนูก็ดันฉลาดตั้งการ์ดสูง รู้จังหวะออกมาย่องตอนแมวหลับ แมวเลยจับหนูไม่ได่เสียที ทีนี้ก็เลยมีหลวงพ่อที่จำพรรษาอยู่วัดแถวๆ นั้น เอาแมว (ตัวใหม่) มาให้ซามูไรยืมใช้จับหนู เป็นแมวที่ดูธรรมดาเหลือเกิน ไร้ซึ่งพิษสง วันๆ เอาแต่นอนลูกเดียว ซามูไรบอกว่าแมวตัวนี้ดูไปไม่เห็นมีดีตรงไหน แต่พระท่านว่าโยมเอาไปเถอะๆ ทีนี้พอเจ้าแมวตัวนี้มาอยู่บ้านซามูไรก็เอาแต่นอนอย่างเดียว นอนทั้งวันจนหนูชักย่ามใจ วิ่งปาดมาปาดไปตรงหน้าแมวไม่เกรงกลัว พอมาวันดีคืนดี ขณะที่หนูวิ่งผ่านหน้าแมวไปนั้น แมวก็ตะปบ ป้าบ เข้าให้ ทีเดียวหนูแบนติดพื้นไปเลย…
นิทานเรื่องนี้สอนอะไร?
ท่านที่ได้อ่านตอนที่แล้วคงยังจำกันได้เรื่องความสำคัญของ ใจ เทคนิค กาย (ชิน วาซะ ไต 心技体) นะครับว่า มันต้องมี “ทั้งสามอย่าง” แมวตัวแรกเป็นตัวแทนของคนที่แบบต่อสู้โดยเน้นใช้ร่างกายเป็นหลัก ซึ่งถ้าร่างกายเหนือกว่าคู่ต่อสู้ก็ชนะได้ แต่ถ้าใช้แต่ร่างกายอย่างเดียวจะแพ้ทางคนที่เล่นเทคนิคลูกไม้ เล่นเล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์เอาได้ แมวตัวที่สองเป็นตัวแทนของคนที่ต่อสู้โดยเน้นเทคนิค ลูกไม้ เล่ห์เหลี่ยมกลยุทธ์ ซึ่งก็อาจชนะคนที่ไม่รู้เท่าทันไม่ทันระวังตัวได้ แต่กับคนที่ระวังตัวคอยท่ารู้ว่าต้องรับมือยังไงก็คงจะไม่ได้กินง่ายๆ แมวตัวที่สามเป็นตัวแทนของคนที่ต่อสู้โดยใช้ “จิต” คือไม่ใช่ลูกไม้กลยุทธ์ทางกายภาพ แต่เป็นการเล่นกับจิตวิทยาเล่นกับจิตใจคู่ต่อสู้ ทำให้ตายใจ ขาดการป้องกันตัวเอง แล้วพอเห็นช่องโหว่ปั๊บ ก็ซัดตูมเดียวจบ แต่ก็อย่าลืมว่าการที่จะสามารถซัดตูมเดียวจอดได้เนี่ย มันก็ต้องผ่านการฝึกกายฝึกเทคนิคมาดีแล้วเสียก่อน
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ถึงถึงคำคมยูยิตสูของ Jean Jacques Machado นักบราซิลเลียนยูยิตสูระดับสายดำขั้นเจ็ด ดังนี้ครับ
“The more you know, the less you use. To use less, you need to know more.”
“ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งใช้น้อยเท่านั้น จะใช้ให้น้อย ต้องรู้ให้มาก”
รู้นี่รู้อะไร? รู้เทคนิคท่วงท่า รู้จังหวะของร่างกาย การจัดตำแหน่งร่างกายที่จะทำให้หนีออกจากตำแหน่งเสียเปรียบมาเป็นตำแหน่งได้เปรียบ รู้จิตวิทยาการดักหรือบีบให้คู่ต่อสู้ต้องใช้ไม้นี้ๆ เท่านั้น เพื่อจะให้ใช้ให้น้อยละ ใช้อะไรน้อยลง? ใช้พละกำลังแข็งขืน (Strength) ให้น้อยลง ใช้แรงควาย (Brute force) ให้น้อยลง
ซึ่งการที่เราจะพัฒนาตัวเองให้พ้นจากจุดที่ใช้แต่แรงอย่างเดียว (ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้มีแรงให้ใช้เสียด้วยสิ!) มันก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทุกคนแหละครับ การเป็นสายขาวในบีเจเจก็คือเราเริ่มจากแบบ เราไม่มีอะไรเลย เราไม่รู้อะไรเลย และหลายคนก็เล่นแบบโอ ใช้แรงแข็งขืนมาก เล่นแรงควายมาก ผมเองเจอสายขาวหนุ่มๆ อายุน้อยๆ บางคนสแปริ่งกับผม ผมบอกตรงๆ ผมกลัวพวกนี้มากกว่าสายสูงๆ อีกครับ (ฮา) เพราะการเล่นปะทะกันแบบไม่ใช้เทคนิค ไม่มีเบี่ยง ไม่มีพลิ้ว โอกาสบาดเจ็บหนักๆ มีมากครับ แบบแข้งชนแข้งกันเลย ผมยังเคยโดนส้นเท้าปาดคิ้วแตก โดนหน้าแข้งฟาดต้นคอมาแล้วเลย ซึ่งจากความเป็นสายขาวเริ่มใหม่เลย (คือ ไม่มีแถบ) พอเราเรียนรู้ไปมากๆ ขึ้น เราก็ใช้ท่วงท่ามากขึ้น ใช้แรงปะทะน้อยลงไปเอง
แต่น่าเสียดายที่ว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถอดทนเรียนรู้จนถึงจุดที่การ “รู้มากขึ้น ใช้น้อยลง” จะเป็นที่ประจักษ์แก่ตัวเองได้ บีเจเจเป็นกีฬาต่อสู้ที่แบบว่า ไม่ใช่สายขาวทุกคนจะไปได้ถึงสายน้ำเงิน และไม่ใช่สายน้ำเงินทุกคนจะก้าวต่อไปถึงสายม่วง สายน้ำตาล จนถึงสายดำได้ ฝรั่งตามในเน็ตถึงกับอ้างว่า 90% ของสายขาวนั้นเลิกเรียนกลางคันก่อนจะไปถึงสายน้ำเงิน และมีเพียง 5% ของสายน้ำเงินที่ได้ไปต่อจนถึงสายดำ (ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปเอาตัวเลขมาจากไหน)
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ผมคิดว่า หากตัดสาเหตุเชิงสภาพแวดล้อมออกไป เช่นมีภาระการเรียนการงาน ที่ซ้อมไกลไม่สามารถไปได้บ่อยๆ ฯลฯ สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเลิกเรียนเลิกเล่นบีเจเจกลางคันก็คงจะเป็นปัญหาที่ผมขอเรียกว่า “การจัดการกับ Ego ของตัวเอง” ซึ่งเป็นปัญหาทางใจ
ผมเป็นสายขาวที่มาหัดเล่นตอนแก่แล้ว สี่สิบอัพ ถึงตอนนี้ผมจะเป็นสายขาวสี่แถบ (คือเตรียมขึ้นสายน้ำเงิน) แล้วก็ตาม หลายครั้งที่ผมสแปริ่งกับหนุ่มๆ สายขาวซึ่งหลายคนอายุแค่ครึ่งหนึ่งของผม น้อยครั้งมากที่ผมจะเอาชนะ (ซับมิชชั่น) ได้ และหลายครั้งที่ผมต้อง tap ยอมแพ้ ผมควรจะมีปัญหากับ ego ตัวเองใช่ไหมครับ เช่นรู้สึกว่าตัวเองแม่มโคตรห่วย ซึ่งหลายคนเจอกับความรู้สึกนี้เข้าไปมากๆ พาลไม่อยากเล่นเลยนะครับ แต่ก็นั่นแหละครับถ้าเราใจเย็นพอค่อยๆ แก้จุดอ่อนไปมันก็ยังไปของมันได้เรื่อยๆ เองครับ (คิดว่านะ)
เป็นสายขาวสี่แถบแล้ว อัดเด็กใหม่แม่มเลย 555 (ภาพจาก https://www.facebook.com) ไม่ครับผมไม่มีนิสัยแบบนั้น ผมเป็นสายขาวสี่แถบที่ดี ไม่มีพิษภัย โดนคนอื่นซับมิชชั่นเป็นอาจิณ ครับ 555
วิธีจัดการกับปัญหาเรื่อง ego ของตัวเองที่ผมใช้อยู่ก็คือ “ก็ปล่อยให้มันผ่านไป” เพราะมันก็ไม่เคยเหมือนกันสักวันหรอก บางวันฟอร์มดีสู้กับสายน้ำเงินแบบยังยันกันได้สนุกๆ หรือบางทีก็จัดตัวเองให้อยู่ตำแหน่งได้เปรียบได้ (เช่นใช้ kesa gatame) บางวันก็โคตรห่วยเจอหนุ่มๆ สายขาว side control จนง่อยแล้วก็ escape ออกมาไม่ได้ เราก็แค่รับรู้ในสิ่งที่เราเจอเราทำในวันนั้นๆ แล้วก็ปล่อยมันไป
แนวคิดเช่นนี้มีพื้นฐานละม้ายกับกับการฝึกซาเซน (นั่งฌาน) คือเรานั่งสมาธิตั้งกายตรงดำรงสติมั่น จิตจับที่ลมหายใจเข้าออกของเรา ผ่อนคลายๆ ช้าๆ จะสังเกตได้ว่า ลมหายใจออกนั้น “ยาวนาน” กว่าลมหายใจเข้า หากจะมีความคิดความอะไรผุดขึ้นมาในหัว ก็ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านออกไป ให้ใจของเราเหมือนเงาของพระจันทร์ในสายน้ำ สายน้ำจะไหลก็ให้มันไหลไป เงาของพระจันทร์ยังอยู่ที่เดิม
การที่ผมต้องมาศึกษาเรื่องตรงนี้ เรื่องการจัดการกับ ego ของตัวเอง ก็เพราะเห็นว่าต่อจากนี้ไปมันจะสำคัญมาก (กับการที่ว่าจะประคองตัวเองไปจนถึงสายดำได้ไหม) โดยเฉพาะตอนที่ได้เป็นสายน้ำเงินแล้ว สายน้ำเงินนี่หละที่จะเจอปัญหาเรื่องของ ego หนักสุด เพราะ (ฝรั่งเขาว่า) เมื่อคุณอยู่สายน้ำเงิน สายขาว (ที่ห้าวเป้ง) ก็จะจ้องอัดคุณ (เพื่อโชว์เหนือว่าตูเก่ง อัดสายน้ำเงินได้) ส่วนสายสูงกว่า (ม่วงขึ้นไป) ก็จะไม่ปรานีคุณ (เพราะเขาถือว่าคุณก็รู้อะไรมาบ้างแล้ว ไม่ใช่เด็กใหม่สายขาว) แล้วมันก็จะมีอะไรที่คุณต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ได้เพื่อจะขึ้นไปเป็น “สายม่วง” (ซึ่งในบีเจเจถือว่าเป็น mini black belt คือขั้นที่ความรู้ทางเทคนิคเข้าใกล้สายดำแล้วเพียงแต่ยังต้องขัดเกลาในจุดที่เล็กละเอียด) ซึ่งบางคนก็ชนกำแพงผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ (ฝรั่งจึงมีคำว่า blue belt blues) พอรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้อีกแล้ว ก็ค่อยๆ หมดไฟไปจนเลิกเล่นในที่สุด (อันนี้ฝรั่งเขาว่ามา)
ผมก็หวังว่า วิธีการจัดการกับความคิดของตัวเองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันน่าจะใช้รับมือกับปัญหาเรื่อง blue belt blues ในอนาคตได้ (ละมัง) นั่นแหละครับเราศึกษาปรัชญา คำสอน แนวคิด เพื่อเอามาปรับใช้กับชีวิตให้มีความสำเร็จ อยู่รอดปลอดภัยได้ มันคือวัตถุประสงค์ของการที่ว่าทำไมเราต้องศึกษาสิ่งนี้ เรื่องสายน้ำเงินนั้นผมเองก็อยากเป็นนะครับซึ่งดูแล้วอย่างเร็วคงปลายปีนี้ อย่างช้าก็คงปีหน้า เป็นสายน้ำเงินแล้วใช้ wrist locks คือพวกท่าหักบิดข้อมือ (เหมือนอย่างในไอคิโด) ได้แล้วนะครับไม่ผิดกติกา (ถ้าสายขาวห้ามใช้ครับถือว่า illegal ผิดกติกาครับ) แต่ผมตอนนี้ปัญหาคือเจอพวกสายน้ำเงินในยิมบางคนจัด wrist locks ใส่ผมใหญ่เลยสิครับ มันบอกว่าผมจะขึ้นสายน้ำเงินแล้วหัดโดนไว้ เหตุผลหรือนั่นน่ะ คอยดูนะได้สายน้ำเงินเมื่อไหร่จะแจกความสดใส เอ้ย แจก wrist locks ให้ทั่วเลยคอยดู (จริงๆ แอบใช้ท่านี้กับสายขาวเข้าใหม่บางคนไปแล้วนะ 55 ไม่ๆ ผมเป็นคนดีไม่มีพิษภัย จริงๆ)
วันนี้เอารูปสายมาให้ดู โปรดสังเกตว่ามีคำว่า ชิน วาซะ ไต (心技体) เขียนไว้ด้วย ผมไม่ได้เขียนเองนะ โค้ชเขียนให้ พอดีโค้ช Ryan ของผมสำเร็จการศึกษาจากสำนัก Hong Kong Jiu-Jitsu ซึ่งมีอาจารย์เจ้าสำนักเป็นคนญี่ปุ่นครับ ก็เลยรับเอาธรรมเนียมและแนวคิดอย่างญี่ปุ่นเข้ามาด้วยดังนี้แล
ขอปิดท้ายวันนี้ด้วยการประชาสัมพันธ์นิดนึงนะครับ ตอนนี้ที่ยิมที่ผมเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ มีโปรฯ ลด 50% สองเดือนสำหรับคนที่มาสมัครใหม่ (สำหรับบุคคลทั่วไปวัยอย่างผมนะ 55 เรียนได้ทั้งบีเจเจและโยคะ) สำหรับหนุ่มๆ สาวๆ คนไทยอายุไม่เกิน 30 ปีและนักเรียนนักศึกษาก็มีส่วนลดให้ตลอดอยู่แล้วแบบไม่ต้องง้อโปรฯ (ฮา) ลองคลิกเข้าไปดูวิดีโอโปรโมชั่นในเฟซบุ๊กได้ที่นี่ครับ https://th-th.facebook.com/puregrap/videos/3101325553435281/ ฮามาก ดูดีๆ มีผมนั่งอยู่ในนั้นด้วยนะนั่น ดั๊นถ่ายตอนผมนั่งเนี่ยนะ 555 (ส่วนเรื่องเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิด โปรดติดต่อสอบถามกับทางยิมนะครับ)
สำหรับวันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (2) “ฮิชิเรียว” 非思量 เมื่อการ “ไม่หยุดคิด” คือทางรอด
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (1) “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหล่ะ”
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ