วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (1) “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหล่ะ”
สวัสดีครับ มาแล้วครับ มาตามสัญญา มาตามหัวใจเพรียกหา 55 ตามที่เคยเกริ่นไว้ว่าจะเขียนเรื่องปรัชญาเซนโดยจับมาบวกกับ BJJ โดยขอเอาคำคม เนื้อหาที่หยิบยกจากหนังสือ The Zen Way to the Martial Arts ของพระอาจารย์ไทเซน เดชิมารุ มาเป็นตัวตั้งแล้วเสริมอรรถาธิบายจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเองในยิมบีเจเจแบบเอาสิ่งที่ได้เห็นจริง ได้คิดได้มองตัวเองและอะไรรอบตัวจริงเอามาพูด
(คั่นรายการแป๊บครับ ก่อนอื่นขอขอบพระคุณ คุณ Pasawiss Tangwiwat แอดมินเพจ BJJ Thailand ที่ให้ความสนใจในบทความและได้มาคอมเมนต์ที่เพจของ marumura นะครับ ผมในฐานะคนเขียน ดีใจมากๆ ครับ คิดว่าคงเขียนบทความเกี่ยวกับ BJJ และปรัชญาญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ นะครับเรียกว่าจะเขียนไปเหมือนเป็นบันทึกการเดินทางในชีวิตการฝึก BJJ ของตัวเองไปเลย ถ้า บก. โอเคจะเขียนยาวๆ สักสิบปีเอาแบบจากสายขาวเป็นสายดำเลยนะครับ (ฮา))
หลายท่านที่เคยอ่านหนังสือตำราเกี่ยวกับเซน ได้ยินผมจั่วหัวว่า BJJ แล้วอาจจะ เบะปากมองบนไปก็ได้ ค่าที่ว่าบางท่านอาจคุ้นเคยว่า เซน 禅 มันต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับวิชาโบราณ ศิลปะการต่อสู้ที่สืบแนวทางแนวคิดจิตใจอย่างญี่ปุ่นสิ (อย่างที่เรียกรวมๆ ว่า บูโด 武道 ฝรั่งเรียกว่า traditional martials arts) เช่น เคนโด ไอคิโด อะไรพวกนี้ แนวๆ ฝึกยุทธ์เพื่อฝึกใจ ต้องไม่คิดฆ่าฟัน ไม่แก่งแย่งแข่งขัน แล้ว “กีฬาต่อสู้” (combat sports) อย่าง “บราซิลเลียนยูยิตสู” มันจะมีอะไรมาเกี่ยวกับเซนได้?
ท่านผู้เจริญครับ อันธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็น “อกาลิโก” คือไม่จำกัดยุคสมัย ใครเอามาปฏิบัติมันก็ต้องได้มรรคผลตามควรทั้งนั้น ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นจะเอาไปประยุกต์ใช้กับกิจการงานอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลจะต้องตั้งแง่กันเลยว่า นี่เป็นศิลปะการต่อสู้อย่างโบราณ นั่นมันกีฬา ศิลปะการต่อสู้โบราณดี (ฝึกจิตใจ ปฏิบัติตามธรรมเนียม มารยาท) กีฬาเลว (มุ่งแต่จะเอาชนะ บางทีถึงขั้น “ป่าเถื่อน”) บลาๆๆๆ หากยังมีทัศนคติชอบแบ่งฝักฝ่าย อย่าพูดกันเรื่องธรรมะเลยครับ เพราะธรรมะมันเป็นของที่มีไว้เพื่อทุกคน เพื่อกิจการงานทั้งหลายในชีวิตคนอย่างไม่มีแบ่งแยก และเซนนั้นก็นับว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน เพราะเซน 禅 นั้นเมื่อสาวไปถึงรากคำจีน ซึ่งอ่านว่า “ฉาน” นั้น มันก็เป็นคำที่คนจีนประดิษฐ์เพื่อแปลเลียนสำเนียงคำว่า “ฌาน” นั่นเอง
ฌาน (คำนาม) หมายถึง ภาวะที่จิตสงบนิ่งจากการเพ่งอารมณ์ การเพ่งอารมณ์จนจิตสงบนิ่งเป็นสมาธิ
ฉะนั้น หากผมจะเอา “การเพ่งอารมณ์” (หรือ ฌาน หรือ เซน 禅) เข้าไปใส่ในการฝึกวิชาบราซิลเลียนยูยิตสู มันจะเป็นยังไงหรือครับ? ตามมาดูกันเลยครับ
เพื่อให้รวบรัดเข้าใจง่าย จะขอยกคำกล่าวคำกล่าวของพระอาจารย์ไทเซน มาดังนี้ครับ
“In the spirit of Zen and Budo everyday life becomes the contest. There must be awareness at every moment—getting up in the morning, working, eating, going to bed. That is the place of mastery of self.”
“ในจิตวิญญาณของของเซนและบูโด ชีวิตประจำวันกลายเป็นการดิ้นรนต่อสู้ ต้องมีความตระหนักในทุกขณะ ตื่นเช้า ทำงาน กิน เข้านอน นั่นคือที่แห่งเป็นนายเหนือตัวเอง”
ผมขออนุญาตยกคำคมของ Saulo Rebeiro แชมป์โลกบราซิลเลียนยูยิตสู ผู้เขียนหนังสือ Jiu-Jitsu Univesity มาดังนี้ครับ
(ที่มา https://www.azquotes.com/author/45649-Saulo_Ribeiro)
“Jiu Jitsu ในตอนท้ายของวัน เป็นศิลปะในการแสดงตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ทุกครั้งที่คุณสวม Gi (หมายถึงชุดฝึก ญี่ปุ่นเรียกว่า โดกิ 道着 แต่ฝรั่งมักเรียก กิ เฉยๆ –ผู้เขียน) คุณไม่สามารถโกหกได้”
ตัวผมเองเล่นบีเจเจมาเป็นปีที่สาม สองปีที่ผ่านมาค่อนข้างยากเข็ญกับการที่ต้องบอกตัวเองบังคับตัวเองในแต่ละวัน ตอนเช้า ตอนเที่ยงกินข้าว ตอนบ่าย ว่าอย่าขี้เกียจ อย่าให้ความปวดเมื่อย ความไม่สบายใจหรือความกังวลใจโน่นนี่มาขวางไม่ให้ผมไปซ้อมบีเจเจตอนเย็น หาอะไรใส่ปากเล็กน้อยรองท้อง เตรียมน้ำดื่มไป ซ้อมตั้งแต่หกโมงเย็นยันเลยทุ่มครึ่ง บางทีก็เลยไปถึงสองทุ่ม (บางทีครูสอนเสร็จ เราก็ยังสแปริ่งกันต่อ) ทุกวันนี้กลับบ้านมาแล้ว เล่นกับลูกๆ เสร็จ บางทียังเปิดดูยูทูปหาคลิปวิดีโอศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม บางทีว่างๆ ก็ไปอ่านบทความว่าทำไงจะพัฒนาตัวเองในทางนี้ได้ เรื่องของอาหาร การพักผ่อน ทัศนคติในการฝึก ฯลฯ
แต่สิ่งที่ต้องต่อสู้ยิ่งกว่า คือชีวิตของการเป็นฝ่าย “ถูกกระทำ” โดนซับมิชชั่นบนเบาะ อาร์มบาร์บ้าง รัดคอ (choke) บ้าง การเล่นบีเจเจชีวิตคุณจะต้องโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ จนกว่าคุณจะพัฒนาลูกเล่นการเอาตัวรอด (survival) ได้ ไปจนถึงการหนี (escape) การกัน (guard) และถ้าคุณเริ่มจะทำอะไรเป็นขึ้นมาคุณก็อาจเริ่มรู้วิธีกวาด (sweep) เพื่อพลิกคู่ต่อสู้จากบนเป็นล่าง แล้วเอาตัวเองจากล่างมาขึ้นบน แล้วก็เรียนรู้การตรึงคู่ต่อสู้ให้อยู่ (pin) และสุดท้ายถ้าปัจจัยต่างๆ ถึงพร้อม คุณก็รัดคอดัดแขนดัดขา (ทำ submission) คู่ต่อสู้ได้
แต่การฝึกโดยดิ้นรนเอาตัวเองออกจากจุดที่สิ้นหวัง โดนคู่ต่อสู้อัดติดพื้นและพร้อมจะรัดคุณจนต้องยอมแพ้ ได้สัมผัสวูบหนึ่งของการหายใจไม่ออก (“กรูจะตายไหมว๊า”) รู้สึกเหมือนข้อต่อจะหัก หากไม่มีความ “เพ่งอารมณ์” เพ่งจิตใจไปที่การฝึกหัด เรียนรู้จากความผิดพลาดซ้ำๆ จนดิ้นรนหาทางแก้ไขความผิดพลาดของตนเองได้ (บางทีมันก็มาจากคำแนะนำของครูด้วย หรือหาเอาในยูทูป) รับรองคุณจะเลิกเล่นบีเจเจภายในสามเดือน
ผู้เขียนเคยเห็นบางคนที่มาเริ่มเล่นใหม่ สายขาว มีลักษณะเข้าข่ายอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
_มาแบบข้าแน่มาก ฉันแข็งแรง กะอัดคนอื่นบนเบาะเต็มที่ ผลคือไม่อาจอัดคนอื่นได้เท่าที่ใจคิด บางทีถูกอัด (คือโดนรัดโดนล๊อคจนต้องแทป) เสียเองก็มี พอรู้สึกไม่ได้ดังใจแบบนี้ เลิกเล่น
_บางคนมาเพราะรู้สึกว่า อยากมาเพื่อฟิตเนส หรืออยากมีอะไรที่วิชาป้องกันตัว (โดยมากเป็นคุณผู้หญิง) แต่ไม่ได้เตรียมใจมาเจอความเหนื่อย (บีเจเจนี่เล่นแล้วรับรองเหงื่อท่วมตัวทุกนัด อาบเหงื่อต่างน้ำแน่นอน) ความเจ็บกาย (โดนรัด โดนล๊อค) ความเจ็บใจ (สู้เขาไม่ได้ กลายเป็นไอ้โง่ โดนอัดซ้ำๆ) ซึ่งคนลักษณะนี้มักไม่เคยมีประสบการณ์ฝึกวิชาต่อสู้มาก่อน พอมาเจอแบบนี้ เข็ดขยาด เลิกเล่น
_บางคน หนุ่มแน่นมาก ร่างกายก็แข็งแรงดี ทักษะการต่อสู้ก็มี แต่เล่นแบบไม่ประหยัดพลังงาน ใส่สุดตัว กะเอาชนะแบบทุ่มสุดๆ จนลืมถนอมระวังร่างกายตัวเอง บาดเจ็บไป บางคนก็คอ หลัง ไหล่ อาจไม่ถึงกับเลิกเล่นแต่การเจ็บจนต้องหยุดเล่นเป็นเดือนก็เสี่ยงต่อการเลิกเล่นเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหนในสามอย่างที่ผมว่ามานี้ ล้วนแล้วแต่ “เพ่งอารมณ์ไม่เพียงพอ” ทั้งนั้น
แล้วอย่างไรที่เรียกว่า “เพ่งอารมณ์เพียงพอ”?
เรามาเพื่อฝึก เพื่อเรียน ฉะนั้นชนะก็เป็นการเรียนรู้ ว่าเราทำได้ ทำแบบนี้ๆ แล้วมันได้ผล แพ้ โดนอัด (โดนรัด โดนล๊อค) ก็เป็นการเรียนรู้ ว่าเรายังบกพร่อง ยังมีจุดอ่อน จงยอมรับตัวเองในทั้งสองอย่าง
ชีวิตคือการต่อสู้ เมื่อเราก้าวขึ้นมาบนเบาะ มาฝึก เตรียมใจได้เลยว่า ต้องเจ็บ ต้องเหนื่อย แต่เราก็ต้องประคองรักษาตัวเองให้ดี
คำว่า “ชีวิตคือการต่อสู้” นั้นหมายถึงว่าเราต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ดังนั้นจงรักษาร่างกายให้ดี อย่าให้เจ็บหนักจนต้องหยุดฝึก
รักจะฝึกทางนี้ ต้องมีวินัยในการควบคุมดูแลตัวเองให้ดีครับ ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ จะได้มีเรี่ยวแรงฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ (ควรฝึกให้ได้สัปดาห์ละสามครั้งเป็นอย่างน้อย) ถ้าเรารักษากายใจให้ฝึกซ้อมได้สม่ำเสมอ ความก้าวหน้าย่อมมีแน่นอน
และเมื่อเราจะ “เพ่งอารมณ์” กับการฝึกฝนสิ่งใดนั้น เราจะต้องมีสติอยู่กับตัว พยายามเอาสิ่งที่เรียนที่ฝึกเอามาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้
ผมเรียน Technical Stand Up ทั้งจากในยูทูปด้วยคือเรียนเป็น Solo Drill เวลาอยู่กับบ้าน และก็ต้องได้ฝึกที่ยิมด้วยเรื่อยๆ จนตอนนี้แม้แต่จะลุกจากที่นอนเดินไปเยี่ยวในห้องน้ำก็ยังต้องลุกด้วย Technical Stand Up เอายูทูปมาให้ดูว่ามันจะประมาณนี้
นอกจากนี้ การที่เราจะ “เพ่งอารมณ์” ให้ใจเรามีสมาธิ คือสามารถจดจ่อกับการฝึกได้โดยไม่มีความคิดฟุ้งซ่านอะไรมารบกวนจิตใจได้ สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องไม่คาดหวังอะไรแบบเอาเร็วด่วนได้ เคยมีคนมาถามพระอาจารย์ไทเซนแบบนี้ แล้วพระอาจารย์ก็ตอบเข้าให้อย่างนี้
“How many years do I have to practice zazen?”
“Until you die.”
“กระผมจะต้องฝึกซาเซ็น (“นั่งฌาน” 座禅—ผู้เขียน) สักกี่ปี?”
“จนกว่าโยมจะตายน่ะแหละ”
คำว่า “จนกว่าจะตาย” นี่ไม่ใช่การทำอะไรสุดโต่งอย่างทำงานหนักจนตาย (คะโรชิ 過労死) นะครับ (ฮา)
คำของพระอาจารย์ไทเซ็นนั้นหมายถึงว่า อย่าไปตั้งความคิดว่าโอ้ยจะต้องเท่านั้นปีสำเร็จเหมือนแบบเรียนสี่ปีจบปริญญาตรี จะการฝึกนั่งฌาน หรือการฝึกวิชาต่อสู้ก็ดี มันไม่ใช่อะไรที่มีขีดขั้นสำเร็จรูปจำกัดจำเขี่ยแบบนั้น หากเราฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่หยุดมันก็มีทางไปข้างหน้าของมันเรื่อยๆ ไม่หมดไม่สิ้นเช่นกันเรียกว่าฝึกไปจนกว่าจะตายนั่นแหละถึงจะหยุดฝึก ที่สำคัญกว่านั้นคือ หากเราไปตั้งธงว่าเฮ้ยต้องสำเร็จภายในเท่านั้นปีเท่านี้ปีนะ พอทำได้ไวมันก็เหลิง คิดว่าข้าแน่ พอทำไม่ได้ ไปได้ช้า ก็มานั่งกลุ้ม คิดว่าตัวเองห่วย พอมีความคิดแบบนี้ มันบั่นทอนจิตใจละ จิตใจก็เริ่มไม่ตั้งมั่นจดจ่อกับการฝึกละ (ขาดสมาธิ) ไปๆ มาๆ หมดกำลังใจ เลิกเรียนเลิกฝึกไปเสีย
ตรงข้อนี้ ผมอยากจะบอกว่า เท่าที่อ่านในเว็บฝรั่ง หลายคนที่ฝึกบีเจเจ ก็เจอภาวะแบบนั้น มันเลยมีหลายคนมากๆ ที่เล่นแล้วเลิกกลางคันตั้งแต่เป็นสายขาว เพราะบีเจเจนี่กว่าจะไต่พ้นจากสายขาวเป็นสายน้ำเงินได้ เคสที่ผมเจอมาจริงๆ เป็นคนหนุ่มๆ ร่างกายดีๆ ฟิตๆ ทักษะดี นี่คือสองปีได้สายน้ำเงิน ผมเองเรียนมาปีที่สามยังขาวสามแถบเลย (ถัดจากสามแถบจะเป็นสี่แถบ ถัดจากสี่แถบก็จะขึ้นน้ำเงิน ลูกผมเรียนเทควันโด สามเดือน จากสายขาวเป็นเหลืองหนึ่งละ เห็นไหม ปัจจุบันเขียวหนึ่งละ) หรืออย่างที่อ่านเจอมาฝรั่งบางคนเล่นไปถึงน้ำเงินแล้วเลิกก็มี มันมีหมด ระบบการเลื่อนสายของบีเจเจมันไม่ใช่ระบบทำข้อสอบจำพวกว่า เออ ทำท่าหมุนตัวเตะได้ ผ่าน อะไรงี้ ครูฝึกเขาดูการมาเรียนบ่อยหรือไม่ด้วย การพัฒนาด้วยว่าเออทำสิ่งที่เคยทำไม่ได้แล้วคราวนี้ได้มั่งไหม ร่างกาย ทักษะการเคลื่อนไหวดีขึ้นไหม ไปแข่งมีความสำเร็จแค่ไหน ซึ่งบางทีอ่ะผมเองเวลาแบบ เพื่อนในยิมได้แถบเพิ่ม (เลื่อนขั้น) แต่เรายังไม่ได้ มันก็ต้องรู้สึกใช่ไหมว่า เออเราห่วยเหรอ มันก็ต้องมีน้อยใจหรือรู้สึกไม่ดีกับตัวเองนั่นแหละ (ซึ่งผมก็เป็น) ในเว็บฝรั่งเขาก็พูดว่าเออบางทีมันก็รู้สึกนะ เพื่อนเรียนมาพร้อมกันบางคนได้เลื่อนขั้นเลื่อนสายก่อนเรา ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการที่เราไปตั้งธงตั้งเกณฑ์แล้วทำไม่ได้ หรือเกิดการเปรียบเทียบ มันก็จะทำให้เราเสียสมาธิที่จะเพ่งใจไปที่การฝึกได้เต็มที่ (ถามว่าผมเคยมีอารมณ์แบบนี้ไหม “เคยมี” ครับ)
วิธีแก้ก็คือต้องดึงสติตัวเอง ยอมรับข้อด้อย แล้วก็มองดูที่ตัวเอง เพ่งที่ตัวเอง “เราในวันนี้ เป็นเราที่ดีกว่าเราในวันวาน” แล้วหรือยัง? ถ้าใช่ ก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่า ทำไมเราไปได้ไม่เร็วเท่าเพื่อนในยิมเราอะไรงี้ พูดไปแล้ว มีเรื่องราวของนาย Mike Bidwell เรื่องราวของเขากลายเป็นตำนานในวงการบีเจเจที่ว่า อยู่เป็นสายน้ำตาลตั้ง 13 (สิบสาม) ปีแน่ะ กว่าจะได้สายดำ อะไรจะยาวนานปานนั้น เพราะชีวิตของเขาหลังจากได้สายน้ำตาลก็เจอวิบากกรรมจากอาการบาดเจ็บ แล้วก็กินจนตัวแตก ร่างพัง แทบจะเลิกเล่นบีเจเจ แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาตั้งต้นใหม่ จนกลับมาฝึกได้ จนได้สายดำ หากใครสนใจเรื่องราวของนาย Mike Bidwell อ่านได้ที่นี่นะครับ https://www.jiujitsutimes.com/
ที่จริงผมควรจะท้อและเลิกเล่น การที่มาฝึกวิชาที่ต้องใช้ร่างกายอย่างหนักไม่ใช่เรื่องง่ายกับคนอายุเลขสี่ที่เคยอ้วนเกินร้อยกิโล ทุกวันนี้ผมก็ยังมีอัตราการแพ้ (โดนซับมิชชั่น) มากกว่าชนะ (ซับมิชชั่นคนอื่น) บางทีผมไม่อาจซับมิชชั่นหรือโดนแม้แต่คนมาใหม่ในยิมซับมิชชั่นเอา (ทั้งที่ตัวเองก็สามแถบแล้ว) แต่ที่ผมยังเล่นบีเจเจอยู่ได้เพราะผมมีศรัทธา คือเชื่อว่าการเล่นบีเจเจมันดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผม (ฝึกกล้ามเนื้อ ความคล่องตัว การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล คลายเครียดจากการงาน ฯลฯ) เมื่อมีศรัทธา ก็มีวิริยะ (คือยังผลักดันให้ตัวเองไปซ้อมบ่อยๆ ได้) มีวิริยะ ก็มีสติ (ท่าไหนเราฝึกซ้ำๆ เล่นซ้ำๆ มันก็เริ่มเข้ามาอยู่ในความนึกคิดของเรา) มีสติ ก็มีสมาธิ (เมื่อมันอยู่ในหัวเรา เราก็เริ่มไล่ดูทีละจุด การเคลื่อนไหว ตำแหน่งแขนขา ตำแหน่งตัวเราาสัมพันธ์กับคู่ต่อสู้) มีสมาธิ ก็มีปัญญา (เริ่มรู้แล้วว่า ต้องทำอย่างไร วางตำแหน่งอย่างไร ลำดับท่วงท่าอย่างไรใช้แรงไปในทางไหน จึงจะได้ผลดี) ฝึกไปทุกวันๆ เราก็จะค่อยๆ ก้าวไปทุกวันๆ เร็วบ้างช้าบ้างก็ให้มันเป็นไปตามเรื่อง
ถ้าผมวันหนึ่งแก่ตัวสักเจ็ดสิบ แล้วยังเล่นบีเจเจได้เหมือนปู่คนนี้ ผมถือว่าตัวเองสอบผ่านแล้วในหนทางปรัชญาชีวิต คือรู้ แล้วทำ แล้วบังเกิดผล
สุดท้ายนี้ก่อนจะจากกัน ขอฝากว่า คำสอนของพระอาจารย์ไทเซนที่ว่า “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหละ” น่ะ มันไปพ้องกับคำที่ฝรั่งมักบอกกันเองเวลาเล่นบีเจเจว่า…
Take your time.
…ละวางอัตตา ใจเย็นๆ ค่อยๆ ใช้เวลาอยู่กับมันไปครับ
เห็นหรือยังครับว่า เซน นั้น เป็นอกาลิโกจริงๆ พวกฝรั่งเองก็ยังเข้าใจสิ่งนี้ผ่านประสบการณ์ได้เลยครับ ว่าแล้วก็เอารูปมาให้ดูเล่น เป็นภาพการฝึกในเย็นวันหนึ่ง ซึ่งก็เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตเล็กๆ ครับ พบกันใหม่สวัสดีครับ (ฮา)
(ที่มา https://www.facebook.com/puregrap/)
เพิ่มเติม
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เรียกรวมกันว่า พละ ๕ ญี่ปุ่นเรียกว่า 五力 โกะริคิ แต่ละข้อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นดังนี้
ศรัทธา=信 ชิน, วิริยะ=精進 โชจิน, สติ=念 เน็น, สมาธิ=定 โจ, ปัญญา=慧 เอะ
ที่เขียนไว้ไม่ใช่อะไร จะได้แบบ เวลา บก. มาอ่านแล้วรู้สึกว่า เออ อันนี้มันเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นนะ เห็นไหมมีภาษาญี่ปุ่นด้วย (ฮา) อาทิตย์หน้ามาต่อกันตอนที่สองครับ
เรื่องแนะนำ :
– เที่ยวเกียวโตแบบกระท่อนกระแท่น (2) คินคาคุจิศาลาทอง และวังหลวงเกียวโต
– เที่ยวเกียวโตแบบกระท่อนกระแท่น (1) อาราชิยามะ รถไฟ Torokko และก็ Bamboo Groove บลาๆๆ
– เก็บตกปี 2005 แบบว่าไม่มีอะไรทำเลยไปดูปิกาจูที่ Expoland
– น้ำตกมิโน่เมื่อใกล้หน้าหนาว และขึ้นดอยไปชมวัดคัตสึโอจิ 勝尾寺 ส่งท้ายปี 2005
– ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เรียนๆ ไอคิโดไป ดันผ่าไปเรียน BJJ ได้ยังไงหว่า?!
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู