เคยถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นว่า เรียนภาษาจีนยากไหม บางคนก็ตอบว่ายาก บางคนก็ตอบว่าไม่ยาก แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนพูดถึงก็คือ “คันจิ” หรือตัวอักษรจีน(漢字) ที่พวกเขาบอกว่าพอจะเดาความหมายของภาษาจีนได้ไม่มากก็น้อย
ผู้เขียนเริ่มเรียนภาษาจีนในสมัยปริญญาตรี มีอยู่หลายครั้งที่ปิดเทอมฤดูร้อนก็จะได้ไปเรียนระยะสั้นที่ประเทศจีน และในบรรดานักเรียนต่างชาติ ชาติที่มาเรียนภาษาจีนมากที่สุดก็คือ ประเทศญี่ปุ่น
เคยถามเพื่อนชาวญี่ปุ่นว่า เรียนภาษาจีนยากไหม บางคนก็ตอบว่ายาก บางคนก็ตอบว่าไม่ยาก แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนพูดถึงก็คือ “คันจิ” หรือตัวอักษรจีน(漢字) ที่พวกเขาบอกว่าพอจะเดาความหมายของภาษาจีนได้ไม่มากก็น้อย
“คันจิ” ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ฮั่นจื้อ” คำว่า “ฮั่น” มาจากราชวงศ์ฮั่น และเป็นคำที่ใช้เรียกชาวจีน ในประเทศจีนมีชนกลุ่มน้อยร่วมอาศัยอยู่มากมาย และชาวฮั่นถือเป็นชาวจีนโดยแท้จริง ในขณะที่ชาติพันธุ์อื่นๆ อาจจะมีสัญชาติจีน แต่แท้จริงอาจเป็นชาวแม้ว ชาวม้ง ชาวแมนจู ฯลฯ ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ไหน หรือพูดจีนสำเนียงถิ่นใด ชาวจีนทุกคนสามารถเข้าใจตรงกันได้ด้วยตัวอักษรจีนแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานของการรวมแผ่นดินจีนและมีการบังคับใช้ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ
หลังจากที่มีการรวมแผ่นดินในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ การสื่อสารที่เป็นระบบก็เริ่มมีมากขึ้นเพราะตัวอักษร แม้จะเกิดสงครามเปลี่ยนราชวงศ์ไปมากมาย แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือตัวอักษรจีนที่ใช้กันเรื่อยมา
ในยามที่ประเทศสงบสุข ผู้คนก็ย่อมมีเวลาพัฒนาด้านต่างๆ รวมถึงด้านการอักษร การค้า ศิลปะวัฒนธรรม นั่นหมายความว่าต่างชาติที่เข้ามาติดต่อจีนในเวลานั้นๆ ก็ย่อมต้องรับเอาวัฒนธรรมของจีนไปด้วย
ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ เช่นเดียวกับประเทศเกาหลี เวียดนาม ที่รับเอาตัวอักษรจีนไปใช้เป็นภาษาของตนเอง ต่างกันแค่วิธีการออกเสียงที่ปรับให้เข้ากับการออกเสียงของคนในประเทศนั้นๆ แต่ความหมายของตัวอักษรก็ยังคงความหมายเดิมเอาไว้เป็นส่วนมาก
เดิมทีประเทศญี่ปุ่นไม่มีอักษรของตัวเอง จึงรับเอาอักษรจีนไปใช้อย่างเต็มรูปแบบ จนถึงสมัยหนึ่งจึงเริ่มมีอักษรอีกสองชนิดเกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ภาษา แบ่งออกเป็น
คาตากานะนั้นสร้างขึ้นในยุคเฮอัง(平安時代) โดยนำมาจากส่วนหนึ่งของตัวอักษรจีนหรือคันจิ โดยพัฒนามาจากอักษรจีนที่พระภิกษุเขียนกำกับเพื่อแสดงการออกเสียงอักษรจีนที่ถูกต้อง
ฮิรางานะถูกพัฒนามาจากอักษรจีน เริ่มแรกเรียก อนนาเดะ หรือ มือของผู้หญิง เพราะใช้เขียนโดยผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ต่อมาถูกพัฒนาจนกลายเป็นรูปแบบตัวอักษรหนึ่งในสามชนิดของญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน จำเป็นต้องเรียนอักษรทั้งสามชนิดคือ คันจิ ฮิรางานะ และคาตากานะซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความพยายาม เพราะหากผู้เรียนเข้าใจที่มาของภาษาญี่ปุ่นและจับทางของตัวอักษรได้ รวมถึงหมั่นหาความรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ก็ย่อมจะประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน
เรื่องแนะนำ :
– โรนินกับเขาเหลียงซาน
– ปีใหม่
– สามสหายในเหมันต์
– ขบวนการห้าสี
– โออิรัน โสเภณีแบบญี่ปุ่น
ขอบคุณภาพประกอบจาก:
-http://kanjiproduct.blogspot.com/2013/09/kanji-chart-for-2nd-grade-of-elementary.html?m=1
-https://www.tsunagujapan.com/7-facts-you-probably-didnt-know-about-katakana-a-japanese-alphabet/
-https://www.funjapaneselearning.com/hiragana-course-2