[การลาออกครั้งสุดท้าย] แด่บริษัทที่มีคนแบบเบจิต้าเต็มไปหมด
ผมกำลังปิ๊ปบัตรออกจากบริษัทแถวป้อมยาม เพราะทางเข้าออกตามปกติของบริษัทปิดไปตั้งนานแล้ว มันก็ควรอยู่ล่ะ… ก็ตอนนี้ตีสองแล้วนิ
ผมเดินออกจากประตูบริษัท ผมจำไม่ค่อยได้ว่าคิดอะไรอยู่ จำไม่ค่อยได้ว่าหิวหรือเปล่า คงเป็นเพราะวิญญาณหลุดจากร่างไปหลายชั่วโมงที่แล้ว ผมแก้งานกับหัวหน้าตั้งแต่สิบโมงเช้า ยันตีสอง ข้าวกลางวันและข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน
เราต้องพิจารณารายงานที่จะส่งแบบเรียกว่าทุกบรรทัด ทุกอณู
“เราพบปัญหาคุณภาพการเทสต์ ซึ่งคล้ายๆ ที่เกิดกับ phase ที่แล้ว… แค่รายงานว่ามีปัญหาไม่พอ วินนายต้องเขียน counter measure สิว่าจะแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนได้ไง… “
- ผมต้องเขียนวิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนให้หัวหน้าดูรีวิวทั้งหมด 4 ครั้งในวันนี้ ส่งตอนเที่ยง บ่ายสาม หกโมงครี่ง และกว่าหัวหน้าจะรู้สึกว่าเข้าท่าคือ สองทุ่มครึ่ง
- ทำไมมันแก้หลายทีล่ะ? เพราะพอถึงบ่ายสาม ไอเดียน่ะโอเคแล้ว แต่ว่ามันมีปัญหาแนวความสวยงามเช่น จุดฟูลสต็อปมันตกไปอีกบรรทัดเพราะประโยคที่เขียนมันเต็มพอดี เราต้องเรียงประโยคใหม่ให้จุดฟูลสต็อปไม่ไปอยู่อีกบรรทัดหนึ่ง รวมถึงแก้ภาษาญี่ปุ่น เช่นตัดวงเล็บที่ไม่จำเป็นออก หรือคิดว่าถ้าใช้ชื่อย่อเช่น SIT = System Integration Test คนอ่านจะเข้าใจไหม เอาออกหรือใส่ไว้อันไหนดีกว่า
- ตอนสี่ห้าทุ่ม ผมยังมีข้อผิดพลาดเพราะพอแก้งานหลายที การใช้ Tense ในเอกสารเริ่มผิด (ภาษาญี่ปุ่นเขาก็มีพวก past tense, present tense, present continuous tense เหมือนกันครับ) ผมต้องแก้จนถึงเที่ยงคืน
และระหว่างวันเราต้องรีบรีวิวงานกับทีม Outsourcing เอกสาร 47 หน้า… แม่งเพิ่งมาบอกกูให้รีวิวภายในวันนี้ ผมจำได้แต่ว่าผมรีวิวไป หิวข้าวไป หน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่กล้าร้อง กลัวโดนด่าว่า ไม่โปรเฟสชั่นนัล
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตทำงานและน่าสนใจมากคือ …”อย่าพูดว่าคุณพยายามทำสิ่งนี้สุดหัวใจและสุดตัวแล้ว ถ้าคุณยังไม่ได้เสียน้ำตาให้กับมัน”
หลายๆ วันผมก็เจอแบบนี้แหล่ะ… เพียงแต่วันนั้นมันหนักเพราะแก้ไป โดนด่าไป แถมข้าวก็ไม่ได้กิน พอส่งงานแล้วหัวหน้าบอกโอเค ให้กลับบ้านได้ นาทีที่แหงนมองฟ้าตอนตีสอง ราวกับเห็นสายรุ้ง ^^
ถัดจากนั้น รู้แค่ว่าต้องหาที่นอน เพราะพรุ่งนี้เช้ามีประชุมเก้าโมง รถไฟเลิกวิ่งไปนานแล้ว จะนั่งแท็กซี่กลับก็คงหลายพันบาทเสียดายเงิน หาพวกอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นอนแถวบริษัทดีกว่า ตอนเช้าวันศุกร์ผมเดินมาทำงาน โดยยังเป็นชุดเสื้อเชิ้ตยับๆ กางเกงในก็ไม่ได้เปลี่ยน และก็อยู่อย่างนั้นถึงสองทุ่ม โอ้ว ชีวิตดี๊ย์ดีย์
มันเป็นความทรงจำที่ดำมืดของผู้เขียนมาก แต่ถ้ามองแบบเป็นหนังดราม่า นี่ไง มันทำให้เราแข็งแกร่ง เติบโต เป็นคนละเอียดถี่ท้วน
นี่คือบริษัทที่ผมเติบโตมา… ชื่อบริษัท NRI (Nomura Research Institute) ทำไมผมถึงบอกว่าบริษัทนี้เหมือนมีคนแบบเบจิต้าเต็มไปหมดล่ะ
เริ่มแรก ตัวละครเบจิต้าในเรื่องดราก้อนบอล เป็นตัวละครที่ ”ทำงานเก่งมากๆๆๆ” คือถ้าเป็นพนักงานบริษัท ควรให้รางวัลพนักงานยอดเยี่ยมจริงๆ
ยกตัวอย่างเริ่มจากที่ต่อสู้กับโกคูครั้งแรก สู้ไปสู้มาชักมีปัญหาชนะยาก เลยบอกว่าเด๋วพอพระจันทร์ขึ้น เบจิต้าจะกลายเป็นลิงยักษ์ โกคูบอกเบจิต้าคงไม่ได้อัพเดทข่าวว่า โลกไม่มีพระจันทร์แล้ว
พี่แกเลยสร้างพระจันทร์เทียมขึ้นมาเองเลย!!
ถ้าเทียบกับโลกทำงาน เบจิต้าก่อนมาโลก ก็ถือว่าทำการบ้านมาดีแล้วว่าโลกมีดวงจันทร์ช่วยให้กลายเป็นลิงยักษ์ เหมือนคนทำงานว่าก่อนจะเริ่มงาน ต้องศึกษาลักษณะงาน ปัจจัยความเสี่ยงมาก่อน และเตรียมแผนสองไว้ด้วย และพอเพิ่งมารู้ว่าพระจันทร์ไม่มีแล้ว เบจิต้าก็คิดเร็วทำเร็ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที เหมือนเราทำงานแล้วเพิ่งรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่รู้มาก่อนจริงๆ ยอดพนักงานคนนี้ก็สามารถหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที
นี่ยังไม่รวมอีกฉาก ที่คุริรินแอบจะตัดหางเบจิต้าตอนเป็นลิงยักษ์ เบจิต้ากระโดดหลบได้ง่ายๆ แถมยังโชว์เหนือพูดให้ฟังอีกว่า
เห็นอยู่ว่าคุริรินกับโกฮังหนีไปพร้อมกัน ดังนั้นถ้าจะกลับมาช่วยโกคู ต้องกลับมาสองคนแน่ๆ เรียกว่าถ้าเป็นสกิลของคนทำงานก็คือ อ่านเกมของ counterparty ออกแบบขาดกระจุย
และอีกคุณสมบัติหนึ่งที่คนบริษัทผมต้องการและต้องมีมากๆ คือต้องทำงานเร็ว ไม่ต้องมานั่ง brief งานนาน
อันนี้ผมนึกถึงฉากที่เบจิต้าเพิ่งออกจากห้องกาลเวลา เบจิต้าเปลี่ยนชุดเสร็จ และบินพุ่งไปลุยกับเซลล์ ทันทีหากดูในอะนิเม ตั้งแต่ออกจากห้อง จนถึงนาทีที่เริ่มปฎิบัติการ กินเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เรียกว่างานเร็ว และ go to the point มาก (มีฉากให้ดูใน YouTube บางส่วน ตามลิงค์นี้ครับ)
รวมถึงอีกคุณสมบัติหนึ่งคือ เบจิต้าขยันมาก… ซ้อมต่อสู้ตลอดเวลา เหมือนพวกพนักงานที่ work hard ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหลายทั้งมวลนี้ ผมพบคนทำงานแบบนี้ใน NRI เยอะมากๆ แต่แค่ทำงานดี บ้าพลังบริษัทญี่ปุ่นอื่นๆ ก็คงมีเยอะ แต่อีกข้อเพิ่มเติมอีกอันหนึ่งที่คือ คนในบริษัทนี้จะมั่นใจ กล้า บ้า ท้าทายคล้ายๆ กับที่เบจิต้าเป็นแหล่ะ ซึ่งข้อนี้เวลาผมเห็นคนไทย หยิบยกบริษัทญี่ปุ่นมาพูดถึง จะไม่ค่อยเห็นบุคลิกลักษณะนี้เท่าไหร่นัก
- เรามักจะได้ยินบริษัทญี่ปุ่น เน้นเรื่องจิตใจไม่เหมือนฝรั่ง แต่คนในบริษัท NRI กล้าพูดได้เต็มปาก “นี่เรากำลังทำสิ่งที่เป็น redundant ใช่ไหม ถ้าใช่… ตัดมันทิ้งซะ”
- หรือประเพณีที่บอกว่าคนญี่ปุ่นไม่พูดอะไรตรงๆ ถ้าเป็น NRI “คำถามนี้ ตอบมาก่อนเลยครับว่า Yes or No ส่วนคำอธิบายมาทีหลัง”
แต่ถึงจะเป็นอย่างไร… นี่เป็นบริษัทที่ผู้เขียนผูกพันมาก ประสบการณ์เรื่องราวมากมายที่ผมเขียนใน Marumura ก็มาจากที่นี่เป็นสิบๆ เรื่อง มันผูกพันจนต้องเอามาเขียนผ่านบทความ… ถึงวันนี้ผู้เขียนมีเหตุต้องลาออกจาก NRI แต่ก็เชื่อว่าความคิดถึงกับบริษัทนี้ คงไม่เปลี่ยนแปลง ขอบคุณบริษัทที่ทำให้ผมได้ทำงานกับเหล่านักทำงานสไตล์เบจิต้าเต็มไปหมด
PS –
– ขอบคุณแหล่งภาพจาก ดราก้อนเวิลด์
– เบจิต้าเป็นเรื่องแต่ง แต่คนใน NRI เป็นเรื่องจริง และ NRI สาขากรุงเทพก็มีอยู่จริง และยังรับสมัครงาน consulting, developer ด้วย หากใครสนใจทำงานบริษัท NRI ที่ประเทศไทย ผู้เขียนยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำฟรี ไม่คิด OT
เรื่องแนะนำ :
– “2021” [จากบทความ Nikkei ถึงหนังเรื่อง Soul]
– [นิทานฤดูหนาว] ปาฎิหาริย์แห่งโต๊ะจานผี
– [ทดความคิด] ไม่ถูกต้อง VS ไม่ถูกใจ
– [มีของแจกจ้า] ปลุกความเป็นโคนันในตัวคุณ @วันคนโสด (เพื่ออิหยัง?)
– เรื่องสั้นต่างมิติ – ตำนานพิศวง Kisaragi Station
#การลาออกครั้งสุดท้าย: แด่บริษัทที่มีคนแบบเบจิต้าเต็มไปหมด