สิ่งที่ทำให้มวยไทยถูกจริตคนญี่ปุ่นก็คือ นอกจากจะเป็นวิธีการต่อสู้ที่เขาใช้คำว่า “สุดอันตราย” (Deathly Weapon) เขายังมองว่ามันมี “ระบบ” ที่ใกล้เคียงกับญี่ปุ่น
ในช่วงหลายปีหลังมานี้ ผมได้มีโอกาสต้อนรับนักกีฬาต่อสู้จากประเทศญี่ปุ่นหลายสิบคนที่เดินทางมาเมืองไทย บ้างทั้งมาท่องเที่ยว บ้างมาทำธุรกิจ หรือบ้างมาแข่งขัน ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนี้นั้นมีนักกีฬาต่อสู้เดินทางมาที่ไทยค่อนข้างถี่มาก ๆ แทบจะใกล้เคียงกับเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน ที่มีนักกีฬาต่อสู้ญี่ปุ่นแวะเวียนมาฝึกในไทยเป็นจำนวนมาก (ก่อนจะเงียบหายไปตั้งแต่ประมาณช่วงปี 2005 ขึ้นมา) เรียกว่าเป็นกระแสที่กลับมาอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปกว่า 10 ปี
ซึ่งสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ครับ เพราะประเทศไทยจริง ๆ เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องกีฬาต่อสู้และมีศิลปะการต่อสู้เป็นของตนเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผมมองว่าศาสตร์การต่อสู้ของไทยนั้น แม้จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ความเป็นไปของมันในประเทศของเราเองจริงๆเนี่ย มันน่าจะไปได้ไกล หรือสุดได้มากกว่านี้ ดังนั้นการได้เห็นพัฒนาการของกีฬาต่อสู้ในประเทศ
(เช่น ไทยไฟต์ ที่คนดูเต็มแทบจะทุกรอบ หรือ MMA ที่มาจัดในสนามใหญ่อย่างอิมแพคฯ เมืองทองธานี ก็ทำให้คนที่หลงรักกีฬาต่อสู้ อดที่จะชื่นใจและคาดหวังถึงอนาคตที่สวยงามไม่ได้)
ทีนี้เรามาพูดถึงประเด็นของนักกีฬาญี่ปุ่นที่เดินทางมาในเมืองไทยค่อนข้างเยอะในช่วงนี้ ด้วยความที่ผมได้พูดคุยกับเหล่านักกีฬาโดยตรง แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านความเป็นส่วนตัว (ส่วนใหญ่มาเป็นส่วนตัวและก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้) ทำให้ขอละเว้นในส่วนของชื่อนะครับ โดยสรุปแล้ว ประเด็นที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายของนักกีฬาญี่ปุ่นก็คือ
– ค่ายมวยไทย
แน่นอนเลยว่านักกีฬาญี่ปุ่นที่มาไทยส่วนใหญ่จะเป็นนักกีฬาสายมวย และมวยไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ก็คือในประเทศไทยตามชื่อของมันนั่นแหละ
ในอดีตหลายสิบปีก่อนนั้นมวยไทยหรือมวยสากลในไทยถือว่าโดดเด่นและมีชื่อเสียงมากๆในประเทศ เรียกว่าต่างกับในปัจจุบันราวฟ้ากับเหว อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือ “รากฐาน” ผมเชื่อว่ารากฐานของมวยไทยนั้น ได้อยู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานในทุกยุคทุกสมัย สิ่งที่ทำให้มวยไทยถูกจริตคนญี่ปุ่นก็คือ นอกจากจะเป็นวิธีการต่อสู้ที่เขาใช้คำว่า “สุดอันตราย” (Deathly Weapon) เขายังมองว่ามันมี “ระบบ” ที่ใกล้เคียงกับญี่ปุ่น
กล่าวคือค่ายมวยในเมืองไทยนั้น จะเป็นระบบค่าย เช่นเดียวกับญี่ปุ่น (ผมเคยสอบถามกับเพื่อน ๆ ที่ฝึกมวยในอเมริกาหรืออังกฤษ เขาก็มีระบบค่ายเหมือนกัน แต่ราคาจะค่อนข้างสูงถึงสูงมาก โดยในระดับของคนทั่วไป ก็จะเป็นพวกกึ่งๆโรงเรียนอะไรแบบนี้มากกว่า)
อย่างที่เราเห็นกันว่าระบบค่ายของในไทยนั้น เข้มข้นสุด ๆ เข้มข้นมาก โดยเฉพาะหากใครที่เคยเห็นค่ายมวยในต่างจังหวัด อันนั้นเต็มไปด้วยคุณภาพและเป็นค่ายที่ทุกคนอยู่กินร่วมกัน มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง และเหมือนใช้ชีวิตอยู่เพื่อกีฬานั้นเลย ตรงนี้ล่ะครับที่ใกล้เคียงมากกับการฝึกของญี่ปุ่นที่เขาทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างชัดเจน และด้วยความเหมือนทางวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้เขาไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เหมือนกับว่ายังคงอยู่ในระบบเดิมเพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้นเอง
– ภาพลักษณ์ของยอดนักสู้
“พวกฝึกเพื่อภาพลักษณ์” แบบนี้มีเหมือนกันครับบอกเลย ซึ่งถามว่าแย่ไหม ก็ไม่ได้แย่อะไรเพราะบางทีก็ดีต่อธุรกิจของตัวเขาเอง ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพสักหน่อยก็อย่างเช่นนักมวยปล้ำ บางคนเป็นนักกีฬาที่ดีมากอยู่แล้ว แต่มันยังขาดความโดดเด่น ขาดความน่าเชื่อถือ นักมวยปล้ำบางคนก็อาศัยเวลาว่างมาสร้าง “ภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่ง” ให้กับตนเอง
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่านักมวยปล้ำไม่เก่งหรือหลอกลวง เพราะอธิบายก่อนว่านักมวยปล้ำที่ญี่ปุ่นนั้นสมมติเขาจะมีคาแรกเตอร์เป็นแบบไหน เขาจะต้องชำนาญในด้านนั้นจริง ๆ และสมมติเขาจะเป็นสไตล์มวยไทย นั่นหมายความว่าเขาต้องฝึกฝนอย่างหนักจนถึงจุดที่ทางสมาคมมองว่าเขาสามารถใช้คาแรกเตอร์นี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่เขาอาจจะเด็กไป หน้าตาอ่อนแอไป หรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนยังไม่เชื่อมั่นในตัวของนักมวยปล้ำคนนี้ บางคนก็เลือกที่จะเดินทางมาที่เมืองไทย (บางคนมาเพียงวันสองวันด้วยซ้ำ) โดยมีเป้าหมายหลัก ๆ คือไปร่วมค่ายมวยสักแห่ง ฝึกฝน ถ่ายภาพลงสื่อกีฬาที่นั่น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟน ๆ ในอารมณ์ว่า “มาฝึกถึงประเทศต้นกำเนิดเลย”
คนญี่ปุ่นจะค่อนข้างชอบเวลาเห็นความทุ่มเทของนักกีฬา และการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อฝึกฝนในหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง ก็จะได้คะแนนชื่นชมเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าการมาเมืองไทยนั้นได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง คือมีข้อดีเสียเป็นส่วนมากเลยล่ะครับ
(อันนี้ยกตัวอย่างเพิ่มเติม อย่างในอังกฤษ ก็จะรู้กันว่าเป็นประเทศที่ชำนาญในเรื่อง “เทคนิค” การต่อสู้มาก พวกท่าจับล็อคต่า งๆ อะไรแบบนี้ ดังนั้นนักมวยปล้ำที่อยากจะใช้คาแรกเตอร์ทางด้านนั้น ก็จะไปสร้างเครดิทในอังกฤษกัน เรียกว่าใครสายไหนก็ไปในสายนั้น อย่างพวกชอบเหินเวหา ก็จะไปเม็กซิโก เป็นต้น)
– เดินทางง่ายและราคาถูกมาก
คำว่าเดินทางง่ายและราคาถูกมาก ต้องเริ่มตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินเลยครับ ตอนนี้มี low cost มากมายที่พาทุกคนมาถึงกรุงเทพฯในเวลาเพียง 6 ชั่วโมงกว่าๆ และปัจจุบันสายการบินยังครอบคลุมไปถึงต่างจังหวัดด้วย (อธิบายก่อนว่าค่ายมวยไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในต่างจังหวัด อย่างที่ผมเคยไปและมีนักมวยปล้ำญี่ปุ่นฝึก ก็คือจังหวัดเลย เป็นต้น)
ที่นี้ในเรื่องของ “ถูก” อาหารในเมืองไทยถูกมาก เอาแค่ราคาตามท้องตลาดก็ถูกกว่าค่าครองชีพในโตเกียวอยู่หลายสิบเท่า ค่าเดินทางในตัวเมือง รถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน (นักมวยปล้ำชอบขี่จักรยาน เขาคิดว่ามันปลอดภัย คงติดมาจากญี่ปุ่น แต่ก็เห็นเข็ดไปหลายรายแล้วเหมือนกัน) ค่าฝึกในญี่ปุ่นนั้น ราคาหลักแสนนะครับ บอกเลยแพงมาก ๆ ในเมืองไทยค่าฝึกก็ถูกกว่านั้นหลายเท่าเช่นกัน การเดินทางมาไทยจึงคุ้มค่าทั้งในแง่ของเม็ดเงินและสิ่งที่จะได้รับกลับไป
– ท่องเที่ยว
นักกีฬาต่อสู้หลายคน จะเป็นพวกที่ร่างกายบอบช้ำครับ และข้อเสียที่สำคัญคืออะไร? พวกเขา “สัก” กันซะส่วนใหญ่ อาจเพราะความอยากเท่ หรือจะข่มขวัญศัตรู แต่นั่นจะทำให้พวกเขาเข้าออนเซ็นไม่ได้ หรือไปในที่สาธารณะบางแห่งที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น รอยสักนี่ปัญหาหลักๆเลย (บางคนไม่ใช่แค่สัก แต่ทรงผม หรือรอยแผลบนร่างกายมันน่ากลัวเหลือเกิน) และคนญี่ปุ่นเนี่ยเวลาบาดเจ็บบางทีเขาจะชอบไปแช่ออนเซ็น หรือไปนวดอะไรก็ว่าไป การที่เขาทำไม่ได้ มันอึดอัดเหลือเกิน
(นักมวยปล้ำที่รู้จักหลายคนมีรอยสัก และเขาก็มีวัฒนธรรมว่าการเข้าออนเซ็นมันสบาย มันรีแลกซ์ หลายคนยังเสียใจที่สักจนวันนี้ คือเขาซีเรียสเรื่องพวกนี้กันมากๆ แม้จะมีสถานที่ที่อนุญาตให้คนสักเข้า แต่เขาก็ไม่นิยม หรือไม่อยากไป เพราะมันไม่ใช่แค่กฏ มันอาจกระทบความรู้สึกคนที่อยู่ในสถานที่นั้นๆก็ได้)
แต่การมาในเมืองไทย พวกเขาสามารถทำทุกอย่างที่อย่างทำบางคนนี่ถึงกับนวดทุกวัน ไปทะเลทันทีที่มีโอกาส อะไรก็แล้วแต่ที่เขาทำไม่ได้ในประเทศเขา นักกีฬาต่อสู้ส่วนใหญ่จะชอบทะเลมาก เป็นที่ที่พวกเขาได้แช่น้ำเท่าที่ต้องการ และทะเลสวย นักมวยปล้ำหญิงบางคนก็มาทะเลที่ไทยและถ่ายภาพชุดว่ายน้ำกลับไปขาย ฯลฯ ตอนนี้นักกีฬาหลายคนคอนเฟิร์มกับว่า “กรุงเทพฯ” คือสถานที่ที่พวกเขาอยากมามากที่สุด เพราะเขาเห็นถึงประโยชน์และสิ่งดีๆมากมายที่เขาจะได้รับ คนไทยสอนทุกอย่างที่รู้โดยไม่ปิดบัง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ
– เป็นแชมป์
สุดท้ายแล้วการสร้างชื่อ ก็เป็นสิ่งสำคัญในกีฬาต่อสู้ การสร้างเครดิทให้กับตนเอง แม้ว่าจะชนะในรายการที่เล็กแสนเล็ก แต่ขึ้นชื่อว่าชนะ มันย่อมเป็น “ข้อต่อรอง” อะไรบางอย่างได้กับอนาคตในการเข้าร่วมแข่งขันในญี่ปุ่น เชื่อไหมครับว่าค่ายมวยนั้นมีอยู่มากมายในเมืองไทย และก็จัดแข่งขันกันค่อนข้างถี่มาก ไม่ว่าจะเป็นตามสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน, หรือตามฟิตเนสมวยต่างๆ ที่มีนักกีฬาจากนานาประเทศเข้าร่วมแข่งขัน นักกีฬาญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นนักกีฬาที่น่ากลัวเสมอสำหรับทุก ๆ อีเวนท์
เอาเข้าจริง ๆ ในฐานะที่ทำงานในวงการกีฬาต่อสู้อย่างมวยปล้ำมานานพอสมควร ผมคิดว่ามักจะเป็นคนต่างชาติที่มาใช้ประโยชน์จากวงการต่อสู้ในเมืองไทย กลับกันผมมองว่าคนไทยยังใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ไม่เต็มที่ อาจเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ไม่เพียงพอ หรืออาจเพราะคนไทยในปัจจุบันไม่ค่อยให้ความสนใจกับกีฬาต่อสู้อย่างที่เคยเป็นในอดีต ตอนนี้ผมเห็นยิมมวยมีมากขึ้นในกรุงเทพ แต่ก็เป็นยิมประเภทลดน้ำหนักซะส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามผมมองว่าอย่างน้อยมันก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่ทำให้กีฬาต่อสู้เหล่านี้ยังมีอยู่ในประเทศไทยของเรา เพียงแต่อาจเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง
กีฬาต่อสู้เป็นสิ่งที่สนุกและไม่ใช่ความรุนแรง ผมเชื่อเสมอว่ามันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ที่อยู่ระหว่างการฟาดฟันของนักกีฬา และในโอกาสต่อ ๆ ไป ผมจะมาเขียนถึงนักกีฬาไทย ที่ไปประสบความสำเร็จ เป็นตำนานในประเทศญี่ปุ่นครับ
เรื่องแนะนำ :
– หลงรักนักมวยปล้ำ จะทำไงดี?
– Pro Wrestling Noah… ค่ายมวยปล้ำญี่ปุ่นที่ใกล้ล่มสลาย?
– มิติใหม่ของมวยปล้ำญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกา
– Masked World League โอลิมปิคของนักมวยปล้ำหน้ากากทั่วโลก
– DDT Ironman Heavymetalweight เข็มขัดแชมป์มวยปล้ำที่แม้แต่ไก่ย่างก็เป็นแชมป์มาแล้ว!?