จากไทเซน เดชิมารุ ถึงบากิ: ว่าด้วยปรัชญาชีวิตเรื่องชัยชนะและความพ่ายแพ้
วันนี้ขอคั่นรายการอีกสักหน่อยนะครับ หลังจากที่ตัดสินใจเปิดหัวซีรี่ส์ใหม่ “วิชายุทธ์ วิถีเซน” ไปแล้วและก็มีแฟนานุแฟนบางท่านในแวดวงนี้เท่าที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว มีเสียงตอบรับในทางบวก ว่าเอาอีกๆ เขียนอีกๆ ก็เลยกะว่าจะเขียนสลับๆ กันไปกับเรื่องชีวิตการไปอยู่ที่ญี่ปุ่น เดี๋ยวจบเรื่องชีวิตนักเรียนที่ญี่ปุ่นเมื่อไหร่ก็คงเข้าสู่ซีรีส์ใหม่เต็มตัวแน่ครับ
ก่อนอื่นจะขออธิบายก่อนว่าทำไมถึงตั้งชื่อซีรีส์นี้ว่า “วิชายุทธ์ วิถีเซน” จริงๆ แล้วมาจากชื่อหนังสือเล่มนี้ครับ The Zen Way to the Martial Arts ของพระอาจารย์ไทเซน เดชิมารุ (弟子丸泰仙) ซึ่งเป็นพระอาจารย์เซนในนิกายโซโต (曹洞宗)
ที่มา amazon.com
พระอาจารย์ไทเซน เดชิมารุ (弟子丸泰仙) ที่มา eiheizen.jimdofree.com
ตอนนั้นผมอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนยังเป็นนักศึกษาแถวๆ ท่าพระจันทร์ มีเพื่อนให้ยืมอ่านครับ ตอนนั้นเป็นฉบับแปลไทยในชื่อ “วิทยายุทธ์เซน” แปลจากภาษาอังกฤษ ซึ่งฉบับภาษาอังกฤษก็แปลจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสอีกที (คือพระอาจารย์ไทเซนนั้นเป็นคนที่เอาคำสอนเซนไปเผยแผ่แก่ฝรั่ง) ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อความนึกคิดและชีวิตของผมเป็นอย่างมาก มากขนาดที่ว่าหลังจากนั้นต้องไปเรียนดาบอิไอ แล้วก็เรียนไอคิโดพ่วงไปด้วย พอเรียนจบกลับมาเมืองไทย ก็ไปเรียนคาราเต้ได้สักพักหนึ่งแล้วก็ย้ายไปเรียนไอคิโด เรียนๆ หยุดๆ ตามจังหวะชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ แล้วก็หยุดที่แค่สายส้มสอง ทุกวันนี้เรียนบีเจเจครับ คำสอนในหนังสือดังกล่าวมีหลายสิ่ง แต่ความประทับใจที่ได้อ่านแล้วเป็นอิทธิพลผลักดันชีวิต คือข้อสรุปในดวงจิตที่อาจพรรณนาได้ดังนี้
- ชีวิตคนเราคือการต่อสู้ เราต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แพ้หรือชนะ เป็นหรือตาย บางทีมันแค่เสี้ยววินาทีเดียว
- ฉะนั้นเราต้องฝึกใจตนเองให้มีสติ
- อะไรก็ไม่ดีต่อการฝึกใจของตน เท่ากับการฝึกวิชาต่อสู้ การฝึกวิชาต่อสู้นี่แหล่ะคือหนทางฝึกจิตที่ดีที่สุดที่เราควรยึดถือเป็นสรณะ
- จงทำสิ่งต่างๆ โดยมุ่งจิตใจไปตัวการกระทำนั้นๆ ให้เต็มที่ มากกว่าจะต้องมานั่งคาดหวังผลลัพธ์ (เรียกว่า มุโชะโตกุ 無所得)
- จงทำสิ่งต่างๆ แบบปล่อยพลังให้เต็มที่ อย่ากั๊กไว้
- การฝึกใจของตนนั้น ไม่มีวันจบ “จนกว่าเราจะตาย”
แต่ด้วยความที่ตอนนั้นยัง “จิตไม่ว่าง” พอที่จะไปเรียนเรื่องวิชาต่อสู้ให้เป็นจริงเป็นจังได้ ก็ได้แค่เรียนหนังสือให้มันจบไป กับชีวิตการเรียนที่ลุ่มๆ ดอนๆ ในบางจังหวะ แต่แล้วมันก็มีจังหวะชีวิตที่ทำให้ได้รับทุนฯ มาเรียนที่ญี่ปุ่น ณ ตอนนั้นมันก็เลยกลายเป็นโอกาสที่จะ “ทำความฝันให้เป็นจริง”
ณ ตอนนี้ ความฝัน ณ ตรงนั้นก็บรรลุไปแล้ว จบไปแล้วกับดาบอิไอ ไปจนสุดหยุดอยู่แค่โชดัง (ทั้งที่จริงๆ ควรจะได้ถึงนิดัง) แต่มันก็เป็นแค่รูปร่างตัวตนหนึ่ง วิชาหนึ่งเท่านั้น ถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีโอกาสไปต่อก็พอส่ำนี่ (ไม่ใช่ละ 555) ก็คือต้องละ ต้องวางมันลง แล้วไปเริ่มใหม่กับอย่างอื่น
คุณผู้อ่านรู้ไหมครับว่า ผมกำลังพูดเรื่อง “อนิจจัง” (มุโจ 無常) อยู่นะครับ
สิ่งต่างๆ ในโลก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป…แล้วมันก็จะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาใหม่อีก ฉะนั้นตราบใดที่เราเกิดมาเป็นคนแล้วยังไม่ตาย (ในทางกายภาพ คือไม่หายใจละ) ชีวิตเราจะต้องพบกับการเกิดและตาย (ในทางจิตใจ เช่นการมีหวัง การสิ้นหวัง ความดีใจ เสียใจ ต่างๆ นานา หรือในทางสิ่งแวดล้อม เช่นความสำเร็จ ความล้มเหลว ชัยชนะ ความพ่ายแพ้) อยู่ทุกวันๆ เป็นเรื่องธรรมดา
ผมคิดว่าประเด็นที่ใหญ่สุดของปรัชญาชีวิต ก็คือเรื่องของการมีชีวิตนี่แหล่ะ เรื่องของความเป็นกับความตาย รองลงมาก็คือเรื่องชัยชนะกับความพ่ายแพ้ เพราะหลายครั้งเรื่องของชัยชนะกับความพ่ายแพ้นั้นถูกนำไปโยงกับเรื่องความเป็นกับความตาย เช่น “ชนะรอด แพ้ตาย” อะไรแบบนี้
“อยากรู้จักความพ่ายแพ้” 「敗北を知りたい」
นายโดเรี่ยน นักโทษประหารชาวอเมริกัน ได้กล่าวไว้ ก่อนที่เขาจะถูกแขวนคอ แต่ไม่ตาย แล้วลุกขึ้นมาฆ่าผู้คุมกับหมอชันสูตรศพตายแทน (ฮา)
ที่มา http://kankeinai.blog.jp
ครับ ผมกำลังหยิบยกวลีอมตะจากการ์ตูนเรื่องบากิ ภาคนักโทษประหารทั้งห้า ซึ่งการ์ตูนเรื่องบากินั้นเป็นการ์ตูนที่มีชื่อเสียงมากในโลกพันทิปว่าเป็นการ์ตูนที่คัลท์มาก คนเขียนก็กาวมาก แถมยังชาตินิยมชอบอวยศิลปะการต่อสู้ของชาติตัวเองสุดๆ บลาๆๆๆ แล้วก็จะเอาภาพจากการ์ตูนมาสปอยล์ไปล้อเลียนไปเป็นตอนๆ กันอย่างเอิกเกริก ครับ ผมเองก็เคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้จนเลิกอ่านเพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันชักจะออกทะเล ไม่สิ ออกนอกโลกไปแล้ว แต่ต่อมาผมก็ยังอุตส่าห์จะดูภาคนักโทษประหารนี้ฉบับอนิเมะในเน็ตฟลิกซ์อีกนะเอ้อ
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่ผมนั่งๆ นอนๆ ตอนหยุดยาวปีใหม่ แล้วก็มาเจอพิษโควิดอีกรอบจนเปิดปีใหม่มาไม่ได้ไปยิมเลยตั้งสองสัปดาห์แน่ะ จู่ๆ ก็มีบางสิ่ง “แว่บ” เข้ามาในหัวผมว่า
“ผมเข้าใจแล้วว่า ความหมายที่แท้ของคำว่า “ความพ่ายแพ้” นั้นคืออะไร?”
โดยเอาเหตุการณ์บั้นปลายของนักโทษประหารในเรื่องดังกล่าว สามในห้าคน มาเป็นสิ่งสะกิดใจนี่แล
นายโดเรี่ยนนั้น เป็นนักโทษประหารที่ชอบเอาชนะคนด้วยลูกไม้สกปรกแบบการสู้กันข้างถนน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีวิชากังฟูติดตัวในระดับที่ว่าเป็น “ศิษย์พี่” สำนักเดียวกับเรซึ ไคโอเลยด้วยซ้ำ มีอยู่ตอนหนึ่งพี่แกเล่นเจ้าคาโต้ศิษย์คาราเต้ชินชินไคจนหมดสภาพแล้วจับยัดกระสอบทราย แม้แต่อาจารย์โดปโปะยังโดนมันเล่นด้วยระเบิดจนหน้าแหก แต่พอโดน “ศิษย์น้อง” อย่างเรซึอัด พี่แกกลายเป็นเสียจริต เป็นใบ้บ้าปัญญาอ่อนไปเฉย
…ไม่คิดเหรอครับว่านี่คือตัวอย่างของคนที่ “อัตตา” ของตัวเองย้อนมาทำลายตัวเอง!!!
คนอย่างโดเรี่ยนเป็นคนยึดติดกับชัยชนะครับ ในแบบที่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองชนะแบบไม่สนวิธีการ ที่บากบั่นไปเรียนกังฟูถึงเมืองจีนก็แค่ว่าอยากได้วิชาต่อสู้มาเป็น “เครื่องมือ” อย่างหนึ่งในการเอาชนะและฆ่าคนเท่านั้นเอง พอถูก “ศิษย์น้อง” เอาชนะได้ ความรู้สึกที่ว่ารับไม่ได้กับการที่ตัวเองถูกศิษย์น้องคว่ำ มันเลยทำให้สติขาดผึง ถึงกับจิตหลุด เลยทีเดียว
การรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง การไม่ยอมรับความด้อยกว่าของตัวเองจนตัวเองล้มไปพร้อมกับอัตตาของตัวเองนี่หละ คือความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง กลับไปดูคาโต้ ขนาดปางตายออกมาจาก รพ. ยังลุกขึ้นมา “ว๊าก” ใส่โดเรี่ยนได้ ฉะนั้นถึงคาโต้เกือบตาย ยังไม่นับว่าเป็นความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง เพราะเขายังคิดลุกขึ้นสู้
ส่วนสเป็ค นักโทษประหารสุดโหดอีกคน หลังจากความพ่ายแพ้ที่โดนฮานายามะอัดเอาๆ จากร่างกายกล้ามเป็นมัดๆ เหมือนคนหนุ่ม กลับไปเหี่ยวกลายเป็นคนแก่ตามอายุที่แท้จริง…มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา…ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ จากที่แกเคยเป็นคนจิตใจฮึกเหิม ข้าแน่มาก พอแพ้ไปทีหนึ่งใจคงฟุบ พอจิตใจมันถอย กายก็เสื่อมตามจิตไปด้วย
ส่วนดอลย์ หนุ่มอังกฤษที่พูดประโยคเดียวกันก่อนจะนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าแต่ก็ไม่ตายแล้วลุกขึ้นมาต่อยผู้คุมตายแทนนั้น เขาได้เจอกับความพ่ายแพ้ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นรูปแบบที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาใหม่ได้
คนนี้เขาก็บอกว่า “อยากรู้จักความพ่ายแพ้” อีกคนละ ที่มา http://surippa78.moo.jp
ดอยล์นั้น หลังจากที่เรซึพามารักษาพยาบาลเป็นอย่างดีที่สำนักชินชินไค (เพื่อแทนคุณที่ดอยล์ยืนเฝ้าตัวเองตอนสลบให้) ซึ่งดอยล์ก็ตอบแทนน้ำใจศิษย์ชินชินไคที่บริจาคเลือดให้ ด้วยการบึ้มโรงฝึกเสียจนโอโรจิ คัตสึมิหายหล่อไปหน่อยนึง แล้วมาโดนอาจารย์โดปโปะต่อยรัวๆ เสร็จแล้วลากตัวให้มาเจอกับคัตสึมิเพื่อให้คัตสึมิ “ดัดนิสัย” ให้ดอยล์ได้สำนึกว่า คนอย่างตัวเองถ้าไม่เล่นของ ต่อยกันหมัดลุ่นๆ น่ะก็สู้ใครเขาไม่ได้ คัตสึมิ “ดัดนิสัย” ทั้งเตะทั้งต่อย ดอยล์ก็ดื้อด้านเหลือเกินจนคัตสึมิบอกว่ามันดื้อด้านด้านเหลือเกิน ทุบตียังไงก็แค่นั้น ให้ชนะมันไปละกัน ฉันยอมแพ้ก็ได้ ปรากฎว่าดอยล์กลับมาก้มหัวให้ หันมาญาติดีด้วย กลายเป็นเพื่อนกันเลิกจองเวรกันไป
ดอยล์นั้นสันดานเป็นคนดื้อด้านประเภทใครแรงมาก็แรงกลับ ผู้คุมจะชักปืนยิงใช่ไหมงั้นฆ่ามันให้ตายเลย แต่พอเจอกับคำว่า “ฉันยอมแพ้ละกัน” ของคัตสึมิ บวกกับการที่ได้สำนึกว่าที่ผ่านมา หากตัวเองไม่เล่นลูกไม้ก็ชนะใครไม่ได้ เมื่อรู้คิดถึงความอ่อนด้อยของตัวเอง บวกกับการ “รู้จักยอมถอย ไม่เอาชนะคะคานจนเกินไป” ของคัตสึมิ ในที่สุดก็ยอมละวางความอวดดื้อถือดีของตนเองได้ หันมาเป็นคนรู้จักยอมรับผู้อื่น ถามว่าดอยล์พ่ายแพ้ไหม ใช่ แต่ไม่ใช่แพ้โดยสิ้นเชิง คนอย่างนี้ ตราบใดที่รู้จักล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ยังไม่เรียกว่าพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
การกระทำของคัตสึมิก็เป็นสิ่งที่น่าศึกษาในเชิงปรัชญาชีวิตเช่นกัน คนเราบางครั้งการยอมถอยให้ก็อาจไม่ใช่ความพ่ายแพ้เสมอไป แต่อาจเป็นการ “แพ้เพื่อชนะ” ก็ได้
…ผมคิดว่า การ์ตูนเรื่องนี้ หากเราไม่สนใจ “กระพี้” ที่เต็มไปด้วยความโม้ กาว บ้าพลังตามจารีตประเพณีของการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว “แก่น” ของเนื้อหาที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อนั้น เต็มไปด้วยปรัชญาชีวิต หลักธรรมะเลยด้วยซ้ำ ผมต้องหาทางกลับไปอ่านแล้วขบคิดให้มากๆ ซะแล้ว
คุณผู้อ่านบางท่านอาจว่าผมคิดมากไปป่าว?
….ถ้าไม่คิดมากก็ไม่มีเรื่องมาเขียนให้ท่านได้อ่านหรอกครับ (ฮา)
เอาพอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อน ตอนหน้ากลับไปหาชีวิตนักเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วครับ จะพาเที่ยวน้ำตกมิโน่อีกรอบไปดูใบไม้เปลี่ยนสีนะครับ
ปล. ถ้าวันหนึ่งผมเขียนเรื่อง “เซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสู” สนใจอ่านกันไหมครับ?
เรื่องแนะนำ :
– บทความสาระ วิชาการ (ตรงไหน?) : ว่าด้วย “อาหารจีน” ในญี่ปุ่น
– ชีวิตการซูชิและสุราของข้าพเจ้า (2) อยู่ญี่ปุ่นมีอะไรให้ดื่มได้บ้าง
– ชีวิตการซูชิและสุราของข้าพเจ้า (1) เมื่อผมเสพติดซูชิหมุนร้อยเยน
– ชีวิตข้าวกล่อง Bento Life กับโรงอาหารที่รัก
– อยู่อำเภอมิโน่ เที่ยวน้ำตกมิโน่
#จากไทเซน เดชิมารุ ถึงบากิ: ว่าด้วยปรัชญาชีวิตเรื่องชัยชนะและความพ่ายแพ้