เราว่าอาหารร้านนี้เน้นความละมุนละไม กลมกล่อมนะ เรารู้สึกแบบนั้นกับเกือบทุกเมนู ไม่มีเนื้อย่างจานไหนรสชาติแหลมเด้ง ไม่เข้าพวกเลย ส่วนน้ำจิ้มเราก็ชอบทั้งสองแบบ จิ้มถ้วยนู้นบ้าง ถ้วยนี้บ้าง เพลินมาก รู้ตัวอีกที…เนื้อหมด! อยากเอาตะเกียบจิ้มหน้าเพื่อนแทน (><)
เดี๋ยวนี้ร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย เยอะมาก!! แต่ละร้านก็สรร (สร้าง) กันสุดๆ สร้างข้อดี ข้อเด่นให้กับร้านตัวเอง เพื่อดึงดูดลูกค้า …และในฐานะลูกค้าที่ดี เราก็ต้องสรร (หา) ร้านที่มีของกินถูกปาก รสชาติถูกใจกันด้วยใช่ไหมล่ะ งั้นวันนี้เรามาลองหนึ่งในเมนูที่สาวกคนรักอาหารญี่ปุ่นหลายๆ คนชื่นชอบกันดีกว่า เพราะนอกจากจะอร่อยแล้ว ก็จะแถมด้วยเสียงพูดคุย สนุกสนานเฮฮาของเพื่อนร่วมโต๊ะ นั่นก็คือ “ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น” หรือ Yakiniku (ยากินิคุ) นั่นเอง
วันนี้เรามากันที่ร้าน Sumi Tei Yakiniku Restaurant ในซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) แต่จะเข้าทางซอยสุขุมวิท 53 ก็ได้ เพราะอาคาร 9:53 ART MALL ที่ตั้งของร้านนี้อยู่ทางฝั่งซอยสุขุมวิท 53 พอดี แต่ก็สามารถทะลุซอยทองหล่อได้สบายๆ โดยร้านนี้จะเน้นในเรื่องของเมนูปิ้งย่างญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า Yakiniku (ยากินิคุ) เป็นหลัก มีเนื้อวัวเกรดเอให้เลือกชิมมากมายหลายเมนู แต่ก็มีเมนูเด็ดอื่นๆ อย่างข้าวยำเกาหลีที่ไปออกรายการทีวีมาจนเพื่อนๆ หลายคนต้องตามไปลิ้มลองกันมาแล้ว
เนื้อย่างที่จัดคราวนี้ เป็นเนื้อระดับ A5 (ระดับดีที่สุด) ทั้งหมดทุกเมนู มีใบเซอร์ฯ นะจ้ะ ไม่ธรรมดา (อาหารญี่ปุ่น เวลาที่เขาเสิร์ฟด้วยวัตถุดิบเกรดดีๆ เขามักจะมีใบการันตีคุณภาพ กันแบบเนี้ยแหล่ะ อย่างพวกเนื้อวัว หรือปลาทูน่า ไรเงี้ย) โดยคราวนี้ทางร้านได้เนื้อมาจากจังหวัดฮอกไกโด ดูได้จากใบเซอร์ฯ
เมนูวันนี้ก็มี Royal Tokusen Korubi ราคา 2,480 บาท อันนี้น่าจะเรียกได้ว่าไฮไลท์ของทางร้าน เป็นเมนูที่มีจำกัด ทางร้านเสิร์ฟจะแค่วันละ 6 ที่เท่านั้น (มีโทรสั่งจองล่วงหน้ากันด้วยหล่ะ ใครตั้งใจไปกิน ก็โทรไปจองไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวอด) สำหรับจานนี้นุ่มมาก ใส่ปากปุ๊บ! ละลาย ละลาย ละลาย …เลยจ้า
Tokusen Tomo Bara Thick Cut ราคา 1,580 บาท เมนูนี้เขาเสิร์ฟมา 2 แบบ อันนี้หันมาอีกทีหมด อย่างเซ็ง เนื้อที่เสิร์ฟมาชิ้นจะค่อนข้างหนาขึ้นมาหน่อย แต่ดูลายซะก่อน ได้อารมณ์ต้องเคี้ยวนางนิดนึง แต่ก็ละลายในปากด้วย เคี้ยวไปความหวานก็ละลายไป ได้รสสัมผัสดีนะ
(ช่วงนี้ทางร้าน Sumi Tei มีโปรโมชั่นรวมกับ TRUE ลูกค้าทรูการ์ดจะได้รับส่วนลด 50% สำหรับเมนูนี้ แล้วยังได้ลด 10% ค่าอาหารทั้งหมด แล้วยังเก็บใบเสร็จไว้ลุ้นตั๋วเครื่องบินไปกลับโอซาก้าได้อีกล่ะ โปรโมชั่นนี้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2016)
Tokusen Wagyu Rosu Thick Cut เนื้อจะมีความหนาขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็บั้งมาซะสวยงามนะ ทำให้ไม่เสียเวลาในตอนที่ย่าง นอกจากนี้เจ้าตัวนี้เขาจะมีซอสราดมาด้วย (ไม่ถึงกับหมักนะ แค่ราดหน้ามา) ราคา 580 บาท ดูหนาใช่ไหม แต่ว่าก็ละลายในปากนะจร้าาาา แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้เคี้ยวบ้าง ไรบ้าง ราคาย่อมเยากว่าเมนู Tokusen Tomo Bara Thick Cut น่าจะเป็นที่ปริมาณของชิ้นเนื้อ และเกรดของเนื้อด้วยกระมัง
Tokusen Tsubozuke (ต่อไปนี้ขออนุญาตเรียกว่าเนื้อโอ่ง 555) ราคา 980 บาท เมนูนี้ก็เป็นเนื้อที่ผ่านการปรุงรสมานิดหน่อย หอมเครื่องปรุงรสพอสมควร อันนี้เนื้อค่อนข้างนุ่ม เคี้ยวหนึบหนับไปเรื่อยๆ ใครที่ชอบเคี้ยวให้รสชาติค่อยๆ ซึมลงคอไปเรื่อย จัดเลย!!! แล้วผักที่รองมาก้นโอ่งนี่ เวลาย่างก็จะหอมซอสที่เขาหมักเนื้อมา ทำให้ผักมีรสชาติไปด้วยนะ คนกินผักอย่างไรช๊อบ ชอบ
ข้าวยำเนื้อจักรพรรดิภูเขาไฟ Imperial Ishigaki bibimbub (เมนูนี้ได้รางวัลจากรายการ The Dish เมนูทองเมื่อปีที่แล้ว ต้องชิมๆ) 280 บาท ราคาไม่แพงเลย สำหรับเมนูที่ได้รับการการันตีจากรายการทีวี ขอแอบมีความเป็นเกาหลี มาในร้านอาหารญี่ปุ่นนิดนึง ฮะ ฮะ รสชาติจัดจ้านค่ะ! ผักแต่ละอย่างมีรสชาติเป็นของตัวเอง พอคลุกเคล้ากับข้าวและเนื้อแล้วยิ่งทำให้เมนูนี้รสชาติเข้มข้นขึ้นอีก
ซุปใสที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเมนูนี้ เราชอบมาก ปกติไม่ค่อยชอบซุปใสญี่ปุ่น แต่ถ้วยนี้ละมุน (ตามสไตล์ร้านนี้จริงๆ) กลมกล่อมมาก อย่างเราเจอเมนูรสจัดๆ อย่างข้าวยำนี้เข้าไป ต้องร้องหาน้ำเลยทีเดียว แต่พอซดซุปถ้วยนี้เท่านั้นแหล่ะ เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเสิร์ฟมาคู่กัน ไม่ใช่แค่หายเผ็ดร้อน ยังทำให้รู้สึกว่าเมนูที่เพิ่งกินเข้าไปมันอร่อยขึ้นได้ด้วยแฮะ
ซุปลิ้น Special Spicy Gyutan Soup ราคา 280 บาท ออกแนวแซ่บเล็กๆ แต่ส่วนตัวแล้วคือ..เผ็ดไปหน่อย แหะ แหะ (ไม่กินเผ็ดค่ะ ไม่กินเผ็ด) แต่เพื่อนๆ ชอบกันนะ ใครชอบของแรงๆ จัดเลยเมนูนี้ แซ่บหลาย …อย่างไรก็ตามมีทางเลือกจ้า สำหรับคนไม่ชอบรสจัด แต่ชอบลิ้นวัว ก็มีเมนู Special Gyu Tan Soup ให้เลือกแทน ราคาเท่ากัน
มาจบที่อีกเมนู ของสายโหด (เพื่อนๆ คอแข็ง จัดแต่ของรสจัดจ้านจริงๆ) ข้าวต้มซุปเนื้อซี่โครง (Karubi Gukbap) มีให้เลือก 2 ขนาด (180 บาท กับ 320 บาท) 3 เมนูหลังนี่ กินไปก็อยากร้องหาซุปใสเอามาเพิ่มไว้สักหม้อ อร่อย กลมกล่อม และจัดจ้านดีนะ แต่สำหรับสายไม่แข็งอย่างเรา ข้าวสองคำ ซุปหนึ่งคำไปเรื่อย … ขณะที่สายโหดก็จ้วงกันต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย ก็ลิ้นวัวกับเนื้อซี่โครงนี่มันรสสัมผัสดีมากๆ อ่ะ เราได้แต่มองตาปริบๆ แล้วจัดเมนูย่างๆ ของเราต่อไป ฮะ ฮะ
ของย่างแต่ละเมนูมีเอกลักษณ์ของตัวเองดีนะ บางเมนูมีการบั้งเนื้อที่ต่างกัน ซึ่งก็ให้รสสัมผัสต่างกันแล้ว ทำให้เนื้อบางอย่างละลายหายไปเลยที่เข้าปาก บางอย่างต้องเคี้ยวนิดนึง บางอย่างก็เคี้ยวนานหน่อย แล้วแต่เมนูจริงๆ บางเมนูราดซอส บางเมนูไม่ราด รสชาติก็ต่างแล้ว จิ้มวาซาบิก็เปลี่ยนรสไปอีก เปลี่ยนน้ำจิ้มก็ได้อีกรสชาติหนึ่ง เรารู้สึกว่ากินยากินิคุร้านนี้นี่สนุกดี นอกจากวัตถุดิบจะเกรดเอแล้ว เขาจะสร้างสรรค์รสชาติ ปรุงรสมาให้อีก แล้วเรายังสามารถเลือกปรับรสได้เองตามชอบอีกด้วยวาซาบิ และน้ำจิ้ม
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ยากินิคุถ้ากินกับวาซาบิ รสชาติจะบรรเจิดขึ้นมา แปลกไปอีกแบบ อยากให้ลองนะ อย่างที่ร้าน SUMI TEI เนี่ยก็มีวาซาบิไว้กินคู่กับเนื้อย่าง แต่ที่นี่เขามีวาซาบิสูตรพิเศษ เห็นว่าใช้วาซาบิ 2 ชนิดมาผสมกันล่ะ พอลองชิมดูแล้ว รสชาติก็นัวๆ ดี ไม่เผ็ดร้อนโอเว่อร์เหมือนวาซาบิดอง หรือฉุนเท่าวาซาบิสด ทำให้กินกับเนื้อย่างได้ดี ไม่ทำให้เนื้อย่างพระเอกของเราด้อยค่าลงแต่อย่างใด เพื่อนๆ คนไหนมากินที่ร้านนี้เห็นวาซาบิเคียงมา ก็อย่าเมินกันเพราะคิดว่าไม่มีซูชิ ซาซิมิซะหน่อย ให้มาทำไมก็ไม่รู้นะ ลองดูๆ …ย่างเนื้อพอสุก ป้ายวาซาบินิดนึง จิ้มน้ำจิ้ม แล้วลองละเลียดดูว่าเคี้ยวแล้ว ได้รสที่ชอบไหมนะ (^^)
น้ำจิ้มมี 2 แบบให้เลือก แบบแรกเป็นน้ำจิ้มเนื้อย่างแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมแต่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน แบบที่สองเป็นแบบฝรั่งหน่อย มีกลิ่นของพาสลีย์ ก่อนชิมคิดว่ารสจะแปลกๆ ซะอีก พอชิมแล้วกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ออกเปรี้ยวเค็มเล็กๆ รสเบาๆ ที่สำคัญกลิ่นดีมาก ส่วนตัวแล้วเราว่าทั้งสองแบบรสชาติดีคนละอย่าง แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ให้รสชาติที่ความละมุนละไม (เราว่าอาหารร้านนี้เน้นความละมุนละไม กลมกล่อมนะ เรารู้สึกแบบนั้นกับเกือบทุกเมนู ไม่มีเนื้อย่างจานไหนรสแหลมเด้ง ไม่เข้าพวกเลย) เราชอบทั้งสองแบบเลย จิ้มถ้วยนู้นบ้าง ถ้วยนี้บ้าง เพลินมาก รู้ตัวอีกที…เนื้อหมด! (><)
ถ้าอยากปิดท้ายด้วยของหวาน ก็มีให้เลือกหลายอย่าง แต่… ไอศกรีมกูลิโกะในตู้มันช่างดึงดูดใจ ร้านนี้มีไอศกรีมกูลิโกะเสิร์ฟจ้า ไม่ต้องไปเดินทางซื้อให้เมื่อยตุ้ม รู้สึกว่าราคาจะแพงกว่าข้างนอกนิดนุง แต่มีให้เลือกทุกรสเลย แหล่ม!
ส่วนตัวแล้วคิดว่า Yakiniku นี่ต้องกินกันหลายๆ คนถึงจะ “อร่อย” เพราะถึงเนื้อจะเลิศ น้ำจิ้มจะล้ำ แต่ถ้าจะมาคีบๆ เงียบๆ เหงาๆ อยู่คนเดียว ยังไง๊ ยังไง ก็กลืนไม่ลง … ดังนั้นเวลาแวะไปทานที่ร้าน SUMITEI YAKINIKU RESTAURANT นี่ก็ลากกันไปทั้งครอบครัว ชวนไปทั้งแผนก เพื่อนซี้ขี้เม้าท์หลายๆ คน หรืออย่างน้อยก็ชวนสุดที่รักไปด้วยล่ะ กินยากินิคุคนเดียว…มันไม่เจิด!! ฮ่าๆๆ
อ้อ! สำหรับท่านที่ไม่กินเนื้อวัว ทางร้านเขามีเมนูหมูด้วย อย่างเนื้อหมูดำ (Kurobuta) ไรเงี้ย เขาก็มีนะ ลองไปชิมกันดูละกัน สำหรับมื้อนี้ขออิ่มก่อนล่ะค่ะ (^^)
SUMI TEI YAKINIKU RESTAURANT
ที่ตั้ง : ทองหล่อซอย 9 (หรือจะเข้าทางสุขุมวิท 53 ก็ได้) ตึก 9:53 ART MALL ชั้น 3
เปิด/ปิด : จันทร์-ศุกร์ (17.00 – 22.00 น.) / เสาร์-อาทิตย์ (11.30 – 14.00 น., 17.00 – 22.00 น.)
โทร : 02 662 5817-8
website : http://www.sumiteiyakiniku.com/
Facebook : https://www.facebook.com/sumiteiyakiniku/
รับบัตรเครดิต แต่มีโปรร่วมกับบัตรกสิกร บัตร Wisdom10% ถ้าสั่งอาหารมูลค่าเกิน 2,000 บาท ได้รับ Tokusen Sirloir Testing Portion มูลค่า 960 บาท ฟรี
ราคายังไม่รวม 7% VAT และ 10% Service Charge นะจ้ะ
Sumitei ไม่ใช่ร้านเปิดใหม่นะ เปิดมานานพอสมควรแล้วตั้งแต่ปลายปี 2014 ลูกค้าก็มีทั้งคนญี่ปุ่น และคนไทย แต่ละโต๊ะมีความเป็นส่วนตัว แถมยังมีห้อง private ที่สามารถโทรจองล่วงหน้าได้ด้วย ไม่มีค่าบริการพิเศษ 8 – 12 คนนั่งได้สบายๆ แล้วถ้าแก๊งค์ไหนเป็นนักดื่ม ที่นี่มีเบียร์ Asahi ให้บริการ และเร็วๆ ก็จะมียี่ห้ออื่นที่เขาเข้ามาเสริมทัพ (พนักงานว่าต้องรอติดตามแต่รสชาติดีแน่นอน) พวก Shochu, Umeshu เครื่องดื่มอื่นๆ เขาก็มี แต่ถ้าใครชอบไวน์ ที่นี่เป็นร้านเนื้อย่างจ้า เขาจึงเสิร์ฟแต่ไวน์แดงเท่านั้น อย่างไรเสีย รสนิยมการดื่มแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ลูกค้าของที่นี่จึงสามารถพกสารพัดเครื่องดื่มมาเปิดขวดกันได้นะ 500 บาท จะเปิดกี่ขวดก็ได้ จัดไปเลยตามที่ท่านเห็นสมควร