[ดราม่าฤดูฝน] สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ซาลารี่แมน…เริ่มจากคุณแม่ลูกสองคนนีง เปิดเกมดราม่าโดยทวิตเตอร์ชีวิตของครอบครัวเธอให้ชาวเน็ตญี่ปุ่นได้รับรู้…
ตอนนี้ถือเป็นฤดูฝนที่ญี่ปุ่น… เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ใจคนก็เช่นกัน
เดือนที่ผ่านมา มีบทความของ Nikkei Business ที่เหล่าชาวเน็ต SNS กระพือเรื่องให้ใหญ่โต จนโลกแห่งวงการผู้ใช้แรงงานเจแปนลุกเป็นไฟ
Round One เมื่อลูกจ้างร้องขอความเป็นธรรม
เริ่มจากคุณแม่ลูกสองคนนีง เปิดเกมดราม่าโดยทวิตเตอร์ชีวิตของครอบครัวเธอให้ชาวเน็ตญี่ปุ่นได้รับรู้…
[สามีดิฉันพอกลับไปทำงานได้เพียงสองวันหลังจากใช้วันลาเลี้ยงดูบุตร โดนคำสั่งจับย้ายไปคันไซ พวกเราเพิ่งปลูกบ้านใหม่ ลูกกำลังจะเข้าโรงเรียนเดือนหน้า แบบนี้มันสมควรหรือคะ !?]
บ้านของตัวเอกของเรื่องเพิ่งมีลูกคนที่สองต้นปี สามีก็เห่อลูกมาก เลยขอแผนกบุคคล (HR) ว่าจะขอลาไปเลี้ยงลูก 25 มีนาจนถึง 19 เมษา (จากที่นับดูน่าจะหยุด 15 วันทำการ) ซึ่งหลายๆ บริษัทญี่ปุ่นก็ออกมาสนับสนุนระบบผู้ชายลาหยุดเลี้ยงลูกอยู่พอตัว
HR ก็โลกสวยสนับสนุนเพราะไม่เคยมีชายคนไหนในสาขาโตเกียวขอลามาก่อน… (โดยคงยังไม่เอ่ะใจว่าหัวหน้าเขาคิดไง)
หลังจากสามีลางานไปเล่นกับลูก จัดการย้ายบ้านเพื่อรองรับครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้น พร้อมกับลงทะเบียนส่งลูกคนโตเข้าโรงเรียน
วันที่ 22 เมษาเขาก็กลับมาทำงานปกติ…
แต่พอ 23 เมษากลางวัน… คำสั่งง่ายๆ ก็ผ่าลงมาให้ชายคนนี้ย้ายไปทำงานที่คันไซเฉยเลย โดยให้ไปประจำการตั้งแต่ 16 พฤษภา
หากใครเคยทำงานที่ญี่ปุ่น จะพบประเพณีอย่างหนึ่งว่า บริษัทชอบจับพนักงานย้ายฝ่าย ย้ายตำแหน่งบ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้ถนัดหรือรู้งานที่ๆ จะไปใหม่มาก่อนเลย! ด้วยเหตุผลว่าพนักงานจะได้ไม่เบื่อ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และหากอยู่ที่เดิมนานไป อาจหาทางโกงบริษัทได้
หากเราเป็นลูกจ้างญี่ปุ่นจริงๆ การยอมรับเรื่องย้ายทีม ย้ายที่ทำงาน เปรียบเสมือนมาตรา 44 ที่เราต้องปฎิบัติตามเท่านั้น ไม่มีหือ มีอือ อะไร
แต่แน่นอน สามีที่ทำงานบริษัทนี้มากว่าสิบปีก็มีหัวใจ… เขาชี้แจงกับหัวหน้าว่ายังไงก็ต้องยอมรับคำสั่ง แต่ด้วย timing แบบนี้ ครอบครัวตั้งตัวไม่ติดจริงๆ เพิ่งขึ้นบ้านใหม่ไม่ถึงเดือน ลูกคนแรกก็จองโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ส่วนลูกอีกคนก็เพิ่งเกิด… สองสามีภรรยาอดคิดไม่ได้ว่า มันต้องเกิดจากความไม่พอใจที่ผู้ชายลาหยุดไปดูแลลูกหรือเปล่า
เกมส์เรื่องเข้มข้นขึ้น เมื่อคุณสามีขอต่อรองกับทั้งหัวหน้า ทั้ง HR ว่าขอเวลาเพิ่มสักหน่อย ไหนจะจัดการเรื่องบ้าน เรื่องถ่ายโอนสอนงาน…
แต่ท้ายสุดบริษัทก็ไม่อนุญาต… สามีไม่รู้จะทำไง มีร้องไห้ที่บ้านอยู่หลายครั้ง จนตัวสามีก็เลยต้องหงายไพ่ใบสุดท้ายที่ลูกจ้างจะทำได้
… [ลาออก] …
และบริษัทก็ตอบรับโดยดี คุณสามีได้สิทธินั้นในวันที่ 31 พฤษภาคม… (เรียกว่าแทบไม่ต้องดึง ไม่มียื้ออะไรกันเลย)
Round Two เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ลูกจ้าง เปิดแลก
เมื่อถึงวันที่ 1 มิถุนายน… ภรรยาคงเห็นว่าไหนๆ ผัวเราก็ลาออกมาจากบริษัทนี้แล้วคงไม่มีอะไรจะสูญเสีย เลยเปิดการ์ดหมดหน้าตักแฉแม่งหมดทุกเหตุการณ์ ชื่อบริษัท ชื่อฝ่าย สาขา !! บริษัทนั้น (ผมขอไม่บอกชื่อนะครับ แต่ท่านผู้อ่านทราบแน่ เด๋วหาว่าโฆษณาให้โดย marumura ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์ ^^) มีสโลแกนบริษัทว่า [บริษัทที่ทำให้คนสมหวังด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์] – 「#カガクでネガイをカナエル会社」
เท่านั้นแหล่ะพอแท็กชื่อ และส่งเรื่องออกไป เหล่าชาวเน็ตก็สวมวิญญาณนักสืบโคนันผสมนักเลงคีย์บอร์ด ขุดคุ้ย วิเคราะห์จน SNS ลุกเป็นไฟ… มีไลค์ทะลุ 5 หมื่น และพอรวมทุกช่องทาง นักข่าวนับว่ามีคน view เรื่องนี้เกิน 5 ล้านคน !!
เรื่องเริ่มมันส์ เมื่อพลังของโซเชียลทำงาน เหล่าลูกจ้างหัวอกเดียวกันส่งคอมเม้นท์ให้กำลังใจสองสามีภรรยา พร้อมช่วยส่งข้อมูลแนวกฎหมายช่วยทั้งคู่
อีกกลุ่มก็ประเภทนักเลงคีย์บอร์ดก็เม้นมันส์เลยว่า [บริษัทนี้ก่อนจะใช้วิทยาศาสตร์ทำให้คนสมหวัง ช่วยทำให้พนักงานสมหวังก่อนเถอะ]
ส่วนกลุ่มบ้าพลังนักสืบก็วิ่งเข้าไปที่เว็บไซต์บริษัท ยิง inbox โพสต์แท็กช่วยโฆษณากึ่งประจานบริษัทกันสุดซอย
“ทำไมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเว็บไซต์บริษัทยังมีเขียนเรื่อง ระบบลาหยุดเลี้ยงลูกของพนักงานชาย ทำไมมันหายไปแล้วล่ะ… เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่”
“บริษัทเรามีแผนและเพิ่งเปลี่ยน โครงสร้าง เมนูเว็บ ไม่ได้เจตนาหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดๆ” (บริษัทก็ออกมาสวนทันควัน)
“พนักงานท่านนี้ เคยมีความประพฤติอะไร หรือความเห็นแย้งกับบริษัท?”
“จริงหรือไม่ที่ พนักงานอุตส่าห์ขอใช้วันหยุด เพื่อจะได้ต่อเวลาก่อนโดนย้ายไปคันไซแต่โดนปฎิเสธ?”
นักข่าวเริ่มเจาะข่าว ให้เรื่องมันดราม่าขึ้น
“ทุกเรื่องที่ปรากฎบน SNS มาจากภรรยาของพนักงานทั้งหมด ทางเรายังดำเนินการหาความจริง”
Round Three และชีวิต ก็ย่อมต้องเดินต่อไป
อย่างไรก็ตาม สามีก็ลาออกเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้แต่เรื่องราวให้ทั้งลูกจ้างนายจ้างในยุคเรวะของญี่ปุ่น ต้องขบคิดต่อไป
หากตอนนี้ใครเข้าไปที่เว็บไซต์ของบริษัทนี้ (ที่จะใช้วิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้คนสมหวัง) ก็จะชี้แจงเรื่องนี้เต็มหน้าไปหมด
ส่วนครอบครัวลูกจ้าง ก็กำลังรับคำขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกแชร์ที่ทำให้ทั้งคู่แอบดังข้ามคืน
ส่วนคนข่าว ก็จับทั้งคู่มาสัมภาษณ์แบบ exclusive พร้อมทั้งยังนำข้อมูลว่าบริษัทญี่ปุ่นในยุคนี้ สนับสนุน work life balance ให้ครอบครัวลูกจ้างอย่างเราๆ มากน้อยแค่ไหน…
สำหรับผู้เขียนเอง… เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าไว้ใจทาง (ถึงแม้บริษัทเขียนทั้งกฎ สิทธิให้เราสวยงามแล้ว) อย่าวางใจคน
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ ? เคยเจอดราม่ากันไหม
เรื่องแนะนำ :
– [ทดความคิด] ฉันอยู่นี่ ศัตรูที่รัก
– [ทดความคิด] ขอเวลาอีกไม่นาน ญี่ปุ่นจะได้ปฏิวัติ
– [เรื่องสั้น] เพราะคนมันต้องมีฝัน
– [ทดความคิด] และเราก็มาถึงวันนี้ … วันลิขิตชะตา…
– [ทดความคิด] “เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น” แล้วคุณจะรักกับสิ่งที่เรียกว่าปัจจุบัน