ในหนังเรื่อง Last Samurai ตอนฉากท้าย ๆ ของเรื่อง ผู้เขียนชอบประโยคนึงมาก เมื่อยุคซามูไรสิ้นสุดลง “ประเทศก็เหมือนกับคน ว่ากันว่ามันก็มีชะตากรรมของมันเอง”
ในหนังเรื่อง Last Samurai ตอนฉากท้าย ๆ ของเรื่อง ผู้เขียนชอบประโยคนึงมาก เมื่อยุคซามูไรสิ้นสุดลง “ประเทศก็เหมือนกับคน ว่ากันว่ามันก็มีชะตากรรมของมันเอง”
เฟสบุ้คของผมอาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่อนคนไทยอยู่ในญี่ปุ่น อเมริกาและออสเตรเลีย มีภาพที่พวกเขาถ่ายรูปกับซองไปรษณีย์ ซองที่บรรจุกระดาษแผ่นเล็กๆ กระดาษที่เขียนความหวังของประเทศเรา ให้กลับเข้าสู่ถนนประชาธิปไตยอีกครั้ง มีเพื่อนของผมคนนึงเขาทำงานที่โตเกียว โพสต์ว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” (อะไรจะดู brave heart เบอร์นี้)
ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 1889 เกาะเล็กๆ แห่งนีงริมมหาสมุทรแปซิฟิก มีรายการที่ตัดสินชะตากรรมชีวิตของคนในชาติตัวเอง โดยมีเหตุการณ์หาตัวแทนเข้าสภา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ของชาติ “ญี่ปุ่น”
หากมนุษย์โลกประชาธิปไตยในวันนี้เข้าไปอ่านประวัติศาสตร์การหาผู้แทนครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่น เราคงแปลกใจไม่น้อย
พวกเขาเปิดให้คนที่มีสิทธิหาตัวแทนในสภา ต้องเป็นผู้ชาย อายุ 25 ขึ้นไปและต้องเสียภาษีให้รัฐเกิน 15 เยนต่อปี
จากเว็บไซต์ ประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่น ประมาณกันว่า 15 เยน ของเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วน่าจะประมาณ 600,000-700,000 เยนในตอนนี้ หรือหมายความว่าคนในวันนั้นที่จะมีสิทธิมีเสียงได้ ต้องจ่ายภาษีประมาณ สองแสนถึงสองแสนสามหมื่นบาท และต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น ซึ่งในปี 1889 จะมีประชาชนเพียงแค่ 1% กว่า ๆ ของญี่ปุ่นเท่านั้น ที่เข้าข่ายจะมีสิทธิออกเสียง (อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไทยทำแบบนี้บ้าง จะเป็นยังไง)
รัฐบาลสมัยนั้นคงมีแนวคิดว่า…. หากคนที่จะมีสิทธิตัดสินชะตากรรมของประเทศ ควรจะเป็นคนที่เสียภาษี เพราะพวกเขาจะได้มีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง หากคุณไม่เคยแม้แต่จะต้องจ่ายเงินให้กับรัฐแม้แต่บาทเดียว คุณก็ไม่คู่ควรที่จะมีสิทธิมากำหนดชะตากรรมของประเทศชาติ !!?
แต่แน่นอน ความคิดนี้ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เราให้คนแค่ไม่ถึงสองเปอร์เซนต์ของประเทศจะมาลิขิตชะตาชาติของเรา คนอีกครึ่งประเทศที่เป็นสตรีญี่ปุ่นถึงพวกเขาแทบไม่มีใครเสียภาษี แต่มันแสดงถึงความไม่เท่าเทียมอย่างแรง เหล่าสตรีมีการรณรงค์กันว่า เหตุใด ลิขิตความเป็นไปของญี่ปุ่นจะต้องเป็นแค่ผู้ชาย เหตุใดปลายพู่กันของสตรี จะสะท้อนชะตาชีวิต และความเป็นไปของบ้านเมืองของประเทศที่พวกเขาอยู่ไม่ได้
ขนาดประเทศญี่ปุ่นที่ใคร ๆ เข้าใจว่าเจริญรุ่งเรือง มีความคิดสู้คนตะวันตกได้ แต่กลับมีระบอบการเมืองที่ดูอนุรักษ์นิยมและปิดกั้นความเป็นเสรีอย่างมาก…
คนรายได้น้อยหรือเหล่าสตรีญี่ปุ่น ต้องอดทนเกินครึ่งศตวรรษ… จนในปี 1945 หลังสงครามโลกจบลง ดอกไม้ประชาธิปไตยที่พวกเรารู้จักทุกวันนี้ ก็บานในประเทศญี่ปุ่นเต็มตัว ผู้ชาย ผู้หญิง หนุ่ม แก่ ยากจนร่ำรวย ได้มาอยู่บนความเท่าเทียมกันในที่สุด
นี่คือโปสเตอร์มีข้อความแสดงถึงความดีใจที่ ผู้คนได้มีส่วมร่วมสร้างประเทศ “ญี่ปุ่นใหม่” .. สัญลักษณ์พิราบขาว สตรีลุกขึ้นยกมือ จนนี่กลายเป็นสิ่งพิมพ์ประวัติศาสตร์ในหน้าการเมืองของญี่ปุ่นจนถึงวันนี้….
เหตุผลที่ผู้เขียน อยากหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าในวันนี้… ก็เพราะว่าทุกท่านคงรู้กันว่า ในวันที่ 24 มีนาที่จะถึงนี้ คนไทยเอง ก็กำลังเข้าสู่วันกำหนดชะตากรรม “ประเทศไทยยุคใหม่” เช่นเดียวกัน
พวกเรามีความโชคดีกว่าญี่ปุ่นอย่างนึง ที่เราไม่เคยโดนจำกัดสิทธิสตรี เราไม่เคยกีดกั้นคนรายได้น้อยมาลิขิตชะตาของประเทศ แต่เราอาจโชคร้ายที่ประชาธิปไตยของเรา ต้องปะทะกับเหตุการณ์นอกกรอบกติกา กติกาที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยมาตลอดเกือบ 80 ปี
ท้ายที่สุดนี้… ผู้เขียนคงไม่ก้าวก่ายความคิดของผู้อ่านในเรื่องการเมืองของแต่ละท่าน… เพียงแค่อยากจะบอกว่า…
“ประเทศก็เหมือนกับคน ว่ากันว่ามันก็มีชะตากรรมของมันเอง”
และชะตากรรมนี้… คุณ… กำลังจะเขียนมันขึ้นมาอีกครั้งในวันที่ 24 มีนาคม!!
เรื่องแนะนำ :
-[ทดความคิด] “เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น” แล้วคุณจะรักกับสิ่งที่เรียกว่าปัจจุบัน
– [ทดความคิด] เหตุผลที่ K ซังซื้อหวยไทย
– เพราะทุกความพิเศษ ล้วนมีปมที่เจ็บปวด… Kento Momota
– [ทดความคิด] เสียงครวญของคนรายได้ สิบล้านเยน
– (ทดความคิด) ปลุกความเป็นโคนันในตัวคุณ คดีช็อคโลกจากตำนานสู่ดราม่า “เดอะ กอส์น”
– กูมี… บอกไปสิ เราก็มีของดีแบบญี่ปุ่น (Based on True Story)