ความสมจริงในละครญี่ปุ่น…ในยุคปัจจุบันนี้ละครญี่ปุ่นจะอยู่ในประเภท Trendy Drama ที่มีลักษณะของเนื้อหาที่อิงกับโลกความเป็นจริง ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตประจำวันของคนในสังคม ละครญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญของความสมจริงเป็นอย่างมาก ก็เลยขอหยิบยกความสมจริงที่เห็นได้ในละครญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟังค่ะ
ในยุคปัจจุบันนี้ ละครญี่ปุ่นจะอยู่ในประเภท Trendy Drama ที่มีลักษณะของเนื้อหาที่อิงกับโลกความเป็นจริง ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตประจำวันของคนในสังคม ละครญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญของความสมจริงเป็นอย่างมากค่ะ ก็เลยขอหยิบยกความสมจริงที่เห็นได้ในละครญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟังค่ะ จะมีอะไรบ้างตามมาอ่านกันเลยค่ะ
1. No make up
นักแสดงละครญี่ปุ่นมักจะไม่แต่งหน้าเข้มค่ะ จะแต่งแบบอ่อนๆ หรือแบบชนิดที่เรียกว่า Make up no make up “แต่งให้ดูเหมือนไม่แต่ง” นั่นเอง แต่สำหรับบางเรื่องก็ No make up จริงๆ ค่ะ ขอยกตัวอย่างนางเอกเรื่อง “Keizoku2 SPEC” รับ บทโดยเอริกะ โทดะ ในเรื่องเธอต้องมารับบทเป็นตำรวจสาวยอดอัจฉริยะ จบจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ไม่สนใจเรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องวิทยาศาสตร์ พลังเหนือธรรมชาติ คดีต่างๆ และเกี๊ยวซ่า เป็นคนไม่สนใจในความงามของตัวเองเลย ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับภาระและหน้าที่
ดังนั้นเธอจึงเป็นผู้หญิงที่ไม่รักสวยรักงาม หน้าก็ไม่แต่ง แม้แต่ผมก็ยังไม่หวีเลยค่ะ! จากบทนี้สาวเอริกะถึงขั้นทุ่มทุนไม่แต่งหน้า! หน้าที่เราเห็นนี้คือหน้าสดไร้เครื่องสำอางค่ะ แต่ก็อาจจะมีแต่งบ้างเล็กน้อย อย่างพวกทาแป้งฝุ่น ทาลิปมัน ให้ดูแต่พองาม แม้ในเรื่องนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าแบบจัดเต็ม แต่ก็ยังเห็นถึงความสวย ความน่ารักของเธออย่างเป็นธรรมชาติ รวมกับบุคลิกในเรื่องที่เป็นสาวเพี้ยนๆ ฮาๆ ไม่ห่วงภาพลักษณ์อันสวยงามตามสไตล์นางเอกทั่วไป ทำให้คนดูต้องหลงรักไปกับละครเรื่องนี้เลยค่ะ ความสมจริงเรื่อง No make up นี้ ขอบอกว่า หน้าไม่ใสจริง ทำไม่ได้นะเนี่ย
2. ฉากสมจริง
พวกฉากตัดต่อ ฉาก CG หรือ CGI ฉากเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ของละครญี่ปุ่นถือว่ามีความสมจริงพอสมควรค่ะ ถ้าตัดสินใจในเกณฑ์ระดับของ “ละคร” ที่ฉายตามช่องโทรทัศน์ ส่วนใหญ่แล้วละครญี่ปุ่นจะมีแนวสืบสวนสอบสวนเยอะ ฉากที่ขาดไม่ได้เลยก็คือฉากบู๊ ฉากยิงกัน ฉากระเบิด ซึ่งฉากพวกนี้ถือว่าเป็นฉากปกติที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ เรื่องที่เนียนๆ หน่อย ขอต้องยกให้เรื่องนี้เลยค่ะ “Ando Lloyd A.I. Knows Love” เป็นเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์จากโลกอนาคตเดินทางมา ปกป้องหญิงสาวคนหนึ่ง เรื่องนี้ก็จะออกแนว Sci-fi ผสมกับความโรแมนติก ซึ่งในเรื่องก็มีฉาก CG ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ
รวมถึงละครแนวหมอค่ะ ในฉากผ่าตัด ละครญี่ปุ่นก็จะถ่ายให้เห็นเลยค่ะว่า พอลงมือผ่าตัดสิ่งที่หมอต้องเห็นคืออะไร เราเองก็จะเห็นไปตามหมอ หมอเห็นอะไร เราก็จะเห็นด้วย เรื่องที่ขึ้นชื่อได้ว่าสมจริงสุดๆ ก็คือเรื่องนี้เลยค่ะ “Iryu : Team Dragon” ฉากผ่าตัดนี่จะเป็นอะไร ที่ดุเดือดมาก จะไม่มีการฉายภาพไปที่หมอ และมือหมอที่กำลังผ่าตัดอย่างเดียว แต่กล้องจะถ่ายเลยไปยิ่งกว่านั้นค่ะ เลยไปจนถึงตับ ไต ไส้ พุงเลยทีเดียว (ขออนุญาตไม่ลงภาพนะคะ เกรงว่าจะสร้างความหวาดเสียวมากเกินไป) อาจจะดูน่ากลัวบ้าง แต่พอได้เห็นของที่สมจริงแบบนี้ มันเหมือนกับว่าเราได้ความรู้ด้านการแพทย์ไปในตัวค่ะ ได้รู้เกี่ยวกับการผ่าตัด ใครที่สนใจอยากเป็นหมอ ลองดูละครพวกนี้ดูค่ะ ได้ความรู้เยอะเลย
3. การแต่งกายสมจริง
ละครญี่ปุ่นจะฉายเป็น Season หรือฤดูค่ะ มีทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ใบไม้ผลิ ร้อน และใบไม้ร่วง จากการฉายละครเป็นฤดู สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากละครญี่ปุ่นคือ “การแต่งกายที่สมจริง” ค่ะ ไม่ได้เน้นแค่ว่าเสื้อผ้าต้องสวยหรู อินเทรนด์สุดๆ แต่จะเน้นให้สมจริงตามกาลเวลาค่ะ ถ้าละครที่ออนแอร์ช่วงฤดูหนาว นักแสดงในเรื่องนั้นๆ ก็จะใส่เสื้อผ้าหนาๆ มีผ้าพันคอ เสื้อโค้ท สวมถุงมือ แบบให้เห็นกันเลยว่า นี่มันหน้าหนาวจริงๆ นะจ๊ะ พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มใส่เสื้อผ้าบางๆ กันแล้วค่ะ ลองนึกภาพดูสิคะว่า ถ้าเป็นฤดูร้อน แต่ยังใส่เสื้อผ้าหนาๆ อยู่ มันก็ดูแปลกๆ คนดูอาจไม่เชื่อ และดูไม่อิงกับเวลาปัจจุบันอย่างแท้จริงค่ะ อาจจะดูเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยจริงๆ
รวมถึงการใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสถานที่ เช่น ถ้าอยู่บ้าน ก็แต่งตัวแบบอยู่บ้านค่ะ ไม่ใช่แต่งแบบว่ากำลังจะออกไปงานดินเนอร์ งานแต่งงาน หรืองานบายเนียร์ที่ไหน
4. พล็อตสมเหตุสมผล
พล็อตในละครญี่ปุ่นจะผูกขึ้นมาตามเหตุและผลเป็นหลัก ถึงแม้ว่าในตอนจบจะดูเวอร์ๆ ไปสักนิด แต่มันก็มีที่มาที่ไปที่จะมาอธิบายถึงผลที่ออกมา อย่างเช่นตอนจบที่ตัวละครมักจะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย แต่เกิดจากความพยายามอย่างถึงที่สุด ทำให้ปาฏิหาริย์ที่ว่าเกิดขึ้นมาได้
แต่ใช่ว่าละครญี่ปุ่นทุกเรื่องจะมีแค่พวกพล็อตที่ว่า “ใส่ความพยายามเข้าไปสิ เดี๋ยวนายก็จะทำสำเร็จเอง” เรื่องที่ใส่ความพยายามให้ตายก็ไม่สำเร็จก็มีค่ะ เช่นเรื่อง “Yowakutemo Katemasu” เป็นเรื่องราวของทีมเบสบอลของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ไม่เคยชนะใครเลย วันดีคืนดีมีครูคนใหม่เข้ามาเป็นโค้ชให้ ปลุกพลังให้เด็กพวกนี้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้พวกเขาสู้แทบตาย พวกเขาก็ยังเป็น “ผู้แพ้” อยู่ดี ก็อย่างว่า ทีมเบสบอลที่ไม่ค่อยซ้อมอะไรเลย จู่ๆ จะมาชนะได้ยังไง สู้ให้ตายยังไงก็แพ้ แต่พวกเขาก็ยังคงยืนยันที่จะสู้ต่อไปเพื่อความสำเร็จ ซึ่งก็เหมือนกับชีวิตจริงตรงที่ว่า บางครั้งความเพียรพยายามก็ใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป แต่มันต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญ และความสามารถด้วย
5. ข้อมูลแน่น
ละครญี่ปุ่นจะมีแนวอาชีพเยอะมากค่ะ ซึ่งการทำละครแนวนี้สิ่งสำคัญคือ “ข้อมูล” ค่ะ อย่างเช่นละครแนวหมอ ในเนื้อเรื่องก็จะมีแทรกความรู้เข้าไปด้วยในแต่ละเคสการรักษา หรือจะเป็นละครแนวอาชีพอื่นๆ ก็ต้องเป๊ะค่ะ
เช่นเรื่อง “Attention Please” ละครเกี่ยวกับแอร์โฮสเตส ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนี้อย่างแน่นเอี๊ยด เล่าเรื่องราวตั้งแต่การสมัครเข้าไปเป็นแอร์ เป็น Trainee ทำ OJT จนถึงได้เป็นแอร์โฮสเตสอย่างเต็มตัว เรื่องนี้ได้สายการบิน JAL มาร่วมสร้างด้วยค่ะ
หรือจะเป็นเรื่อง “Hanzawa Naoki” เรื่องราวของนายธนาคารที่ต่อสู้กับความอยุติธรรม และหาเงิน 500 ล้านมาคืนให้ได้ ถ้าใครดูเรื่องนี้แล้วก็จะเห็นว่ามีศัพท์เกี่ยวกับธนาคารเยอะมาก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการทำงานของธนาคาร ที่ข้อมูลเป๊ะเวอร์อย่างนี้ก็เพราะว่าคนแต่งเรื่องนี้เขาเคยเป็นนายธนาคารมา ก่อนค่ะ!
รวมถึงแนวอาชีพอื่นๆ ละครญี่ปุ่นก็จะถ่ายทอดข้อมูลออกมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ละครญี่ปุ่นก็ทำออกมาได้อย่างดี เบื้องหลังการได้มาของข้อมูลเป็นอย่างไรนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างเราสัมผัสได้คือความละเอียด รอบคอบ และใส่ใจในข้อมูลค่ะ
6. ตัวละครสมจริง
นักแสดงที่จะมารับบทในแต่ละเรื่องนั้นจะมีความเหมาะสมกับบทค่ะ ไม่ได้เห็นความสำคัญของหน้าตามากจนเกินไป ถึงจะหน้าตาดี แต่เล่นแล้วไม่ใช่ก็ไม่ได้ค่ะ ส่วนใหญ่แล้วก่อนจะมีละครแต่ละเรื่อง มักจะมีการแคสติ้งก่อน แม้ว่าจะเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์ ในบางครั้งก็ต้องผ่านการแคสติ้ง เพื่อความเหมาะสมของบท
อย่างเช่นเรื่อง “Amachan” ละคร ญี่ปุ่นที่โด่งดังสุดๆ ในปี 2013 คนทั่วทั้งญี่ปุ่นไม่มีใครไม่รู้จัก Amachan ความน่าสนใจของละครเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่เนื้อเรื่อง และพล็อต แต่อยู่ที่นักแสดงนำที่มารับบทเป็น “อามะจัง” ด้วย ซึ่งก็คือ “โนเน็น เรนะ” จากเรื่องนี้ทำให้เธอเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่กว่าเธอจะมีวันนี้ได้ไม่ธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องผ่านการแคสติ้ง หรือคัดเลือกนักแสดงจากผู้สมัครหลายพันคน! ถือว่าเธอคนนี้ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ไม่ใช่แค่มีหน้าตาที่น่ารักอย่างเดียว แต่ฝีมือการแสดงนี่ไม่แพ้ใครเลย
นักแสดงที่สามารถรับบทนั้นได้อย่างสมจริงที่สุดมีผลทำให้ละครเรื่องนั้นน่าสนใจ เพิ่มความอินให้คนดู ถ้าเล่นดี สมบทบาท ก็เหมือนเป็นการดันตัวเองให้มีชื่อเสียงโด่งดังได้ด้วยค่ะ มีนักแสดงหลายคนที่ได้รับความนิยมจากคาแร็กเตอร์มากกว่าหน้าตา ยิ่งเรื่องไหนได้นักแสดงมากฝีมือมาเล่น ขอบอกเลยว่าเรตติ้งพุ่งกระฉูดแน่นอน เพราะแฟนละครจะมั่นใจได้ค่ะว่า คนนี้ต้องรับบทเป็นตัวละครตัวนี้ได้ดีแน่นอน ถ้าดูแล้วไม่ผิดหวัง !
และนี่ก็เป็นความสมจริงในมุมเล็กๆ น้อยๆ จากละครญี่ปุ่นค่ะ แม้ว่าละครจะเป็นสิ่งที่เลียนแบบจากโลกจริง ไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว แต่ถ้าเราทำให้มันสมจริงขึ้นมาก็มีส่วนทำให้ละครเรื่องนั้นน่าติดตามมากขึ้น ค่ะ แต่กว่าจะได้ผลงานออกมาให้ถูกใจแฟนๆ ละครก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ละครญี่ปุ่นเองก็มีบางส่วนที่ไม่ได้สมจริงแบบเป๊ะๆ อย่างเช่น พวก Live Action ละครหรือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากการ์ตูน อาจจะมีเนื้อเรื่องที่เกินจริงไปนิดนึง แต่อีกแง่เขาก็มีความสมจริงที่อิงกับเวอร์ชั่นนิยายค่ะ
แม้แต่ละครบางเรื่อง ก็อาจไม่ได้สมจริงสมบูรณ์จนไม่มีข้อบกพร่องอะไรเลย เอาเป็นว่าความสมจริงก็เป็นส่วนสำคัญในการทำละคร แต่ถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมาก็แนะนำกันไปอย่างเป็นมิตรน่าจะดีกว่าค่ะ เพื่อจะได้มีละครดีๆ และสนุกๆ ไว้ดูกันต่อไป 🙂
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับละครญี่ปุ่น และพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ทาง FB: Sakura Dramas
เรื่องแนะนำ :
– After the rain รักต่างวัย หัวใจต่างมีฝัน
– อนิเมชั่น ‘Aggretsuko’ แพนด้าแดง ตัวแทนแผดเสียงความกดดันของมนุษย์เงินเดือน
– 5 ซีรีส์-หนังญี่ปุ่นวัยเรียน ที่สร้างกำลังใจในวันที่ต้องสอบเข้ามหา’ลัย
– 5 ซีรีส์ญี่ปุ่น ที่ทำให้คุณรักแม่มากขึ้น
– Tonight, at Romance Theater รักที่สัมผัสกันไม่ได้