“กูเชื่อว่าไม่ว่าญี่ปุ่นจะล้มกลิ้งเเค่ไหนก็จะลุกเดินต่อได้จากการเสียสละของคนเล็ก เล็ก โดยเฉพาะคนไร้บ้านนี่เเหละ หรือไม่ว่าตรงไหน ก็เห็นเเต่ความอดทนเเบ่งปัน ทุกคนเข้าเเถวเพื่อรอความช่วยเหลือ ไหนจะเรื่องต้องเเบ่งไฟฟ้ากันใช้ วันละไม่กี่ชั่วโมง สื่อมวลชนก็ให้ความร่วมมือกับสังคมที่จะไม่นําเสนอภาพที่จะทําให้คนในประเทศเศร้าสลดมาตีพิมพ์เลย เเล้วกูก็ไม่เห็นว่าสื่อญี่ปุ่นคนไหนมาโวยวาย เรื่องเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของสื่อเลย ……. ”
ต้องขออภัยที่ผมละทิ้งหน้าที่ตัวเองไปนานมาก ไม่เเก้ตัวครับ ผมไม่คิดว่าจะมีคุณ คุณ เข้ามาอ่าน อย่างล้นหลามขนาดนี้ทําให้ผมหมดสติในส่วนที่เอาไว้ขบคิดสั่งการให้มือพิมพ์ตัวหนังสือออกมา “ขอบคุณครับ” เเละด้วยหน้าที่ประจําวัน ที่ทํางานหลายอย่าง หลายสื่อ ทําให้ประคองเวลาด้วยสติไม่ได้ดีนัก จึงต้องขออภัยจริงจริงครับ
หลายวันก่อนได้มีโอกาส นั่งคุยกับเพื่อนเก่าที่ทํางานระหว่างประเทศ ไปไป มามา ญี่ปุ่น กรุงเทพ, กรุงเทพ มิลาน, นิวยอร์ค, ลอสเเองเจอรีส, ปารีส เเละอื่นๆ อีก ผมรักเพื่อนคนนี้มาก เป็นคนหนักเอาเบาสู้ รักงานศิลปะ เเต่งตัวดี มีวินัย อดออม เข้าถึงการเสียสละ ชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต กตัญญู รักการผจญภัยเเละท่องเที่ยว คนไทยหรือเปล่า?
เเน่นอนเพื่อนผมเป็นคนไทย เรียนจบมหาวิทยาลัยย่านเมืองเอก ทันทีที่เรียนจบเรื่อง IT เขาชวนผมไปเรียนเพิ่มเติม
“ไปเรียนทําอาหารญี่ปุ่น” ผมถามว่าทําไม มันบอกว่า
“อยากมีเพื่อน”
“อืม………เข้าใจคิด อยากคุยกับญี่ปุ่นละสิ”
“อ๋อ เปล่า กูอยากมีคอนเนคชั่น”
“กับใครละ”
“คนอีสาน”
“อะไรวะ มันเกี่ยวอะไรกัน”
“คนอีสานเรียนทําอาหารญี่ปุ่น เเล้วทํางานเมืองนอกเเยะมากนะมึง”
“เเล้ว”
“กูก็จะได้มีคนรู้จักทั่วทุกมุมโลกไง”
“เอาเลยเพื่อน ไม่เเนวว่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาหายหน้าไปจากเมืองไทย พร้อมฟองสบู่ที่เเตก ดังเปาะ ดังเเปะ ให้เราได้เเสบได้คันในช่วงเศรษกิจตก เขาไปประเทศใดไม่ปรากฎ เเละในที่สุด โลกทั้งใบก็ก้าวข้ามผ่าน Y2K ได้อย่างปลอดภัย ส่วนไทยเเลนด์ของพวกเรา ก็สยายปีกจุดเริ่มของการคิดใหม่ ทําใหม่ เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น เจ้านายสุดที่รักที่นําพาผมกระโดดข้ามฟองสบู่ กระซิบบอกผม “ไปอเมริกามั้ย”
ทันทีที่ถึงนิวยอร์ค ผมเดินเริงร่า เหมือนกับเกิดที่เมืองนั้น ฝ่าพายุหิมะ เหมือนคนไม่เคยเจอ คงเพราะดูหนังมากไปจนประสาทไปเเน่นอน เมื่อความมืดเริ่มปกคลุม ผมพาตัวเองมาที่ TIMESQUARE เพียงเเพราะอยากรู้ว่าเหมือนในหนังมั้ย เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ มีเสียงคนไทยให้ได้ยินอยู่หลายครั้ง เเต่ไม่กล้าทัก ได้เเต่มอง มอง เดินจนพอใจ ด้วยความหนาวกลับดีกว่า ระหว่างเดินกลับผมได้ยิน เสียง….
“เฮ้ย”
“เฮ้ย มึงนะ”
ผมหันมาทันที
“เฮ้ยยยย ไอ้เป็ด”
ตกใจครับ เจอเพื่อนเก่าในเมืองใหม่ คุยกันอยู่นาน เพื่อปลดเปลึ้องความคิดถึง ได้ความว่าได้ไปอยู่ในครัวสมใจที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ด้วยเส้นสายเพื่อนไทยชาวอีสาน นี่เป็นประเทศที่สาม ที่เขาได้งานจาก คอนเนคชั่นนี้ หลังจากอยู่ในกลุ่มประเทศเชงเก้น เเละเพิ่งจะข้ามมาเกาะเเอปเปิ้ลได้เกือบปี
“ทําอะไรว่ะอยู่ที่นี่”
“ล้างผัก ล้างจาน กับเรียนโฟโต้”
“อ้าว ไม่ทําอาหาร เเล้วเหรอ”
“ที่นี่คนเเม่งเก่งจะตายห่า”
คืนนั้นจบตรงที่ ผมไปนอนบ้านมัน ก่อนเข้าบ้าน
“เฮ้ย ไปดูคนกินสุกี้ กันไหมมึง”
“ดูทําไม กูคนไทยนะ”
“…………..เออนะ”
ตัดกลับมาที่เมืองไทย ย่าน RCA ไอ้เป็ดเเวะมาหาผม เรานั่งคุยกันตั้งเเต่เย็นจนดึก รําลึกความหลัง ชีวิตมันโคตรสนุก
“มึงจําเรื่อง หม้อสุกี้ได้ไหม”
“ได้”
“กูได้รับรางวัล จากการถ่ายรูปคนไร้บ้านนะ”
“สถาบันไหนวะ”
“ในห้องเรียน”
“ถุย ยังไงวะ”
“มันเป็นรูปคนไร้บ้าน ใช้หม้อต้มกับเตาที่เอาถังขยะมาทํา กูจะตั้งชื่อภาพว่าจิ้มจุ่ม ฝรั่งคงไม่เข้าใจ เลยตั้งว่า สุกี้ยากี้ อาจารย์ชอบ”
“เเค่เนี้ย”
“เออ มึงถามทําไม”
“กูไปญี่ปุ่นมา กูเพิ่งเห็น Homeless ของญี่ปุ่น เขามี เต้นท์กางนอนนะโว้ย อยู่ตามริมเเม่นํ้าโคตรมีระเบียบ เจ๋งกว่าฝรั่งเยอะ”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากไอ้เป็ด มันเทเเก้วเหล้า ลงคอทีเดียว
“เป็นอะไรวะ”
“หลังเหตุการณ์สึนามิ 2 วัน สํานักข่าวส่งกูไปที่เมืองนั้น มัน…….กูไม่รู้จะพูดอะไรวะ ภัยพิบัติครั้งนี้นับว่าเป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของเขา”
“ใช่”
“วันนั้นอากาศก็หนาว ผู้คนก็กลับบ้านกันไม่ได้ เพราะบ้านไหลไปเเล้ว ต้องพักแอบอยู่ข้างถนน กูเลยเลิกพูดคําว่า Homeless ตั้งเเต่วันนั้นกูเรียกว่า คนไร้บ้าน เเล้วกันมันฟังดูเเตกต่างจากฝรั่งมากเพราะ เขาเอากล่อง เอาเต้นท์ ที่เขาใช้นอนอยู่ทุกวัน เดินเเจกคนที่เคยมีบ้าน ให้ได้พักนอนเพื่อหลบอากาศหนาว กูเห็นเเล้วพูดไม่ออกวะ”
เราสองคนเงียบกันไปนานเท่ากับกี่เเก้วไม่ทราบได้

“เเล้วทําไมเขาต้องส่งมึงไปวะ”
“กูมีเพื่อนที่ญี่ปุ่นหลายคน”
“เออ จริง”
“กูเชื่อว่าไม่ว่าญี่ปุ่นจะล้มกลิ้งเเค่ไหนก็จะลุกเดินต่อได้จากการเสียสละของคนเล็ก เล็ก โดยเฉพาะคนไร้บ้านนี่เเหละ หรือไม่ว่าตรงไหน ก็เห็นเเต่ความอดทนเเบ่งปัน ทุกคนเข้าเเถวเพื่อรอความช่วยเหลือ ไหนจะเรื่องต้องเเบ่งไฟฟ้ากันใช้ วันละไม่กี่ชั่วโมง สื่อมวลชนก็ให้ความร่วมมือกับสังคมที่จะไม่นําเสนอภาพที่จะทําให้คนในประเทศเศร้าสลดมาตีพิมพ์เลย เเล้วกูก็ไม่เห็นว่าสื่อญี่ปุ่นคนไหนมาโวยวาย เรื่องเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของสื่อเลย ……. ”
“อือ กูก็ว่า” ผมตอบ

“เเละคืนนั้นกูก็รู้ความจริงบางอย่างจากบ้านกล่องพวกนั้น” เป็ดทําเสียงตํ่า
“อะไรว่ะ”
“คนไร้บ้านเหล่านั้นไม่ใช่คน”
“อ้าว เเล้วเขาเป็นอะไรวะ”
“ยอดมนุษย์อยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเรื่องจริงว่ะ ไม่ใช่มีเเต่ในหนังทีวีหลอกเด็ก……..หรือว่าไม่จริง”
บทความโดย : บำรุงเมือง เฟื่องนคร www.marumura.com