คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)
สวัสดีครับ จากที่อาทิตย์ที่แล้วได้ขึ้นอินโทรไป (แต่นแต๊น) มาวันนี้ก็ลุยกันเลยครับ
“ความเหมาะควร (มารยาท) หากมากไป” มาซามุเนะกล่าว “จะกลายเป็นโป้ปด” กวีโบราณผู้หนึ่งได้พิชิตโพโลนีอัส (ตัวละครในบทละครเรื่องแฮมเล็ตของเชคสเปียร์) ในคำแนะนำที่เขาให้ไว้ “จงซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากในใจของเจ้าไม่หลงไปจากความจริง แม้ปราศจากคำอธิษฐาน เหล่าทวยเทพก็จะรักษาเจ้า” การบูชาความจริงใจที่ จื่อซือ (子思 หลานชายของขงจื๊อ) แสดงไว้ในหนังสือ ทางสายกลาง (จงยง 中庸 ชื่อฉบับแปลอังกฤษคือ the Doctrine of the Mean) ได้อ้างคุณลักษณะของพลังเหนือธรรมชาติต่างๆ ของมัน จนแทบจะว่าพวกมันเป็นเหมือนพระเจ้า “ความจริงใจคือจุดสิ้นสุดและเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง หากปราศจากความจริงใจก็จะไม่มีอะไรสักอย่าง”…
การพูดโกหกหรือพูดสองแง่สองง่ามก็ถือว่าขี้ขลาดพอกัน บูชิ (武士 นักรบ) ถือว่าตำแหน่งทางสังคมที่สูงของเขาต้องการมาตรฐานความจริงที่สูงส่งกว่ามาตรฐานของพ่อค้าและชาวนา บูชิ โนะ อิจิกอน (武士の一言) คำพูดของซามูไร เทียบเท่ากับคำว่า ein Ritterwort (คำพูดของอัศวิน) ในภาษาเยอรมัน เป็นเครื่องรับประกันความซื่อตรงของการยืนกราน คำพูดของเขามีน้ำหนักมากจนกลายเป็นคำสัญญา และทำตามนั้น โดยไม่ต้องมีข้อผูกมัดเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งถือว่าต่ำต้อยด้อยกว่าศักดิ์ศรีของเขา มีเรื่องเล่าเขย่าขวัญมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ต้องชดใช้ด้วยความตายเพราะมีสองลิ้น นิกอน (二言 คือตอนนั้นพูดอย่าง พอตอนนี้พูดอีกอย่าง)
การถือเรื่องความมีสัจจะนั้นสูงมากจน ไม่เหมือนกับคริสเตียนทั่วไปที่ฝ่าฝืนคำสั่งธรรมดาของศาสดาอย่างไม่ลดละที่จะไม่สาบาน ซามูไรที่ดีที่สุดมองว่าการสบถสาบานเป็นการเสื่อมเกียรติของพวกเขา ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าพวกเขาสาบานต่อเทพองค์ต่างๆ หรือสาบานต่อดาบของพวกเขา แต่ไม่เคยให้คำสาบานเสื่อมจนกลายเป็นคำหยาบโลนหรือเป็นคำอุทานที่ไม่เคารพ เพื่อเน้นย้ำคำพูดของเรา บางครั้งจึงต้องพึ่งพาวิธีปฏิบัติที่ว่าตามตัวอักษรว่า การผนึกด้วยเลือด สำหรับการอธิบายแนวทางปฏิบัติดังกล่าว ข้าพเจ้าเพียงแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน Faust ของเกอเธ่เท่านั้น
โอเคครับ ว่าด้วยเรื่องคำว่า บูชิ โนะ อิจิกอน (武士の一言) ก่อน จริงๆ มันมาจากสำนวนที่ว่า บูชิ นิ นิกอน นาชิ (武士に二言なし) ก็ประมาณเดียวกับ “เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” นั่นแหละเพคะ (ฮา)
ส่วนคำว่า ผนึกด้วยเลือด (sealing with blood) นั้น ที่จริงการหลั่งเลือดเพื่อทำพันธสัญญานี่อาจย้อนไปไกลได้ถึงยุคสมัยของคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเลยทีเดียว ประมาณว่าเลือดเป็นตัวแทนของชีวิต อะไรประมาณนั้น
ส่วนนิยายเรื่อง Faust ของเกอเธ่ ก็ประมาณว่าตัวเอกของเรื่องนั้นได้ทำสัญญากับปีศาจ (ขายวิญญาณของตนเพื่อแลกกับความรู้) อืม
ภาพวาดในปี 1925 แสดงภาพเฟาสต์ และเมฟิสโตฟิลีส จากเฟาสต์ฉบับของเกอเธอ (ที่มา wikipedia)
ในบรรดาอาชีพอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ไม่มีอาชีพไหนที่ถูกเอาออกไปจากวิชาชีพด้านอาวุธมากกว่าการค้าขาย พ่อค้าถูกจัดอยู่ในตำแหน่งต่ำสุดในประเภทของอาชีวะอันได้แก่ อัศวิน คนไถนา ช่าง และพ่อค้า (士農工商 ชิโนโคโช) ซามูไรได้รับรายได้จากที่ดินและอาจปล่อยตัว ถ้าเขามีใจจะทำ ไปกับการทำนาแบบสมัครเล่นได้ แต่โต๊ะกั้นกับลูกคิดกลับถูกรังเกียจเดียดฉันท์ เรารู้ถึงภูมิปัญญาของการจัดการสังคมอันนี้
มงเตสกีเยอได้แสดงให้ชัดเจนแล้วว่า การกีดกันคนชั้นสูงจากการแสวงหาทางการค้า เป็นนโยบายทางสังคมที่น่าชื่นชม โดยที่มันป้องกันไม่ให้ความมั่งคั่งไปสะสมอยู่ในมือของผู้มีอำนาจ การแยกอำนาจและความร่ำรวยออกจากกันทำให้การกระจายข้อหลัง (ความร่ำรวย) เป็นไปอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ศาสตราจารย์ดิลล์ ผู้เขียน “Roman Society in the Last Century of the Western Empire” ได้ทำให้เราหวนนึกถึงสาเหตุหนึ่งของความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิโรมัน คือการอนุญาตให้ขุนนางทำการค้าขาย และ การผูกขาดความมั่งคั่งและอำนาจโดยกลุ่มวุฒิสมาชิกที่เป็นคนส่วนน้อย
อืม…พออ่านถึงจุดนี้ อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศ มันจะเป็นอย่างไร?
ผู้ที่เคยคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของเราเป็นอย่างดีจะจำได้ว่าเพียงไม่กี่ปีหลังจากสนธิสัญญา ท่าเรือของเราถูกเปิดเพื่อการค้ากับต่างประเทศ ระบบศักดินาถูกยกเลิก และเมื่อด้วยสิ่งนี้ ศักดินาของซามูไรก็ถูกยึดไปและมีการออกพันธบัตรเพื่อชดเชย พวกเขาก็ได้รับเสรีภาพที่จะเอามันไปลงทุนในธุรกรรมการค้า ตอนนี้ท่านอาจถามว่า “เหตุใดพวกเขาจึงไม่อาจเอาความมีสัจจะที่โอ้อวดกันนักมาสู่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจใหม่ของพวกเขา และปฏิรูปการละเมิดเก่าๆ ได้”
ผู้ที่มีตาที่มองเห็นร้องไห้แค่ไหนก็ไม่พอ ผู้ที่มีหัวใจที่รู้สึกก็เห็นอกเห็นใจแค่ไหนก็ไม่พอ กับชะตากรรมของซามูไรผู้สูงศักดิ์และซื่อสัตย์จำนวนมากที่ล้มเหลวอย่างมีนัยยะสำคัญและถาวรในการค้าและอุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ด้วยการขาดความความเฉลียวฉลาดอย่างที่สุดในการรับมือกับคู่แข่งสามัญชนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก เมื่อเรารู้ว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของสำนักธุรกิจล้มเหลวในประเทศอุตสาหกรรมอย่างอเมริกา มันน่าแปลกใจหรือว่าซามูไรเพียงแค่หนึ่งในร้อยที่เข้าสู่การค้าขาย จะประสบความสำเร็จในอาชีพใหม่ของเขา? คงอีกนานก่อนที่จะเป็นที่รับรู้ว่าทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใดที่ต้องอัปปางไปในความพยายามที่จะประยุกต์จริยธรรมของบูชิโดกับวิธีการทำธุรกิจ แต่จิตที่สังเกตก็ได้แจ้งชัดแล้วว่าวิถีของความมั่งคั่งมิใช่วิถีของเกียรติยศ แล้วมันต่างกันในแง่ใดบ้าง?
อืม…
หากบูชิโดปฏิเสธหลักคำสอนเรื่องการต่างตอบแทน (quid pro quo) พ่อค้าที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าจะพร้อมยอมรับมัน Lecky (William Edward Hartpole Lecky นักประวัติศาสตร์ชาวไอริช?) ตั้งข้อสังเกตอย่างซื่อตรงว่า ความมีสัจจะ (Veracity) เติบโตได้โดยเป็นหนี้ต่อจากการพาณิชย์และการผลิต ดังที่นิชเช่กล่าวไว้ว่า “ความซื่อสัตย์ (Honesty) คือคุณธรรมที่เยาว์วัยที่สุด” พูดอีกอย่างคือ มันเป็นลูกอุปถัมภ์ของอุตสาหกรรม ของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ หากไม่มีแม่คนนี้ ความมีสัจจะก็เหมือนกับเด็กกำพร้าตระกุลสูงส่ง ซึ่งมีเพียงจิตที่ได้รับการอมรมบ่มเพาะเท่านั้นที่จะรับเลี้ยงและทำนุบำรุงได้ จิตเช่นนั้นมีอยู่ทั่วไปในหมู่ซามูไร แต่ เนื่องจากต้องการแม่อุปถัมภ์ที่เป็นประชาธิปไตยและประโยชน์นิยมยิ่งกว่านี้ เด็กที่อ่อนโยนจึงไม่อาจเจริญเติบโตได้
เมื่ออุตสาหกรรมทั้งหลายก้าวหน้าไป ความมีสัจจะจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นคุณธรรมที่ง่าย ไม่สิ ที่มีกำไร ที่จะปฏิบัติ ลองคิดดู ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2423 บิสมาร์กได้ส่งหนังสือเวียนไปยังกงสุลวิชาชีพของจักรวรรดิเยอรมัน โดยเตือนพวกเขาถึง “การขาดความน่าเชื่อถือที่น่าเศร้า เกี่ยวกับการขนส่งของเยอรมัน เหนืออื่นใด ปรากฏชัดทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ” ทุกวันนี้เราได้ยินน้อยมากเกี่ยวกับความประมาทเลินเล่อและความไม่ซื่อสัตย์ของชาวเยอรมันในเรื่องการค้า ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา พ่อค้าของประเทศนั้นได้เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วความซื่อสัตย์ย่อมมีผลตอบแทน พ่อค้าของเราได้ค้นพบสิ่งนั้นแล้ว…
อืม…(อีกแล้ว) ขอผมอภิปรายหน่อยนะครับ
ในสมัยก่อน ทำไมพ่อค้าถึงไม่ซื่อสัตย์แบบที่เรียกว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา? ผมคิดว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยต่อไปนี้ครับ
- สมัยก่อนข่าวสารข้อมูลไม่ได้ครบครัน เปรียบเทียบกันได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ ของขายราคาเท่าไหร่จะโก่งราคาหรือจะบวกไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้มีใครมารู้ เอาของมาขายของดีหรือเลวก็ไม่รู้ การค้าอะไรต่างๆ มีแนวโน้มผูกขาดมาก
- สมัยก่อนการค้าขายเป็นอาชีพเสี่ยงอันตราย ความไม่แน่นอนสูง ความคิดความอ่านพ่อค้าเลยไปในทางที่ว่า ตีหัวเข้าบ้าน เอาแบบทีเดียวรวยแล้วเลิก
แต่เมื่อโลกเรามาถึงยุคสมัยใหม่
- ของผลิตกันได้ มากๆ ถูกๆ ตัวเลือกให้เปรียบเทียบเยอะ คนขายแข่งก็มีเยอะ ดังนั้นจะมาตีหัวเข้าบ้านอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ต้องทำไงก็ได้ให้คนซื้อซ้ำ ตรงนี้เรื่องความซื่อสัตย์จะสำคัญมาก (ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน)
- ข่าวสารข้อมูลมันไปถึงกันหมด ยิ่งยุคนี้ คนซื้อไม่พอใจอาจด่าออกสื่อ ลงโซเชียล ขายหน้าขายตา ก็ต้องทำให้ดี ต้องมีความซื่อสัตย์
บ่อยครั้งข้าพเจ้าสงสัยว่า ความมีสัจจะในบูชิโดนั้นมีแรงจูงใจอะไรที่ยิ่งไปกว่าความกล้าหาญหรือไม่ หากไม่มีบัญญัติเชิงบวกใด ๆ เกี่ยวกับการเป็นพยานเท็จ การโกหกไม่ได้ถูกประณามว่าเป็นบาป แต่เพียงถูกประณามว่าเป็นความอ่อนแอ และ ดังนั้น ไร้เกียรติอย่างยิ่ง ว่ากันตามความเป็นจริง แนวคิดว่าด้วยความซื่อสัตย์ (honesty) นั้นจึงประสมอยู่อย่างใกล้ชิด กับสิ่งที่เรียกว่า เกียรติ (honor) ดังที่ถูกบ่งชี้ในรากศัพท์ภาษาละตินและเยอรมัน ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้า ควรจะหยุดสักครู่เพื่อพิจารณาคุณลักษณะของศีลแห่งอัศวินนี้
ขอแทรกเกร็ดความรู้เล็กน้อยก่อนจะจบการอภิปรายวันนี้ครับ
Honest “ซื่อสัตย์” มาจากคำฝรั่งเศสโบราณ honeste ซึ่งมาจากคำละติน honestus ซึ่งมาจาก honos+tus และคำว่า honos นั้น ผันได้เป็น honorem ซึ่งภายหลังกร่อนเหลือ honor สรุปคือ คำว่า “ซื่อสัตย์” นั้นมีความหมายผูกพันกับ “เกียรติ” กล่าวคือการกระทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่โกง
พอเหอะ เริ่มมึนละ (ฮา)
เปิดมาขนาดนี้คงรู้แล้วสินะครับว่าคราวหน้าเราจะพูดเรื่องอะไร 555 ก่อนจากกันวันนี้ ขอเล่นมุกกะเขาหน่อยถึงจะช้าไปตั้งสัปดาห์นึงก็เหอะ ถ้าท่านผู้อ่านรู้ว่าไอ้ “เด็กสมบูรณ์” นี่พอโตมาในอีก 46 ปีข้างหน้าจะมานั่งเขียนคัมภีร์ห้าห่วงมั่งล่ะ บูชิโดมั่งล่ะ ลงใน marumura เนี่ย ท่านผู้อ่านมีอะไรอยากจะบอกไอ้เด็กสมบูรณ์นี่ไหมครับ 555
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (6) ว่าด้วยความนอบน้อม (เรย์ 礼)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (5) ว่าด้วย ความเมตตากรุณา (จิน 仁)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (4) ว่าด้วย ความกล้าหาญ (ยู 勇)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (3) ว่าด้วยความเที่ยงธรรม (กิ 義)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (2) รากเหง้าเค้ามูลของ “บูชิโด”
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (7) ว่าด้วย ความมีสัจจะ (มาโคโตะ 誠)