วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (74) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบหก สิ่งที่เรียกว่า การรู้นายทัพไพร่พล
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน
ในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์มานี้ ผมได้ฟังข่าวอุบัติเหตุที่น่าสลดใจสองเรื่อง มีเรื่องที่นักเรียนโดนถังดับเพลิงระเบิดตายในโรงเรียน ๑ ทางเลื่อนทรุดขาคนโดนดูดลงไปจนขาขาดที่ดอนเมืองอีก ๑ ผมมาคิดๆ ดูแล้ว สิ่งที่คนไทยขาดมากที่สุดมีอยู่สองอย่าง คือ
1) การคิดถึงปัจจัยเสี่ยงไว้ล่วงหน้าว่า ถ้า…อาจจะเกิด…ขึ้น ซึ่งภาษาโรงงาน (ญี่ปุ่น) เรียกว่า KY (kikenyochi 危険予知) เลยทำอะไร เอาสะดวกเข้าว่าจนถึงขั้น “ไม่มีสามัญสำนึก” ถังดับเพลิงมันก็ต้องเป็นของอัดแก๊ส เอาไปตากแดดได้ยังไง ขนาดยางรถยนต์เติมมากไปถ้าโดนความร้อนมากๆ วิ่งๆ ไปอาจยางระเบิดได้
2) การขาดจิตสำนัก “รับผิดชอบ” (เซคินินคัง 責任感) และการรู้จัก “สำนึกผิด” (ฮันเซย์ 反省) ผมเห็นแล้วทุเรศกับคำพูดที่ว่า “กำลังสอบสวนหาสาเหตุ” ทำไมคุณไม่ยืดอกสารภาพไปตรงๆ ล่ะว่า ว่ามันเป็นความบกพร่องของฝ่ายอาคารและสถานที่ (ฝ่ายซ่อมบำรุง) เคยซ่อมบำรุงไหม? ทำอย่างจริงจังแค่ไหนหรือทำแค่ให้รู้ว่าทำ? เคยมีการคาดการณ์ถึงจุดเสี่ยงแล้วแก้ไขไหม? ยิ่งได้ข่าวว่าเคยมีผู้โดยสารเจอเรื่องคล้ายกันเมื่อปี 62 ดีว่าเป็นรองเท้าแตะรีบถอดทิ้งทัน ส่วนรองเท้าแตะที่ถูกดูดก็แหลกไปซะ แล้วเขียนเรื่องร้องเรียน กลับได้แค่ข้อความว่า “เราจะดำเนินการ” จบ แค่นั้น ก็เห็นละว่าการทำงานและจิตสำนึกของเจ้าของพื้นที่น่ะ มันเป็นยังไง? ผมดูแล้วเจ้าของสถานที่พูดอะไรออกมา ไม่มีทั้งความรับผิดชอบ ไม่มีความสำนึกผิดด้วย (บอกว่าเคยตรวจแล้วใช้ทำงานได้ปกติ?)
สังคมที่คนมีจิตสำนึก ถึงผิดพลาดอะไรถ้าไม่ร้ายแรงจริงๆ คงพอให้อภัยกันได้
แต่สังคมที่คนไร้จิตสำนึก ต้องลงโทษให้หนัก น่าขำกับเรื่องที่ว่า พอเกิดเหตุ คนที่เป็นตัวต้นเหตุกลับบอกว่า สลดใจ เสียใจ ไม่ได้อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็มี “สามัญสำนึก” ให้มัน มากๆ กว่านี้หน่อย
ผมอาจจะใช้อารมณ์มากไป ถ้าท่านผู้อ่านไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่ผมมีลูกชายที่เรียนหนังสืออยู่ และผมเองก็ไปดอนเมืองเรื่อยๆ ถ้าเด็กในโรงเรียนที่เขาให้ซ้อมดับเพลิงเป็นลูกผม หรือคนที่ขึ้นทางเลื่อนเป็นผมล่ะ?
สิ่งที่คนไทยโดยเฉพาะสมัยนี้ (ที่กระแสคลั่งไคล้เสรีนิยม ตัวกูของกู เรื่องของกู กูอยากจะทำแบบนี้ของกู มาแรงเหลือเกิน) ขาดในขาด มากสุด คือจิตสำนึกต่อผู้อื่นนี่แหละ ถ้าคิดว่าลูกหลานคนอื่น หรือคนโดยสารคนอื่น ก็เป็นเหมือนตัวเอง ต้องคอยคิด เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความปลอดภัย ระวังอันตราย เหมือนที่เรารักและเป็นห่วงตัวเอง ลูกหลานตัวเอง ทำเพื่อคนอื่น โดยไม่เอาแต่ตัวเองสะดวกสบายเข้าว่าล่ะก็ เรื่องพรรค์นี้คงไม่เกิดขึ้น
一 身をあさく思世をふかく思ふ
มิ โวะ อะสะคุ โอโมอิ โยะ โวะ ฟุคาคุ โอโมฮุ
คิดถึงตัวเองให้ตื้น คิดถึงโลกให้ลึก
หนึ่งในคำสอนจาก “วิถีเดินเดี่ยว” ของมูซาชิ ที่เราควรเอามาใส่ใจปฏิบัติ เพื่อชีวิตและสังคมที่ดีขึ้น นะครับ
ขออภัยที่อารัมภบทนาน เข้าเนื้อหาของวันนี้เลยละกันครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
火の巻
คัมภีร์แห่งเตโช
二六 一 しやうそつをしると云事
ยี่สิบหก สิ่งที่เรียกว่า การรู้นายทัพไพร่พล
`将卒を知る `とは `いづれも戦に及ぶ時わが思ふ道に至てはたえず此法を行ひ兵法の智力を得て我敵たるものをば `皆我卒なり `と思ひとつて `なしたき様になすべし `と心得 `敵を自由にまはさん `と思ふ所我は将也 `敵は卒也 `工夫有べし
ที่เรียกว่า “รู้นายทัพไพร่พล” นั้น ยามถึงการศึกอย่างใดก็ตาม เมื่อถึงซึ่งวิถีที่ตนนึกแล้ว ปฏิบัติหลักนี้ไม่ขาด ได้กำลังปัญญาของพิชัยสงคราม นึกเอาว่าผู้เป็นศัตรูตนนั้น “ล้วนเป็นไพร่พลของตน” รู้เข้าใจว่า “ทำได้อย่างที่จะอยากจะทำ” การที่นึกว่า “จะหมุนศัตรูไปตามใจนึก” ตนนั้นคือนายทัพ ศัตรูนั้นคือไพร่พล สมควรคิดให้แยบคาย
การตีความและอภิปราย
ท่านผู้อ่านจะชี้หน้าด่าผมไหม ถ้าผมจะบอกว่า ในโลกนี้ คำว่า “ความเท่าเทียม” เป็นเรื่องลวงโลก เพื่อให้คนยอมปฏิบัติตามแต่โดยดีเพียงเพราะนึกว่าตนเองนั้นปฏิบัติตาม “ด้วยความสมัครใจ” หรือด้วย “ความต้องการของตัวเอง” แต่ไม่หรอกครับ คนฉลาดพึงรู้ไว้ว่าชีวิตเราตกอยู่ใน “เกม” ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าจะรู้เท่าทัน ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและเงื่อนไขต่างๆ หาประโยชน์ด้วยการทำให้คนอื่น “ทำตามที่เราต้องการ” ได้แค่ไหน หรือถ้ารู้ว่าตกเป็นรอง จะหาทางหนีทีไล่ได้แค่ไหน พอที่จะเอาตัวให้รอดได้ไม่โดนเขาจูงจมูกไปฆ่า
…พูดไปก็นึกถึงเรื่อง SQUID GAME อยู่นะครับ…
บางฉากบางตอนในเรื่องนี้ ผมฟังมันพูดแล้วหัวเราะเลย ว่าไอ้ “ประชาธิปไตย” ที่ว่าเรายอมให้พวกคุณโหวตได้ว่า จะเลิกเล่นเกมนี้ไหม แล้วก็โหวตด้วย “เสียงส่วนใหญ่” แล้วว่า “ไม่เล่นแล้ว” แต่สุดท้าย “เงื่อนไข” ที่ถูกบังคับด้วยความจนตรอก ก็ทำให้เกือบทุกคนที่เคยมาเล่นนั้น “สมัครใจ? มาเล่นต่อ” อยู่ดี
…ผมว่าเนื้อหาตรงนี้ โคตรโหดโคตรโดน…
การบังคับให้คนปฏิบัติตาม ด้วยวิธีทื่อๆ เช่นขู่ตะคอก สั่งลงโทษ เป็นวิธีที่ ง่ายๆ หยาบๆ ที่ชวนให้คนต่อต้านขัดขืนได้ ตรงๆ ง่ายๆ เช่นกัน
แต่การไล่ต้อน ล่อหลอก ปลุกระดม ให้คนปฏิบัติตาม โดยแฝงเงื่อนไขที่ให้คนต้องยอมจำนน แบบที่ว่า บอกว่าเรามีทางเลือกแต่จริงๆ มีก็เหมือนไม่มี (ทางเลือกที่ไม่มีทางเลือก getsunova 555) บวกการปลอบประโลม สร้างภาพบวกๆ มีการใช้คำพูดเชียร์ ตบรางวัล เป็นวิธีที่ซับซ้อน ต้องใช้ความรู้ความคิดมากๆ ในการวางแผน แต่มันทำให้คนมึนๆ เคลิ้มๆ ดี การต่อต้านมีน้อยหรือถึงจะมีก็ถูกเงื่อนไขบังคับเสียจนลุกขึ้นมาต่อต้านไม่ได้
วิธีแรก ไม่ต้องใช้สมองก็ทำได้ อยากสั่งอะไรก็สั่ง อยากทุบตีขู่เข็ญยังไงก็เอาเลย ใช้ได้กับคนที่อ่อนแอกว่ามากๆ หากเปรียบกับการต่อสู้ก็เหมือนสู้กับคนที่ตัวเล็กกว่า อ่อนแอกว่ามากๆ และไม่เป็นมวย ไม่รู้วิชาที่จะต่อสู้ขัดขืน ก็คือชนะด้วยแรงควายนั่นแหละ
วิธีที่สอง ต้องมีความรู้ ต้องใช้ความรู้มาก รู้จักหยั่งคำนวณสภาพแวดล้อม สถานการณ์ ฝ่ายตรงข้าม ถ้าจะสู้กับคนที่ไม่ได้อ่อนแอกว่ากันมากมายขนาดนั้น (หรือแข็งแรงพอกันหรือแข็งแรงยิ่งกว่า) ต้องใช้วิธีนี้ หากเปรียบกับการต่อสู้ ก็คือสู้กับคนที่คนที่ไม่ได้อ่อนแอกว่ากันมากมาย คนที่เรารู้ว่าถ้าชนตรงๆ คงไม่ชนะ หรือจะเปลืองเรี่ยวแรงและเสี่ยงเกินไป ก็คือการสู้โดยใช้ทั้งร่างกาย กระบวนท่า ไปจนถึงลูกเล่นลูกไม้ทางจิตวิทยานั่นเอง
นานมาแล้วตอนผมโรลกับสายน้ำตาลในยิม ผมรู้สึกตัวว่าเหมือนผมกำลังถูกชักนำให้เคลื่อนไหวไปตาม “เกม” ของเขา ซึ่งทำให้แตกตื่นและเมื่อยล้ามาก โอกาสเป็นต่อไม่มี แค่หนีให้รอดก็แทบแย่แล้ว ไม่ต้องสายน้ำตาลหรอกแค่สายม่วงที่เขาตั้ง half guard ขึ้นมา แค่ติดอยู่ในการ์ดเขา เราก็แย่แล้ว การติดอยู่ในการ์ดของคู่ต่อสู้ นั่นหมายความว่า “ทางเลือก” ที่เราจะออกมือออกเท้าสู้กลับหรือหนี จะยิ่งลดน้อยถอยลง
…นั่นแหละคือ ความหมายและความแตกต่างของ “นายทัพ” (โช 将) กับ “ไพร่พล” (โซตสึ 卒) ควบคุมคนอื่น หรือ ถูกคนอื่นควบคุม
การเข้าควบคุม การทำให้อีกฝ่ายต้องทำตามที่เราต้องการ นั่นแหละคือเงื่อนไขของชัยชนะ
มันเป็นอะไรที่ “สมควรคิดให้แยบคาย” (工夫有べし คุฟู อารุเบชิ) จริงๆ นะครับท่านผู้อ่าน
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว มีเรื่องน่าขำอย่างหนึ่ง มันมี “คนกลุ่มหนึ่ง” ที่ทีแรก มาด้วย “วิธีที่สอง” สร้างกระแส หลอกล่อ ชักจูง ปลุกระดม จนได้สาวก “ผู้คลั่งไคล้” มากมาย พอได้สาวกมากมายแล้ว คงคิดว่าตัวเองมีกำลังมากแล้วกระมัง เลยกลับมาใช้วิธีแรก ทั้งขู่เข็ญ ด่าทอ คนที่เขาไม่ยอมทำตามใจตามความคิดตัวเอง แล้วก็ใช้พวกมากไปกดดันทางสังคมว่า “พวกกูคือคนส่วนใหญ่นะเว้ย” สงสัยคงลืมไปแล้วว่า “วิธีแรก” น่ะ มันถูกต่อต้านได้ง่าย แต่ถ้าเขาย่ามใจนักว่าตอนนี้มีกำลังมาก ก็ปล่อยเขาไป ผมมองเห็น “จุดประสงค์ที่แท้” ของคนกลุ่มนี้มาแต่แรกแล้ว จึงไม่เคยรู้สึกว่ามันน่าหลงใหลได้ปลื้มอะไรเลย ส่วนใครก็ตามเคยไปใหลหลง แล้ววันนี้รู้สึกเปลี่ยนไป ครับ คนเราเคยโง่เคยหลงกันได้ แต่จากนี้ก็ควรฝึกศึกษารู้คิดให้มากๆ โดยเฉพาะศึกษาพิชัยสงครามของมูซาชินี่แหละ เอามาประยุกต์ใช้กับการมองสิ่งต่างๆ รอบตัวเข้าไว้ให้มากๆ นะครับ แล้วจะอยู่รอดปลอดภัย ผมเคยบอกแล้วว่าบ้านเมืองเราทุกวันนี้มันสาหัสนะ พลาดพลั้งมา อาจถึงขึ้นไม่มีประเทศจะอยู่ได้เลยทีเดียว…
วันนี้ขอตบท้ายด้วยภาพข้าวแกงกะหรี่ไก่ทอด ร้าน Curry Craft แถวหลังกองบิน ร้านอยู่ในซอยนิดนึงแต่จะว่าไปก็ใกล้ยิมผมนะ บางวันเลยแวะมากินหลังซ้อม ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องกิน ให้มันเป็นแรงกายแรงใจกันต่อไป ในวันที่สังคมและประเทศชาติ กำลังน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปทุกวันๆ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (73) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบห้า สิ่งที่เรียกว่า หัวหนูคอวัว
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (72) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบสี่ สิ่งที่เรียกว่า การกลายเป็นใหม่
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (71) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบสาม สิ่งที่เรียกว่า การทะลุก้น
– AFG Open International 2023 รีบมา รีบแข่ง รีบกลับไปประชุม (ห๊า)
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (70) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบสอง สิ่งที่เรียกว่า การสับเปลี่ยนของภูเขากับทะเล
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (74) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบหก สิ่งที่เรียกว่า การรู้นายทัพไพร่พล