วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (70) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบสอง สิ่งที่เรียกว่า การสับเปลี่ยนของภูเขากับทะเล
สวัสดีครับ ในที่สุดก็มาได้ถึงตอนที่ 70 แล้วนะครับ เข้าสู่เดือนมิถุนายนแล้ว โอ้ หลังจากที่ผมกลับมาจากงาน AFG Open ที่ ม.รังสิตแล้วก็นะ รู้สึกสมอง alert มาก (สงสัยเสพกาแฟมากไป) ก็ดีใจครับที่อุตส่าห์เขียนซีรี่ส์มาได้ยาวซะขนาดนี้และก็ยังมีท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านกันอยู่ เอ้าเราไปกันเลยครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
火の巻
คัมภีร์แห่งเตโช
二二 一 さんかいのかはりと云事
ยี่สิบสอง สิ่งที่เรียกว่า การสับเปลี่ยนของภูเขากับทะเล
`山海の心 `と云は `敵我戦の内に同じ事を度々する事悪き所也 `同じ事二度は是非に及ばず三度するに非ず `敵にわざをしかくるに一度にて用ひずば今一ツもせきかけて其利におよばず `各別替りたる事を `ふつ `としかけそれにもはかゆかずば又各別の事をしかくべし `然るによつて `敵 `山 `と思はば `海 `としかけ `海 `と思はば `山 `としかくる心兵法の道なり `能々吟味有べき事也
ที่เรียกว่า “จิตของภูเขากับทะเล” นั้น ในขณะการศึกของศัตรูกับตน (นั้น) การทำเรื่องเดียวกันซ้ำๆ นั้นไม่ดี เรื่องเดียวกันหากจำต้องซ้ำสองก็อย่าให้ซ้ำสาม ในการเข้าทำกระบวนท่าแก่ศัตรู หากไม่ใช้ (ให้ได้) ในทีเดียว ตอนนี้จะโถมเข้าไปอีกอันก็ไม่ถึงประโยชน์นั้น การสับเปลี่ยนแยกเป็นอันให้เข้าทำ “ฟุ่ด” หากยังไม่ไปข้างหน้า สมควรทำเข้าทำแยกอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น จิตที่ หากศัตรูคิดว่า “ภูเขา” ให้เข้าทำว่า “ทะเล” หาก (ศัตรู) คิดว่า “ทะเล” ให้เข้าทำว่า “ภูเขา” เป็นวิถีแห่งพิชัยสงคราม เป็นเรื่องที่ควรคิดพินิจให้ดีๆ
การตีความและอภิปราย
…รักทะเล รักเขา ไม่รักเรามั่งเหล๋อ ถถถ 555…ล้อเล่นครับ
ผมเคยพูดถึงเรื่องของการที่เราต้องมีความรู้ในกระบวนท่าให้มากพอที่จะรู้วิธีการเข้าทำจากหลายๆ เหลี่ยม หลายๆ มุม หลายๆ สถานการณ์ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องของมุมมองในแง่เทคนิค
…ส่วนเนื้อหาในตอนนี้ ผมมองว่าเป็นเรื่องของจิตใจนะครับ…
เพราะอะไร? เพราะการที่คนเราทำสิ่งเดิมที่มันไม่ได้ผลซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังทำ บางทีมันไม่ใช่ไม่มีความรู้ว่าจะทำไงดีหรอก เพราะถ้าจิตคิดจะหาทางใหม่ๆ จิตก็ย่อมคิดหาทาง “ด้นสด” มั่วๆ ไปจนได้
แต่ที่จิตไม่ยอมคิดหาทางใหม่ๆ เพราะจิตมัน “ข้องติด” อยู่กับอะไรสักอย่างต่างหาก ที่เห็นได้บ่อยคือ ข้องติดกับ “ความโกรธ” นี่หละ คนเราพอโกรธแล้วมันคิดอะไรในทางอื่นไม่ออกหรอกนอกจากจะ “ตะบี้ตะบัน” มันไปเท่านั้น
อีกสาเหตุหนึ่งทางจิตคือ “ความกลัว” ครับ กลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ แล้วมันจะล้มเหลว ก็เลยติดกับสิ่งเดิมๆ ที่คิดว่าฉันทำได้ชัวร์ๆ ประมาณว่าไปยอมออกจาก safe zone
หากมองในเรื่องของการฝึกตัวเอง การฝึกวิชา การไม่ยอมออกจาก safe zone เป็นความคิดและพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในวิชานะครับ ไม่ใช่แค่นั้น การไม่ยอมออกจาก safe zone ในอีกหลายเรื่องก็เป็นอุปสรรคในการพัฒนากายใจของตัวเองให้มี “ชีวิตที่ดีขึ้น” ด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่แค่เรื่องของการไม่ยอมออกจาก safe zone เท่านั้น แม้แต่การที่ไป “ข้องติด” กับอะไรที่มันส่งผลเสียแก่กายใจของเรา เช่นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ก็ถือว่าเป็นการ “ตะบี้ตะบัน” อย่างหนึ่งเช่นกัน ผมเปิดประเด็นเรื่องความสัมพันธ์นี่ไม่ใช่อะไร เพราะผมอยากจะมานำเสนอเนื้อหาอีกตอนหนึ่งของอีบุ๊คเล่มเดิมของ Chris Wojcik ซึ่งผมอ่านแล้วก็สรุปและตีความสิ่งที่เขาเขียนได้สองข้อคือ
● การที่จะมี “ความสัมพันธ์” โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ดีนั้น คุณต้องลงทุนลงแรงขวนขวายเพื่อให้ได้มันมา ถ้าให้ผมนึกยกตัวอย่าง ก็คือ เช่น ไม่ใช่ว่าเราเป็นพ่อแม่ของลูกแล้วจะเรียกร้องไว้ก่อนว่า เฮ้ยลูกต้องรักเรา ต้องกตัญญู บลาๆ เราก็ต้องลงแรงทำให้ลูกรักเรา ให้ความเอาใจใส่ ใกล้ชิด คุยกันบ้าง ทำกิจกรรมอะไรบ้างด้วยกัน เข้าไปกอดเขาบ้าง (ลูกสาวผมสามขวบจะจุ๊บก็จุ๊บไปเถอะเพราะโตมาเราจะไปทำงั้นไม่ได้แล้ว) หรือบางคน บ่น อยากมีแฟน แต่วันๆ คุณไม่เคยขวนขวายอะไรเลย ใช้ชีวิตอยู่แค่ บ้าน กับ โรงเรียน (หรือที่ทำงาน) ผัวหรือเมียคงจะหล่นจากฟ้าลงมาหาคุณหรอกนะ อะไรแบบนี้
● “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่ “ธุรกิจ” หรือ “การแข่งขัน” ถ้าเราคาดหวังการทำดีกับคนอื่นแบบ “หว่านพืชหวังผล” ความสัมพันธ์แบบนั้นมันจะเต็มไปด้วยความขุ่นใจ มัวแต่คิดกำไรขาดทุน ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ฉันต้องพิสูจน์ตัวเอง” ให้อีกฝ่ายยอมรับ ต้องบรรลุความสำเร็จนั่นโน่นนี่ “ถึงจะคู่ควรกับเธอ” คุณจะเหนื่อยล้ากับการมานั่งไล่ไขว่คว้า “ชัยชนะ” ไม่สิ้นสุดจนหมดแรง
ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ยกคำพูดเขามาเลยดีกว่า
If you want higher quality in any area of your life, you have to earn that shit. No one deserves the best just because they’re alive and breathing. You cannot base what you get out of your relationships based on what you believe that you deserve.
หากคุณต้องการคุณภาพที่สูงขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต คุณต้องลงแรงให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ไม่มีใครสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเพียงเพราะพวกเขายังมีชีวิตและหายใจอยู่ คุณไม่สามารถยึดถือเอาว่า อะไรที่คุณจะต้องได้รับจากความสัมพันธ์ของคุณ ตามสิ่งที่คุณเชื่อว่าคุณสมควรได้รับ
Why?
ทำไม?
Because relationships are not about you. Relationships require multiple people in order to be healthy and cohesive. Relationships require you to step outside of your own world and into the world of someone else.
เพราะความสัมพันธ์ไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณ (คนเดียว) ความสัมพันธ์ต้องมีคนหลายคนเพื่อที่จะมีสุขภาพดีและเหนียวแน่น ความสัมพันธ์เรียกร้องให้คุณก้าวออกจากโลกของคุณเองและเข้าสู่โลกของใครสักคน
Someone else who’s probably just as messed up and flawed as you are.
ใครสักคนที่อาจจะเละเทะและมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับคุณ
My family has done a lot for me over the years, and no matter what I do to make their lives better, I can never repay the debt that I owe them. For a long time, this made me upset and resentful. I just wanted to be free of the burden of having to care about other people and what they think.
ครอบครัวของผมทำหลายอย่างเพื่อฉผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และไม่ว่าผมจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ฉันก็ไม่สามารถชดใช้หนี้ที่ผมติดค้างพวกเขาได้ เป็นเวลานาน สิ่งนี้ทำให้ผมอารมณ์เสียและไม่พอใจ ผมแค่อยากจะเป็นอิสระจากภาระที่ต้องสนใจคนอื่นและสิ่งที่พวกเขาคิด
For a long time, this same unresolved anxiety seeped into my romantic relationships. I viewed quality relationships as something that could only be obtained if I made more money, won more martial arts tournaments, and became more famous on the internet. I thought that this would make me valuable.
เป็นเวลานานแล้ว ความวิตกกังวลที่ไม่ได้รับการแก้ไขแบบเดียวกันนี้แทรกซึมเข้าไปในความสัมพันธ์แบบคู่รัก ผมมองว่าความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่จะมีได้ก็ต่อเมื่อผมทำเงินได้มากขึ้น ชนะการแข่งขันศิลปะการต่อสู้มากขึ้น และมีชื่อเสียงมากขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ผมคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้ผมมีค่า
ลองอ่านแล้ว มา “คิดพินิจให้ดีๆ” นะครับ เรื่องความสัมพันธ์ผมว่าสมัยนี้คงเป็นอะไรที่แบบ ไม่พูดไม่ได้แล้ว เพราะเทคโนโลยี สภาพสังคม ฯลฯ มันทำให้คนสมัยนี้ ถูกตัดขาดจากกันมากขึ้น คนจะมีปัญหาเรื่องการจัดการกับความสัมพันธ์มากกว่าเดิมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงจนถึงผัวเมีย การมีปัญหาชีวิตเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่นโรคซึมเศร้า (ผมยังสงสัยว่ามันมีจริงหรือหรือถูกสร้างให้มีผ่านการ “ตั้งชื่อ”) การฆ่าตัวตาย การใช้ยาเสพติด ฯลฯ และแน่นอน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราโดยรวมด้วย มันอาจจะเป็นเรื่องที่แปลกที่ ถ้าเราพูดถึงวิชาต่อสู้ พูดถึงการพัฒนาตนเอง เรามักพูดและคิดในมุมของ “ปัจเจกชน” เดี่ยวๆ กันมาก แต่เราก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” นะครับ งั้นผมก็ถือโอกาสนี้พูดตรงนี้เลยละกันนะครับ
มันอาจจะแปลกไปหน่อยแต่ก็ฝากไว้ให้คิดนะครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (69) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบเอ็ด สิ่งที่เรียกว่า การบี้ให้แบน
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (68) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบ สิ่งที่เรียกว่า การกลืนหาย
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (67) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเก้า สิ่งที่เรียกว่า เสียงทั้งสาม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (66) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบแปด สิ่งที่เรียกว่า การทำให้ลน
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (65) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สิบเจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการแตะมุม
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (70) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ยี่สิบสอง สิ่งที่เรียกว่า การสับเปลี่ยนของภูเขากับทะเล