โมจินั้นมีหลายชนิด แต่ในฤดูใบไม้ผลิจะนิยมกิน Sakuramochi ขนมโมจิญี่ปุ่นทำด้วยโมจิสีชมพูของดอกซากุระ โปะด้วยถั่วแดงและปิดด้วยใบไม้ของต้นซากุระ กินกับชาเขียวร้อนๆ เข้ากั้นเข้ากัน ^^
สวัสดีจ้า…ตอนนี้มีของอร่อยๆขึ้นชื่อของญี่ปุ่นมานำเสนอกันอีกแล้ว เป็นอาหารว่างที่สามารถหาทานได้ตลอดทั้งปี สามารถนำมาพลิกแพลงได้หลายรูปแบบ และทานกันได้ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่เลยทีเดียว เป็นอาหารที่ญี่ปุ่นเขาทานกันมานานมากแล้วล่ะ เอาล่ะ! เกริ่นมาพอแล้ว บอกเลยแล้วกันนะจ๊ะ อาหารนั้นก็คือ เค้กข้าว โมจิ นั่นเอง แล้วเค้กข้าวญี่ปุ่นมีความเป็นมายังไงและมีแบบไหนบ้าง อย่ารอช้า… มาติดตามกันเลยดีกว่า

มาเริ่มรู้จักความเป็นมาของเค้กข้าวญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่านะ เค้กข้าวสมัยโบราณนั้นนำเข้ามาจากประเทศจีนก่อนและเผยแพร่ไปในประเทศที่ใกล้เคียงรวมทั้ง ญี่ปุ่น และ เกาหลี อีกด้วย ชื่อที่ญี่ปุ่นในปัจจุบันเรียกว่า โมจิ และที่เกาหลีเรียกว่า ต็อก ในญี่ปุ่นนั้นเริ่มมีประเพณีการทำโมจิใน สมัยเฮอัน หรือ ช่วงศตวรรษที่ 10 จริงๆ แล้วสมัยก่อนญี่ปุ่นไม่ได้เรียกเค้กข้าวว่า Mochi หรอกนะ ในตอนแรกเรียกว่า Mochii เพิ่งมาเริ่มเรียกว่า โมจิ ก็ตอนช่วงศตวรรษที่ 18 แล้วล่ะ คำว่า โมจิ นั้น มาจากคำกริยาของญี่ปุ่นก็คือคำว่า Motsu ที่แปลได้ว่า มีให้ถือมีให้ใช้ แล้วเค้าก็เชื่อโมจิว่าเป็นอาหารที่ได้รับมาจากเทพเจ้าด้วยนะ ช่วงก่อนวันปีใหม่ซักหนึ่งสัปดาห์คนญี่ปุ่นเริ่มมีเทศกาลการทำ Mochitsuki ที่แปลว่า พระจันทร์เต็มดวง ที่เห็นกระต่ายตำโมจิบนดวงจันทร์นั่นแหละ และบางพื้นที่จะเรียกว่า Muchimi ซึ่งหมายถึง ความยึดติด นั่นเอง ในตอนแรกๆ นั้นโมจินำมาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก่อนและต่อมาคนผู้คนเริ่มทำรับ ประทานกันเองที่บ้าน เพราะวัตถุดิบหาไม่ยาก กรรมวิธีก็ไม่ยาก และยังให้พลังงานได้พอดีกับการทานข้าวซักมื้อหนึ่งอีกด้วย ผู้คนจะทานโมจิในวันที่อากาศหนาวมากๆ เพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย และ นักรบซามูไรยังพกโมจิไปออกรบเหตุผลก็เพราะง่ายในการพกพาติดตัวไปน่ะสิ และนักรบสมัยก่อนยังเชื่อมโยงระหว่างเสียงการตำโมจิกับสัญญาณการออกรบอีกด้วย

การทำโมจิในช่วงก่อนวันปีใหม่ในเทศกาล Mochitsuki นั้น ไม่ได้ยากตรงการหาวัตถุดิบ ที่ยากก็คือการออกแรงในการทุบข้าวเหนียวนั่นแหละ ท่าทางจะใช้แรงพอสมควรเลยนะคนในครอบครัวญี่ปุ่นเค้าก็เลยออกมาช่วยกันทุบโมจิ เป็นกิจกรรมภายในครอบครัวได้เลยนะเนี่ย ไม่เพียงแต่ครอบครัวนะ ในหมู่บ้าน กิจการต่างๆ หรือ ในหมู่เพื่อนพ้องก็สามารถมาช่วยกันทำได้ ^^ น่าสนุกจังเลยอ่ะ

มาดูอุปกรณ์ในการทำก่อน มีครกญี่ปุ่นที่เรียกว่า Usu นิยมทำมาจากไม้ หรือ หิน สูงประมาณหนึ่งเมตร ความลึกประมาณหนึ่งไม้บรรทัดจ้า และอุปกรณในการตำหรือทุบข้าวเหนียวก็คือค้อนไม้ที่เรียกว่า Kine มีหลายขนาดให้เลือกใช้ มีตั้งแต่ขนาดสำหรับเด็กๆ ใช้ตำจนถึงสำหรับผู้ใหญ่เลยนะ ดีจริงๆ และอีกหนึ่งชิ้นภาชนะใส่น้ำเปล่า ^^

วิธีการทำก็ดังนี้เลยจ้า.. เริ่มแรกก็นำข้าวเหนียวมาแช่น้ำค้างไว้ซักหนึ่งคืนก่อน ต่อมานำข้าวเหนียวไปหุงจนสุกได้ที่แล้วก็นำไปใส่ครก Usu การตำโมจินั้นต้องมีการสลับจังหวะในการตำ คนหนึ่งตำไป อีกคนหนึ่งพลิกก้อนโมจิไป ในขณะที่พลิกต้องพรมน้ำไปด้วยทุกครั้ง ต้องสลับจังหวะให้ดีๆ เชียวนะไม่อย่างนั้นคนตำจะเผลอตำถูกมืออีกคนไปด้วย ต้องใช้สมาธิน่าดูเลยนะเนี่ย พอเหนียวได้ที่จนเป็นก้อนแล้วก็นำมาพลิกแพลงทำเมนูต่างๆได้เลย และที่สำคัญนั้นการแบ่งโมจิในวันปีใหม่นั้นห้ามใช้ของมีคมตัดเด็ดขาด เพราะการตัดนั้นเค้าถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล ใช้วิธีแบ่งเอาใช้มือนี่แหละ เรื่องเล็กๆน้อยก็เป็นเคล็ดมงคลไปหมดเลยนะเนี่ย ในปัจจุบันก็มีโมจิสำเร็จรูปออกมาขายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมสามารถซื้อและนำมาทำ อาหารได้เลยจ้า ^^

โมจิสามารถทำได้อีกแบบหนึ่งก็คือทำมาจากแป้งข้าวหวานเรียกว่า Mochiko นำมาผสมน้ำและตั้งไฟคนให้เหนียวจะได้โมจิเนื้อละเอียดเด้งๆ สีขาวขุ่นๆออกมาจ้า ^^ แป้งนี้ยังนำมาทำเป็นขนมปังและเส้นราเมนได้อีกด้วยนะ น่าลองทำใช่มั้ยล่ะ ?

มาถึงโมจิในรูปแบบต่างๆ กันดีกว่า โมจิสามารถนำมาดัดแปลงเป็นขนมหรืออาหารได้หลากหลายเชียวนะ มาดูกันซิว่ามีอะไรบ้าง พูดถึงโมจิที่นิยมทานในช่วงปีใหม่ก่อนดีกว่าก็มี Kagami mochi หรือ Kagami biraki เป็นโมจิที่ถูกตบแต่งแบบโบราณเอาไว้ใช้ในงานพิธีกรรมทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ จ้า ต่อมาก็ Kinako mochi โมจิแห่งความโชคดี มีวิธีทำแบบดั้งเดิมก็คือ นำโมจิไปย่างกับไฟอ่อนๆ ก่อนและชุบด้วยซอสถั่วเหลืองที่ผสมน้ำกับน้ำตาลเอาไว้ สุดท้ายก็เอาไปคลุกกับผงถั่วเหลืองหวานเรียกว่า Kinako ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ ต่อมาก็ซุป Zoni ก็คือซุปที่คนญี่ปุ่นจะทานตอนวันปีใหม่ เป็นซุปที่มีโมจิ มีผักและคามาโบะโกะ อยู่ในถ้วยเดียวกัน สมัยก่อนเป็นอาหารหลักของของนักรบซามูไรที่ทำทานในช่วงการออกศึกจ้า

ต่อมาก็ของโปรดใครหลายๆ คน Daifukumochi ขนมญี่ปุ่นยัดไส้หวาน มีหลากสีสันสวยงาม โรยด้วยไอซ์ซิ่ง หรือ ผงโกโก้ สมัยก่อนถูกเรียกว่า Harabuto (腹太餅) แปลว่า เค้กข้าวท้องหนา ต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาเป็น DaifukuMochi (大腹饼) คือมีโชคยิ่งใหญ่ เพราะว่าในภาษาญี่ปุ่นนั้นคำว่า Fuku (腹) ที่แปลว่า ท้อง และ Fuku (福) อีกคำที่แปลว่าโชคดี พ้องเสียงเหมือนกันเลยให้ใช้ชื่อ ไดฟุกุโมจิ ดีว่าเพราะเป็นชื่อมงคลมากกว่านั่นเอง แล้วมี ไดฟุกุโมจิ แบบไหนบ้างมาดูกันต่อเลย

แบบแรกก็คือ Yomogi Daifuku เป็นขนมโมจิที่นิยมทานกันในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทำมาจากโมจิผสมกับใบของต้น Yomogi จะได้แป้งออกมาเป็นสีเขียวและสอดไส้ถั่วแดงลงไปอีก แบบต่อมา Ichigo Daifuku เป็นไดฟุกุที่ได้รับความนิยมสูงมากเลยนะ เพราะเป็นโมจิที่สอดไส้ครีมหรือถัวแดงเอาไว้ในชั้นแรกและชั้นในสุดคือสตรอ เบอร์รี่ผลโต รสชาติจะอมหวานอมเปรี้ยวหอมอร่อยเชียวนะ แล้วก็ Yukimi Daifuku เป็นขนมโมจิสอดไส้ไอศครีมผลิตโดย Lotte ตั้งแต่ปี 1980 เป็นที่นิยมมากเพราะรสชาตินุ่มนวล และหาทานได้ง่ายอีกด้วย

ต่อมาก็ Dango โมจิลูกกลมๆ เล็กๆ ที่เสียบไม้เรียงกันอย่างสวยงาม จริงๆ Dango (団子) แปลว่า เกี๊ยว นะ สรุปว่าเป็นเกี๊ยวญี่ปุ่นก็แล้วกันนะ ขนมดังโกะหาซื้อทานได้ตลอดทั้งปี ^^ และ ดังโกะที่มีสามสี สีชาว สีชมพู สีเชียว เรียกว่า Hanami Dango นิยมทานกันในช่วงชมดอกซากุระบานจ้า ดังโกะมีหลากหลายรสชาติมาก มีทั้งถั่วแดง ชาเขียว เกาลัด มันหวาน ถั่วต้มหวาน ราดซอสถั่วเหลืองก็มี และยังมีแบบนำเต้าหู้มาผสมโมจิแล้วย่างต่อด้วยราดซอสต่างๆอีกต่างหาก น่าอร่อยๆทั้งนั้นเลยอ่ะ ^^

ในหน้าร้อนจะนิยมทาน Warabimochi ก็ไม่ได้ทำมากโมจิซะทีเดียวหรอกนะ เป็นวุ้นที่คลุกกับผงถั่วเหลืองหวาน ในแถบคันไซและโอกินาว่าจะนิยมทานกันมาก มีรถวิ่งมาขายเหมือนรถไอศครีมเลยนะ ในหน้าหนาวก็มีซุป Oshiruko หรือ Ozenzai ก็คือถั่ว Azuki หรือถั่วแดงต้มและบด ท้อปปิ้งด้วยโมจิ คนญี่ปุ่นเค้าจะทานสิ่งนี้เพื่อให้ร่างกายได้อบอุ่นและบางทีก็มี บ๊วยเค็มหรือของเปรี้ยวเสิร์ฟเคียงมาด้วย และในบางพื้นที่ยังทานซุปชิรุโกะในวันขึ้นปีใหม่อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี Sakuramochi ขนมโมจิญี่ปุ่นทำด้วยโมจิสีชมพูของดอกซากุระ โปะด้วยถั่วแดงและปิดด้วยใบไม้ของต้นซากุระและ Hishi mochi โมจิที่ใช้ในเทศกาลเด็กผู้หญิงฮินะมัทสึริ คือโมจิที่มีก้อนสี่เหลี่ยมสามสี สีชมพู สีขาว และสีเขียว ต่อมาก็ Hanabiramochi ขนมหวานเสิร์ฟตอนทานกับชาในครั้งแรกของปีใหม่ เริ่มทานกันในปี 1868 จนถึงปัจจุบัน เป็นขนมในโอกาสพิเศษสำหรับครอบครัวในวันปีใหม่เท่านั้น แล้วก็ Manju ก็เป็นส่วนหนึ่งของโมจิด้วยเหมือนกันนะ เดิมที่จีนเรียกว่า มันโถว ญี่ปุ่นนำเข้ามาในสมัยนารา และเริ่มเรียกว่า มันจู ตั้งแต่นั้นมา มันจูเป็นขนมญี่ปุ่นที่มีหลากหลายไส้มาก มีทั้งไส้ถั่วแดง ฟักทอง ชาเขียว เป็นต้น

ในปัจจุบันมีแพ็คเกจขนมญี่ปุ่นออกมาขายเยอะแยะไปหมด และยังมีสูตรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อสุขภาพกันซะส่วนใหญ่ ยังมีเครื่องนวดโมจิออกมาอีก สมัยก่อนต้องทำกันเองที่บ้านแต่สมัยนี้อะไรก็สะดวกสบายไปซะหมด แค่ซื้อโมจิสำเร็จรูปมาเข้าไมโครเวฟก็ทานได้แล้ว^^ เป็นยังไงกันบ้างได้รู้จักอาหารว่างญี่ปุ่นกันมากขึ้นบ้างหรือเปล่า จริงๆ แล้วขนมญี่ปุ่นต้องเรียกว่า วากาชิ เรียก โมจิ คนญี่ปุ่นอาจจะงงกันได้ อิอิ แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้านะจ๊ะ^_^
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ:
-http://ja.wikipedia.org/wiki/
-http://www.newworldencyclopedia.org/entry/Mochi
-http://gordon-bbq.jp
-http://item.rakuten.co.jp/