คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
เกร็ดประวัติของ “มิยาโมโต้ มูซาชิ” แบบชีวิตจริงที่ไม่ใช่ฮีโร่ในนิยาย!?
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ผมได้เขียนมหาซีรี่ส์ “คัมภีร์ห้าห่วง” จบไปแล้วแบบ กำลังภายในแทบหมดหลอด ในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็อยากจะเขียนเรื่องเบาๆ บ้าง
อย่างที่เคยคุยไว้นานแล้วว่าคนไทยรู้จัก “มิยาโมโต้ มูซาชิ” จากนิยายของโยชิคาวะ เอจิ กันเสียเยอะ ซึ่งเรื่องราวจากนิยายที่ว่า ได้กลายเป็นต้นแบบของการนำเสนอภาพจำของ “มูซาชิ” ทั้งเรื่องตัวตนบุคลิกและวีรกรรมต่างๆ แบบผลิตซ้ำไปเรื่อยๆ ทั้งหนังสือการ์ตูน ละครทีวี วิดีโอเกม ที่แบบเอามาเชิดชูเป็นวีรบุรุษอย่างในนิยายของเอจิก็มี ที่เอามาล้อเลียนก็มี แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่ไปพูดตรงนั้นเยอะ เก็บไว้พูดตอนหน้าดีกว่า ได้ค่าเรื่องอีกตอน 555 เพราะที่จะมาพูดในวันนี้ จะเป็นการหยิบยก “เกร็ดประวัติ” ของมูซาชิแบบที่พูดถึงมูซาชิในฐานะที่เป็นคนธรรมดาจริงๆ ไม่ใช่ฮีโร่ที่ถูกนิยายเขียนแต่งใส่ความโรแมนติกเข้าไปนะครับ ขอเตือนท่านที่เคยมีภาพจำ “มูซาชิ” แบบฮีโร่เท่ๆ อย่างในนิยามของโยชิคาวะ เอจิ อ่านแล้วอาจรับไม่ได้ 555 แต่ทั้งนี้ ขอให้เข้าใจไว้ว่า สุดท้าย “ประวัติศาสตร์” นั้น ก็ยังเป็น “เรื่องเล่าอยู่ดี” ซึ่งอาจจริงได้พอๆ กับที่ไม่จริง ก็ขอให้ท่านผู้อ่านได้ลองอ่านดูนะครับ
มูซาชิ รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่วิชาดาบ?
หากใครอ่าน “นิยาย” เรื่องมูซาชิฉบับโยชิคาวะ เอจิ คงจะมีภาพจำเรื่องที่ “โอซือ” (お通) ที่ว่าเป็นคู่หมั้นของ “มาตาฮาจิ” เพื่อนมูซาชิ (สมัยยังเรียกชื่อว่าทาเคโซ) มาหลงใหลคลั่งไคล้เทิดทูนบูชามูซาชิมากๆ ไปไหนขอไปด้วย ขอแค่มูซาชิยอมเป็นผัวก็โอเคเซย์เยสแล้ว แต่มูซาชิวิ่งหนีครับ ผู้หญิงยิ่งตาม มูซาชิยิ่งหนี ประมาณว่าไม่อยากมีเมียโว้ย อยากจะมุ่งมั่นเอาดีเป็นยอดนักดาบอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
“ในการฝึกฝนวิชาดาบ ผู้หญิงไม่จำเป็น”
(剣の修行に女は無用 เคน โนะ ชุเงียว นิ อนนะ วะ มุโย)
แหม ยังกับ “สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์” เลยนะครับ 555 ไอ้แนวคิดที่ว่าเรื่องผู้หญิง เรื่องความสุข 18+ เป็นเหมือนเกือบๆ อบายมุข ชักนำให้ผู้ชายหันเหออกจาก “หนทางที่ลูกผู้ชายควรเป็น” (คือการเอาดีหรือประสบความสำเร็จให้ได้สักอย่าง) ภาพตรงนี้คนเขียนนิยายยิ่งจงใจทำให้ชัด contrast สุดๆ กับชีวิตของมาตาฮาจิเพื่อนรักที่ไปตกหลุม…มัวแต่หลีหงหลงระเริงไปกับแม่ม่าย จนชีวิตนี้เอาดีอะไรไม่ได้ ไปบวชพักนึงสึกมาก็ต้องมาเป็นเสมียนก๊อกแก๊กหาเงินเลี้ยงอีแก่ไป (ฮา) ในขณะที่มูซาชิ อดทนข่มกิเลสได้ไม่เอ๊กอี่เอ๊กเอ๊ก จึงได้เป็นยอดนักดาบฝากชื่อไว้ในแผ่นดิน…
เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรงๆๆ เตร่งงง…
ครับ นั่นมันคือคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม “ในอุดมคติ” ที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อสร้างภาพฮีโร่ ยอดคนครับ
แต่จริงๆ แล้ว (มีบันทึกที่ว่า) มูซาซิชอบตีกะหรี่ครับ 555
อย่าหาว่าผมพูดไปเรื่อย ในหนังสือ “อิฮอนโดโบโกะเอ็น” (異本洞房語園) ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมรวมเรื่องราวเกี่ยวกับย่าน “โยชิวาระ” (吉原) ซึ่งเป็นย่านโคมแดงยุคเอโดะ (จัดทำขึ้นในปี 1720 โห้ สามร้อยปีก่อนเรย) เขาว่ามูซาชิชอบไปเที่ยวที่นั่นค๊าบ แถมมีน้องหนูขาประจำชื่อ “คุโมอิ” (雲井) ด้วย เวลามูซาชิจะออกจากเมืองเอโดะ พอผ่านย่านโยชิวาระ น้องๆ นี่ ตั้งแถวยืนส่งกันเลยทีเดียว แสดงว่าน่าจะมาเที่ยวบ่อยจนเป็นลูกค้าวีไอพี 555 แถมน้องคุโมอิ ยังมอบเสื้อกั๊กแบบที่ใส่ออกศึก ที่เรียกว่า “จินบาโอริ” (陣羽織) ให้เป็นของขวัญด้วยน๊า 555
นี่คือภาพของน้องๆ หนูๆ ที่โยชิวาระ ภาพนี้ถ่ายสมัยเมจิ แต่เชื่อว่าในยุคของมูซาชินั้นการแต่งตัวแต่งหน้าอะไรคงไม่ต่างจากในภาพนี้นัก (ที่มา wikipedia)
ครับ ถึงมูซาชิจะไม่มีเมีย (ไม่แต่งงานอยู่กินกับใคร ซื้อกินไปเรื่อย) แต่ก็มีลูกครับ ลูกบุญธรรมนะ ลูกบุญธรรมคนหนึ่งที่มีชื่อปรากฎในนิยายของเอจิก็คือ “อิโอริ” เรียกเต็มๆ ว่า “มิยาโมโต้ อิโอริ” ก็ได้นะครับ ซึ่งทีแรกเป็นลูกศิษย์ก่อนแล้วจึงค่อยเป็นลูกบุญธรรมทีหลัง ซึ่งต่อมาลูกเลี้ยงคนนี้ก็ได้ดีมีงานทำไปเป็นซามูไรรับใช้โอกาซะวาระ ทาดะซาเนะ (小笠原忠真) เจ้าครองแคว้นอาคาชิ (明石藩) ได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งก้าวหน้าดีมากจนเป็นถึง “หัวหน้าพ่อบ้าน”(ฮิตโตคะโร 筆頭家老) เลยทีเดียว
ภาพอนุสาวรีย์ของมิยาโมโตะ มูซาชิ และ อิโอริ ที่วัดไซโคจิ จังหวัดเฮียวโกะ (ที่มา babymilk.jp)
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทุกวันนี้ยังมีลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของมิยาโมโต้ อิโอริ อยู่ที่โคคุระ (小倉) คิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะในปัจจุบัน จากการที่ในตอนหลังตระกูลโอกาซะวาระได้ย้ายไปอยู่โคคุระและลูกหลานของอิโอริก็ทำงานรับใช้ตระกูลนี้มาเรื่อยๆ นั่นเอง
นอกจากนี้ยังลูกเลี้ยงอีกสองคนที่ปรากฎชื่อ คือสองพี่น้อง “มิกิโนะสุเกะ” (三木之介) กับ “คุโร่ทาโร่” (九郎太郎) แต่ไม่มีผู้สืบเชื้อสายจากสองคนนี้แต่อย่างใด นัยว่าทั้งสองตายเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม
ดวลกับโคจิโร่แบบ “ตัวต่อตัว”จริงหรือ?
ภาพจำของมูซาชิในฐานะยอดนักดาบที่ฉายซ้ำไม่รู้กี่หนตั้งแต่นิยายของโยชิคาวะ เอจิยันการ์ตูนและละครทีวี ยิ่งกว่าตอนลุงเบนตายซะอีก (พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ฮา) นั่นก็คือฉากประลองดาบที่โคตร epic ระหว่างมูซาชิกับโคจิโร่
เป็นอะไรที่โคตร epic ขนาดที่ว่าต้องสร้างอนุสาวรีย์ไว้ซะเลย (ฮา)
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเกิดมันไม่ใช่ “ตัวต่อตัว” แต่เป็นการ “ยกพวกไปรุม” ล่ะ?
นิยายของโยชิคาวะ เอจิ วาดภาพมูซาชิว่าเป็นนักดาบพเนจรแท้ๆ ที่บังเอิญได้ต้องรับศิษย์เป็นเด็กสองคนคือโจทาโร่กับอิโอริ
แต่จริงๆ เขาว่าลูกศิษย์ของมูซาชิมีเยอะครับ ว่ากันว่า อาจมีถึงร้อยนิดๆ
และก็ว่ากันว่า (อีกละ) ก่อนจะประลองกัน ทั้งฝ่ายมูซาชิและโคจิโร่ต่างทำสัญญาว่า จะไม่พาลูกศิษย์ของตนไปด้วย แต่แน่นอน ใครจะยอมให้โง่ล่ะ มูซาชิเลยพาพวกลูกศิษย์ “ไปรุม” โคจิโร่จนตาย
ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงร้อง “เชี่ย” ดังมาก โดยเฉพาะถ้าใครเชิดชูมูซาชิแบบฮีโร่ล่ะก็นะ
แต่ถ้ามองว่าสมัยนั้น ชนะรอด แพ้ตาย ไม่ว่ายังไงก็ต้องชนะให้ได้ ล่ะก็ มันก็คือการเอาชีวิตให้รอดอย่างหนึ่ง
ผมเองตั้งแต่ตอนที่เริ่มแปล “คัมภีร์ห้าห่วง” ก็ย้ำว่า แก่นแท้ของพิชัยสงครามของมูซาชิ คือการใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาชีวิตรอด อาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่ก็รอดมาได้ทุกสนาม รอดมาจนแก่ ความคิดตกผลึก จึงได้เขียนคัมภีร์ได้
มูซาชิจริงๆ แล้วเก่งขนาดไหนกัน?
ไม่ว่าจะในนิยายของเอจิ หรือในสื่อบันเทิงอื่นๆ เช่นการ์ตูน ละครทีวี (ซึ่งล้วนแต่อิงกับนิยายของเอจิ) จะต้องมีฉากบู๊ การที่มูซาชิไปดวล ไปสู้ กับผู้ใช้วิชาต่อสู้สำนักอื่นๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสู้กับสำนักโยชิโอกะ ตั้งแต่กับเซจูโร่ เด็นชิจิโร่ และลงท้ายด้วยการสู้กับคนทั้งสำนักโยชิโอกะ สู้กับชิชิโดะ ไบเค็น (宍戸梅軒) ผู้ใช้เคียวโซ่ สู้กับอินชุน (胤舜) พระผู้ใช้วิชาหอกวัดโฮโซอิน สู้กับมุโซ กอนโนสุเกะ ((夢想權之助) ผู้ใช้วิชากระบองยาว (โบ 棒) และถึงกับว่าพี่แกคิดค้นวิชา “โจ้” (杖) หรือพลองสั้นเพราะเห็นจุดอ่อนที่ว่าโบมันยาวไป เอาตรงๆ แค่นี้ก็ขายฉากแอ็กชั่นเรียกคนดูได้แล้ว
ชิชิโดะ ไบเค็น ในการ์ตูน Vagabond ของ อ.อิโนะอุเอะ คือจะบอกว่าแกวาดมาหล่อเท่เซอร์ได้ใจสุดๆ (ที่มา renote.net)
แต่ว่ากันว่าในเรื่องราวเหล่านี้ มีบางเรื่องที่ว่า “ความน่าเชื่อต่ำ” คือเชื่อได้ยากว่าเคยเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือเรื่องสู้กับคนทั้งสำนักโยชิโอกะ ๑ และก็เรื่องสู้กับผู้ใช้หอกวัดโฮโซอิน ๑
ส่วนเรื่องของการสู้กับมุโซ กอนโนสุเกะ ว่ากันว่าเคยประลองกันสองหน หนแรกมูซาชิชนะแต่ไม่ฆ่ากอนโนสุเกะ พอหนสอง กอนโนสุเกะชนะมูซาชิ แต่ก็ไม่ฆ่ามูซาชิเช่นกัน แต่เรื่องนี้จริงหรือไม่ก็พูดยาก บางคนก็ว่าเสมอ (ต่างทำไรกันไม่ได้) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มูซาชิก็เป็นนักดาบ “คนดัง” คนหนึ่งในยุคสมัยของตัวเองแน่นอน
ภาพมุโซ กอนโนสุเกะ ที่คัดลอกจากงานไม้แกะ น่าจะทำขึ้นในศตวรรตที่ 17 (ที่มา wikipedia)
แต่ว่าจะบอกว่ามูซาชิ “อยากเป็นนักดาบอันดับหนึ่ง” เหมือนที่นิยายของเอจิวาดภาพเอาไว้ ก็หาไม่ (ไอ้นิยายน่ะมันเขียนแบบโรแมนติค อุดมคติ อย่าไปเชื่อมันมาก) จริงๆ แล้ว ว่ากันว่า แกอยากจะได้งานเป็น “ครูสอนพิชัยสงคราม” (เฮียวโฮชินันยาคุ 兵法指南役) ให้กับเจ้าเมืองที่ไหนสักที่มากกว่า ฉะนั้นจะบอกว่าการที่มีประวัติดวลกับคนนั้นคนนี้ มันก็เหมือนกับการสร้างผลงานลง portfolio จะได้เอาไปสมัครงาน นั่นแหละครับ
อีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันก็คือ มูซาชิเองในภายหลังก็เคยไปเป็นทหาร “รบทัพจับศึก” ในยุคเอโดะเหมือนกัน เคยไปอยู่ฝ่ายโตกุกาวะใน “การศึกฤดูร้อน” ที่ปราสาทโอซาก้า (ซึ่งทำให้ตระกูลโทโยโทมิสิ้นโคตร) และยังเคยไปรบใน “การปราบจลาจลที่ชิมาบาระ” ไปปราบกบฎคริสตังที่นำโดยอามาคุสะ ชิโร่ (天草四郎)
แต่มูซาชิ ก็ไม่เคยได้เป็น “ครูสอนพิชัยสงคราม” เลย
ขอยกไทม์ไลน์ชีวิตของมูซาชิมาให้ดูแบบเข้าใจง่ายๆ นะครับ
- ถ้าว่าด้วยปฏิทินฝรั่ง มูซาชิเกิดปี 1584
- ประลองกับโคจิโร่ ปี 1612 (อายุ 28)
- ได้ไปรบใน “การศึกฤดูร้อน” ที่ปราสาทโอซาก้า เกิดขึ้น ปี 1615 (อายุ 31) ว่ากันว่าไปรบในฐานะ “ทหารม้า” ภายใต้อาณัติของ มิซุโนะ คัตสึนาริ (水野勝成)
- ปี 1633 (อายุ 49) ได้ไปอยู่กับโฮโซคาวะ ทาดาโทชิ (細川忠利) เจ้าครองแคว้นคุมาโมโต้ ได้ตำแหน่ง “โอกุมิกาชิระ” (大組頭) อารมณ์ประมาณนายกอง ได้เบี้ยหวัด 300 โกขุ
- กบฎที่ชิมาบาระ เกิดเมื่อปี 1637 (อายุ 53) มูซาชิไปร่วมทัพปราบกบฎภายใต้อาณัติของโอกาซะวาระ ทาดะซาเนะ ซึ่งเป็นนายของอิโอริลูกบุญธรรม ว่ากันว่าอิโอริหลังเสร็จศึกปราบกบฎ ได้รับการปูนบำเหน็จได้เบี้ยหวัดเพิ่มอีก 1500 โกขุ รวมเป็น 4000 โกขุ เกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือในการปราบกบฎคราวนี้ ตอนไปตีปราสาทฮาระ มูซาชิได้รับบาดเจ็บ โดนซัดหินใส่ ดังสาส์นที่มีไปถึงอะริมะ นาโอซุมิ (有馬直純) ว่า 「拙者も石にあたり、すねたちかね申故、御目見にも祗候仕らず候」“ผู้น้อยก็โดนก้อนหิน เป็นเหตุ (ให้) หน้าแข้งยืนไม่ได้ (จึง) มิได้ไปเยี่ยมหารับใช้ท่าน”
- ปี 1643 (อายุ 59) เข้าถ้ำเรย์กันโด (霊巌洞) ไปนั่งสมาธิเขียน “คัมภีร์ห้าห่วง”
- ปี 1645 (อายุ 61) ตาย เป็นมะเร็ง (นัยว่าเป็นมะเร็งที่ทรวงอกหรือปอด)
นี่คืออามาคุสะ ชิโร่ ผู้นำกบฎที่ชิมาบาระ ที่มูซาชิเคยร่วมทัพไปปราบ
ว่ากันว่าหลังปราสาทฮาระถูกฝ่ายปราบกบฎเข้าตีได้ อามาคุสะก็ถูกจับไปตัดหัว (ที่มา wikipedia) วิญญาณเลยต้องคืนชีพกลับมาเพื่อล้างแค้นโลกนี้ ดังเนื้อเรื่องในเกม “ซามูไรสปิริต” แบบนี้
ไม่ใช่ละ 555 (ที่มา gbl.gg)
เพราะฉะนั้นมูซาชิก็เป็นคนธรรมดาแหละครับ มีวันที่เจ็บตัวได้เหมือนกัน ในแง่การงาน ถ้าวัดกันที่เบี้ยหวัดเงินปี (เปรียบอย่างสมัยนี้ก็คือเงินเดือน) ลูกบุญธรรมของแกยังเรียกว่า “ก้าวหน้า” มากกว่าเลยครับ
บทส่งท้าย
เมื่อท่านผู้อ่านได้อ่านมาถึงจุดนี้ คงมีคำถามในใจว่า ถ้าเป็นอย่างที่ผมเก็บความมาเล่าจริงๆ แล้วมูซาชิยังจะมีอะไรให้ยกย่องหรือยอมรับนับถือ? เพราะจะว่า “วิชาดาบ” ก็ไม่ได้เก่งสุด ทำงานก็ไม่ได้จะมีตำแหน่งใหญ่โตหรือได้ดีในเชิงการงาน บลาๆ…
บางทีความสำเร็จส่วนตัวของคนๆ หนึ่ง (achievement) ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า สิ่งที่เขาทำได้สร้างประโยชน์อย่างไรกับใคร (กับสังคม) บ้าง (contribution)
ผมเคยอ่านเรื่องของนักยูยิตสูที่เขาพูดว่า การที่คุณแข่งได้เหรียญทองน่ะ ประเดี๋ยวคนก็ลืม แต่การที่คุณเปิดยิม สอนลูกศิษย์ได้ อันนี้แหละสำคัญ
ครับและการที่มูซาชิเขียน “คัมภีร์ห้าห่วง” และ “วิถีเดินเดี่ยว” ทิ้งเอาไว้ในโลก และมันยังอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ มันสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้คนที่ได้มาศึกษามัน เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าเปิดยิมอีก เพราะมันเป็นสาส์นที่ “ข้ามยุคสมัย ข้ามกาลเวลา” เลยทีเดียว
เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่า มูซาชิน่ะ ก็เหมือนกับขงจื้อ คือในยุคของตัวเอง ความคิดอ่านไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่ เพราะมันไม่ตอบโจทย์หรือไปขัดแย้งกับความคิดกระแสหลัก กระแสสังคมในยุคนั้น เอาจริงๆ แนวคิดอะไรหลายอย่างใน “คัมภีร์ห้าห่วง” ก็ค่อนข้างแหกกรอบประเพณีนิยมของซามูไรไม่น้อยนะครับ แต่พอมันข้ามยุคสมัย เวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน มันกลายเป็นอะไรที่ต้องเอามาศึกษา และก็กลายเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ยุคสมัยได้
ไม่ว่าพฤติกรรม วีรกรรมตอนหนุ่มของมูซาชิจะเป็นยังไง ถูกคนเอาไปเขียนนิยายใส่สีตีไข่ขนาดไหน
แต่ความเป็นจริงคือ มูซาชิตายอย่าง “อาคันตุกะ” ที่เจ้าเมืองอุปถัมภ์ ที่เรือนพักในเขตปราสาทจิบะ (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดคุมาโมโตะ) ถ้าคิดถึงจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ปากกัดตีนถีบขนาดนั้น การที่สุดท้ายก็ยังเป็นที่ยอมรับนับถือ มีโอกาสได้ทำงานการ มีเบี้ยหวัดมีบริวารรับใช้ (ทำงานรับใช้นายได้เบี้ยหวัด 300 โกขุ มีบริวารไว้ใช้สอย 17 คน ได้อภิสิทธิ์ในการล่าสัตว์ด้วยเหยี่ยว มีเรือนพักในปราสาทจิบะ) มองจากจุดเริ่มต้นของชีวิตแล้ว มันก็ไม่เลวนักหรอกครับ ถึงจะไปไม่ได้ถึงจุดที่เคยอยากจะเป็นก็ตามที
มันก็เป็นสิ่งที่สะกิดใจเรื่องการดำเนินชีวิตของผมจากนี้ไปเหมือนกันนะครับ กับเรื่องราวชีวิตของมูซาชิ
ทุกวันนี้ปราสาทจิบะไม่มีเหลือแล้ว เรือนพักของมูซาชิก็เช่นกัน แต่ยังมีการปักเสาสีขาวพร้อมทั้งเขียนคำกล่าวถึงมูซาชิ พอหมุดหมายเอาไว้ให้รู้ว่า ณ ที่ตรงนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งเรือนที่พำนักของ มิยาโมโตะ มูซาชิ อยู่นะครับ ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปชมแบบสตรีทวิวหรือดูภาพถ่ายใน Google Maps ได้เลยนะครับ
ในตอนหน้าจะขอเขียนถึงภาพลักษณ์ของ “มูซาชิ” ที่ปรากฎในสื่อบันเทิง เอาเท่าที่จำได้หมายรู้ผ่านตาผมนะครับ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (89) คัมภีร์แห่งอากาส (ที่ว่าง)
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (88) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): สิบเอ็ด ปัจฉิมลิขิต
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (87) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): สิบ สิ่งที่เรียกว่า ใน นอก ในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (86) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เก้า การใช้ความเร็วในพิชัยสงครามอื่น
– โรคซึมเศร้า สังคมญี่ปุ่น สังคมไทย เราควรเอาพุทธศาสนามาช่วยบำบัดดีไหม?
#เกร็ดประวัติของ “มิยาโมโต้ มูซาชิ” แบบชีวิตจริงที่ไม่ใช่ฮีโร่ในนิยาย!?