Konosuke Matsushita ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ควรมีอยู่เพื่อสังคม … ปรัชญาพื้นฐานข้อหนึ่งที่บริษัทมัตสุชิตะยึดมั่นมาโดยตลอดคือ “บริษัทเป็นสถาบันของสาธารณชน ทรัพยากรทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจของเราซึ่งประกอบด้วยทรัพยากรมนุษย์ ทุนทรัพย์ และผลิตภัณฑ์นั้นล้วนแต่มาจากสังคมทั้งสิ้น
พานาโซนิคเป็นบริษัทแรกๆ ที่ดิฉันเคยทำงานด้วยและรู้สึกประทับใจในแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคม โคโนสุเกะ มัตสุชิตะ ผู้ก่อตั้งบริษัท นับเป็นบิดาของวงการบริหารญี่ปุ่นที่หลายๆ คนยกย่อง ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักกว้างไกลไปทั่วโลก เขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเป็นเด็กฝึกงานในร้านเล็กๆ และมัตสุชิตะก็ลาออกจากบริษัทมาสร้างธุรกิจของเขาเองจนกลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทระดับโลกด้วยวัยเพียง 23 ปี
มัตสุชิตะบอกว่า องค์กรเอกชนก็คือสถาบันหนึ่งในสังคมที่มีหน้าที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมโดยรวม ธุรกิจดำรงอยู่ได้เพราะมีความจำเป็นต่อสังคม ได้ผลิตสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนในสังคม ดังนั้นพื้นฐานการบริหารธุรกิจก็คือเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คนต้องการและตอบสนองไปในทิศทางนั้น
ตอนที่เริ่มตั้งบริษัทใหม่ๆ มัตสุชิตะเรียนรู้การเพิ่มอุปสงค์ของตลาดโดยการผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อให้ราคาถูกลง เขานำหลักนี้มาจากเฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ชื่อดัง ซึ่งแม้จะต้องการผลกำไรจากการประกอบธุรกิจ แต่เขาก็ตระหนักดีว่าผลกำไรที่แท้จริงสำหรับเขาและคนอื่นๆ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนได้หรือไม่ และสินค้านั้นตอบสนองความต้องการในชีวิตความเป็นอยู่ได้ดีแค่ไหน เขามองว่าผลกำไรไม่ใช่สิ่งที่บริษัทควรมุ่งหวัง แต่เป็นสิ่งที่ได้รับตอบแทนจากสังคม เพราะบริษัทให้สินค้าและบริการเพื่อประโยชน์ของสังคม
ความคิดเรื่องการทำธุรกิจเพื่อสังคมของมัตสุชิตะเริ่มตั้งแต่ปี 1932 เมื่อเพื่อนชวนเขาไปเยือนวัดแห่งหนึ่งในชุมชนเพื่อโน้มน้าวให้มัตสุชิตะเปลี่ยนศาสนา มัตสุชิตะประทับใจในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สวยงามเปล่งประกายและกลุ่มคนที่สวดมนต์อยู่ที่แท่นบูชาด้วยความศรัทธาอย่างที่สุดนั้นมาก และเขาก็ยิ่งประทับใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าทั้งตึก แท่นบูชา ห้องสมุด และโรงเรียนในสถานที่แห่งนั้น แท้จริงแล้วสร้างขึ้นโดยกลุ่มผู้ศรัทธานั่นเอง ด้วยการที่ทุกคนทำงานก่อสร้างกันอย่างขยันขันแข็งและเต็มไปด้วยพลัง
มัตสุชิตะมานั่งคิดถึงความแตกต่างระหว่างธุรกิจและศาสนา แล้วเห็นว่าธุรกิจมักจะประสบภาวะถดถอยหรือล้มละลาย แต่ศาสนากลับเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะกิจกรรมทางศาสนานำมาซึ่งสันติสุขทางจิตวิญญาณและนำความรู้แจ้งมายังผู้คน ขณะที่นักธุรกิจส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องเงินทอง
เขาจึงคิดว่า “ถ้าเราเปลี่ยนไปเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง แต่ทำเพื่อสังคมล่ะ? หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะทำหน้าที่อันมีเกียรตินี้ไม่ต่างจากหน่วยงานทางศาสนาที่ไม่ได้เพียงแค่ทำงานธรรมดา แต่ทำงานเพราะต้องการช่วยคนในสังคม”
ดังนั้นมัตสุชิตะจึงประกาศว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมคือหลักในการดำเนินธุรกิจ โดยบอกว่า “หน้าที่ของผู้ผลิตก็คือการเอาชนะปัญหาความยากจนของสังคมและนำความมั่งมีมาแทนที่ ธุรกิจและการผลิตจึงไม่ใช่แค่การทำให้ร้านหรือโรงงานผลิตร่ำรวยขึ้น แต่เป็นสังคมโดยรวม” ดังนั้นหน้าที่ของบริษัทมัตสุชิตะอิเล็คทริคก็คือการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากพอ และราคาสมเหตุสมผลจนไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าไม่มีปัญญาซื้อ มัตสุชิตะพูดถึง “ทฤษฎีก๊อกน้ำ” ซึ่งอธิบายว่า ถึงแม้ผู้คนจะต้องจ่ายเงินเพื่อใช้น้ำประปาในการบริโภคอุปโภค แต่คนก็ยินดีที่จะจ่าย เพราะน้ำประปามีปริมาณเหลือเฟือและราคาถูกพอจนใครๆ ก็จ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงหาทางผลิตสินค้าที่ราคาเหมาะสมกับตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนก็มาจับจองเป็นเจ้าของสินค้าของเขาจนธุรกิจขยายตัวเรื่อยมา เขาเชื่อว่าสินค้าแหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างสันติภาพและความมั่งมีไปทั่วทุกแห่ง และนี่ก็คือพันธกิจในการทำธุรกิจของมัตสุชิตะที่สืบทอดมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน
ปรัชญาพื้นฐานข้อหนึ่งที่บริษัทมัตสุชิตะยึดมั่นมาโดยตลอดคือ “บริษัทเป็นสถาบันของสาธารณชน ทรัพยากรทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจของเราซึ่งประกอบด้วยทรัพยากรมนุษย์ ทุนทรัพย์ และผลิตภัณฑ์นั้นล้วนแต่มาจากสังคมทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อกิจกรรมในการดำเนินธุรกิจของบริษัทผูกพันกับทรัพยากรที่ได้จากสังคมแล้ว การพัฒนาของบริษัทจึงสอดคล้องกับการพัฒนาของสังคมเช่นกัน เพราะเหตุนี้การดำเนินธุรกิจต่างๆ จึงต้องโปร่งใสยุติธรรม และต้องทุ่มเทกำลังกายอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายนี้
นอกจากนี้บริษัทยังควรช่วยให้สมาชิกเติบโตเป็นประชากรที่มีความรับผิดชอบ แต่ธุรกิจก็สามารถแสวงหากำไรในจำนวนที่เหมาะสมได้เพราะจะทำให้ธุรกิจขยายตัว หากเราใช้เงินทุน ทรัพยากรมนุษย์ และวัตถุดิบจากสังคมแล้วไม่สามารถทำกำไรได้ นั่นหมายถึงเรากำลังก่ออาชญากรรมทางสังคมอยู่ การแสวงการกำไรในจำนวนที่เหมาะสมจะนำไปสู่ความยั่งยืน และบริษัทก็สามารถจ่ายคืนให้สังคมได้ในรูปของภาษี
ติดตามอ่านเรื่องราวการทำธุรกิจด้วยใจรักจนประสบความสำเร็จได้ในหนังสือ “Japan Success ธุรกิจสำเร็จได้ด้วยใจรัก” และ หนังสือจิตวิทยาความรักความสัมพันธ์ “เมื่อจิตวิทยา ทำให้คนรักกัน” สามารถพูดคุยสื่อสารกับพิชชารัศมิ์ได้ที่ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– พนักงานบริษัทญี่ปุ่นรู้สึกผิดเมื่อลาพักร้อน และการใช้โดรนไล่พนักงานกลับบ้าน
– 4 ปัจจัยที่จะทำให้คุณมีความสุข
– Tamagoya ร้านข้าวกล่องที่ดำเนินกิจการโดยเด็กที่เรียนไม่จบมัธยม
– 4 คำถามเพื่อความสุขและสำเร็จในการทำงาน
– เครื่องอัตโนมัติที่ช่วยลดแรงงานคน
– เลี้ยงลูกให้มีความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น
ขอบคุณรูปภาพ :
https://konosuke-matsushita.com/en/
https://www.facebook.com/Konosuke.matsushita.en/