ทำไมวัยรุ่นญี่ปุ่นจำนวนมากเขียนคันจิไม่ได้?
สำหรับชาวต่างชาติที่เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่นั้น การเขียนอักษรจีนในภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่า “อักษรคันจิ (漢字)” นั้นเป็นสิ่งที่ทรมานมากในการเรียนรู้ แต่ในปัจจุบันไม่เพียงแค่ชาวต่างชาติเท่านั้น แต่ชาวญี่ปุ่นเองจำนวนมากโดยเฉพาะวัยรุ่นก็เขียนคันจิกันไม่ได้แล้ว บางคนถึงขั้นอ่านอักษรหลายตัวไม่ออกก็มี วันนี้มาพิจารณาถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้วัยรุ่นญี่ปุ่นเขียนคันจิไม่ได้กัน
สาเหตุเชิงประวัติศาสตร์
เคยพูดถึงไปแล้วแบบละเอียดใน “ที่มาของเสียงอ่านคันจิอันหลากหลายในภาษาญี่ปุ่น” ว่าอักษรคันจินั้นซับซ้อนมากเพราะมีการรับเสียงอ่านแบบจีนที่เรียกว่าอง-โยะมิ (音読み) เข้ามาทั้งหมด 4 ยุค คือยุคของ:
1) โกะ-อง (呉音) คือเสียงอ่านและอักษรคันจิที่รับเข้ามาจากแคว้นอู๋ของจีน
2) คัง-อง (漢音) คือเสียงอ่านและอักษรคันจิที่รับเข้ามาจากราชวงศ์ฮั่น
3) โท-อง (唐音) เสียงอ่านและอักษรคันจิที่รับเข้ามาจากราชวงศ์ถัง
4) โซ-อง (宋音) เสียงอ่านและอักษรคันจิที่รับเข้ามาจากราชวงศ์ซ้อง
นอกจากนี้ ยังมีเสียงอ่านแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าคุง-โยะมิ (訓読み) อีกซึ่งมีหลักเกณฑ์ซับซ้อน แล้วยังมีคังโย-อง (慣用音) ที่เป็นเสียงที่ไม่ได้จัดเข้ากลุ่มใด ๆ ใน 4 ยุคด้านบน แต่เป็นเสียงที่ยอมรับกันโดยทั่วไป หรือ เป็นที่นิยม เนื่องจากออกเสียงผิดพลาด หรือ เสียงค่อย ๆ เพี้ยนไปจากต้นฉบับเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ
ที่ยากแบบหนักหนาสาหัสที่สุดคือ เสียงแบบตามใจฉันที่เรียกว่า อะเทะจิ (当て字) คือไม่สนใจความหมายว่าตรงหรือไม่ แต่จะเอาแค่เสียงให้ตรงก็พอ และช่วงหลังมีการเอาภาษาอังกฤษมาใส่อะเทะจิให้เหมือนกับมีอักษรคันจิอีกด้วย เช่นภาษาอังกฤษคำว่าเมโลดี้ แต่ใส่อักษรคันจิว่า 美音 (เสียงสวย) แต่ให้อ่านออกเสียงเป็นคะตะกะนะว่า เมะโระดิ หรือในการ์ตูนชื่อดังอย่างเรื่อง Death Note ที่ตัวละครเอกเขียนอักษรว่าพระจันทร์ 月 แต่ให้อ่านออกเสียงเป็นคะตะกะนะว่า ไรโตะ เป็นต้น การที่ใช้อะเทะจิกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนญี่ปุ่นอ่านและเขียนชื่อ-นามสกุลของกันและกันไม่ได้อีกต่อไป ต้องถามจากเจ้าตัวสถานเดียวว่าออกเสียงว่าอะไร
แล้วเมื่อปี ค. ศ. 2010 มีการปรับปรุงรายชื่ออักษรคันจิที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน ที่เรียกว่า โจโยคันจิ (常用漢字) จากเดิมที่มี 1,945 ตัว (ปรับปรุงเมื่อปี ค. ศ. 1981) ตัดออกบางตัว เติมเข้าบางตัว กลายเป็น 2,136 ตัวไปแทน แต่สิ่งพิมพ์เกี่ยวกับคันจิจำนวนมากยังใช้รายชื่อเดิมคือ 1,945 ตัวอยู่ (ตัวอย่างเช่นพจนานุกรมอักษรคันจิเล่มฮิต ๆ สำหรับชาวต่างชาติก็ยังคงใช้ 1,945 ตัวอยู่) เรียกว่าหลังปี 2010 ทำให้ทุกสิ่งเกี่ยวกับคันจิต้องอัพเดตข้อมูลเพิ่มกันพอสมควรซึ่งคงใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะลงตัวเหมือนเวอร์ชันปี 1981
สาเหตุด้านเทคโนโลยี
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 80s นั้นญี่ปุ่นมีการใช้เครื่อง Word Processor (ที่เรียกแบบญี่ปุ่นว่า วาปุโระ: ワープロ) อย่างแพร่หลาย ซึ่งเครื่องวาปุโระนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องพิมพ์ดีดมาก เพราะเครื่องพิมพ์ดีดญี่ปุ่นต้องบรรจุอักษรหลายพันตัว ในขณะที่วาปุโระสามารถใช้อักษรโรมันในภาษาอังกฤษแล้วแปลงออกมาเป็นอักษรคันจิหลายพันตัวนั้นได้
เมื่อวาปุโระที่ใช้ฐานอักษรโรมันเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวัน ก็เป็นข้อถกเถียงทางสังคมมาตั้งแต่ยุค 80s แล้วว่าวัยรุ่นญี่ปุ่นเขียนคันจิได้น้อยลง แต่พอยุคเปลี่ยนไปอีกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ยุคสมาร์ตโฟน ก็ยิ่งทำให้สะดวกจนเขียนคันจิกันไม่เป็นอีกต่อไปแล้ว แม้แต่อ่านก็ยังอ่านกันไม่ออก อาจเป็นเรื่องปกติที่คน Generation อายุมากกว่าจะบ่นวัยรุ่นว่าทำอย่างโน้นไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่กรณีของญี่ปุ่นนั้นเป็นข้อเท็จจริงเลยว่าเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกจนวัยรุ่นเขียนคันจิได้น้อยลงเรื่อย ๆ จริง จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองที่เคยจัดอบรมวัฒนธรรมองค์กรให้ชาวญี่ปุ่นก็พบว่าเป็นเรื่องจริงที่วัยรุ่นญี่ปุ่นจำนวนมากเขียนคันจิกันแทบไม่ได้ คันจิง่าย ๆ เช่นคำว่า ที่อยู่ (住所) หรือคำว่า บริษัท (会社) ก็มีหลายคนเขียนกันไม่ได้แล้ว ต้องหันไปจิ้ม ๆ สมาร์ตโฟนเช็คคันจิพวกนี้
น่าจับตามองว่าหลังการมาถึงของยุค A. I. นั้นการเขียนคันจิของชาวญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไปอีกเพียงใด ส่วนเราชาวต่างชาตินั้นไม่ได้จำเป็นต้องเขียนหรืออ่านเก่ง แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเรียนภาษาญี่ปุ่นของพวกเรามากกว่า ว่าเรียนแค่พอสื่อสารได้ หรือเรียนเอาแตกฉาน ตรงนี้ไม่น่าจะซีเรียสเท่าการที่เจ้าของภาษาเขียนอักษรภาษาตัวเองไม่ได้
สาเหตุความบกพร่องทางการเรียนรู้
กรณีนี้อาจเป็นกลุ่มอาการ Dysgraphia (มีความบกพร่องทางการเขียนภาษา) และ/หรือ กลุ่มอาการ Dyslexia (มีความบกพร่องทางการอ่านภาษา) ซึ่งผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จึงมิอาจสรุปได้ว่ากลุ่มอาการนี้เกิดจากสาเหตุใด อาจมองภาพรวมได้ว่า เกิดจากวิถีชีวิตปัจจุบันที่การทำงานวุ่นวายมากขึ้นจนทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาเลี้ยงดูบุตรหลาน, อาจใช้เทคโนโลยีเช่นทีวีหรือแท็บเล็ตเลี้ยงดูเด็กมากเกินไปจนขาดโอกาสพัฒนาทักษะทางภาษา และขาดโอกาสพัฒนากล้ามเนื้อมือและนิ้วที่จำเป็นในการเขียน จนทำให้พอโตแล้วใช้มือและนิ้วเขียนไม่ค่อยได้, สารอาหารหรือสารเคมีบางตัวรวมทั้งมลพิษที่ทำให้เด็กเกิดอาการนี้ ฯลฯ
กลุ่มอาการเหล่านี้เกิดได้กับทุกภาษา ไม่ใช่แค่กับภาษาญี่ปุ่น แต่เมื่อเกิดกับเด็กผู้พูดภาษาญี่ปุ่นซึ่งมีอักษรหลายพันตัว และมีอักษรพ้องเสียงจำนวนมหาศาล จะทำให้ความสามารถในการอ่านและเขียนคันจิบกพร่องได้อย่างแน่นอน จึงอาจจัดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่วัยรุ่นญี่ปุ่นเขียนคันจิได้น้อยลงก็เป็นได้
เป็นเรื่องที่น่าจับตามองกรณีศึกษาของญี่ปุ่นแล้วย้อนกลับมาดูที่เมืองไทย ว่าสังคมไทยปัจจุบันนั้น เยาวชนทั้งเด็กและวัยรุ่นไทย สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ดีพอที่จะใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ รวมทั้งดีพอที่จะใช้พัฒนาชีวิตและประเทศชาติได้หรือไม่
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– บ่อเกิดและการจัดหมวดหมู่ของคาราเต้
– หมัดดาวเหนือและหมัดดาวใต้ มีจริง?
– วัฒนธรรมกินเนื้อวัวของญี่ปุ่น มาจากตะวันตก? – สุกี้ยากี้เป็นอาหารฝรั่ง?
– ญี่ปุ่นไม่เคยหยุดพัฒนา ด้วยแนวคิด คะจิ-สึสึเคะรุ (勝ち続ける) ที่แปลว่าต้องชนะอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
– ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ของญี่ปุ่น ที่จริงเป็นอิทธิพลจากอเมริกา?
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://ja.wikipedia.org/wiki/
https://www.japanesewithanime.com/2017/12/onyomi.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Kanji
#ทำไมวัยรุ่นญี่ปุ่นจำนวนมากเขียนคันจิไม่ได้?