ที่มาของเสียงอ่านคันจิอันหลากหลายในภาษาญี่ปุ่น… วันนี้จึงจะเล่าเรื่องเสียงอ่านของคันจิ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงได้เยอะสิ่งเช่นนี้
หลายท่านที่รู้ภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นคงจะข้องใจกันมาก ว่าทำไมอักษรคันจิที่ญี่ปุ่นใช้ถึงได้มีเสียงอ่านมากมายต่างจากอักษรจีนในภาษาจีนกลางปัจจุบันมากนัก ทำให้คนเรียนภาษาญี่ปุ่นสับสนเป็นอย่างมาก ในขณะที่คนเรียนภาษาจีนกลางจะไม่ค่อยประสบปัญหาเสียงอ่านแสนสับสนแบบนี้
(นี่ยังไม่นับว่าภาษาญี่ปุ่นยังมีไวยากรณ์สุดแสนจะพิลึกพิลั่น ต่างจากภาษาจีนที่มีลักษณะเป็นคำโดดคล้ายภาษาไทย ทำให้คนไทยที่เรียนภาษาญี่ปุ่นต้องรับภาระสมองหนักกว่าคนไทยที่เรียนภาษาจีนมากนัก)
วันนี้จึงจะเล่าเรื่องเสียงอ่านของคันจิ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงได้เยอะสิ่งเช่นนี้
แรกเริ่มเดิมทีนั้นญี่ปุ่นยังมีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง แต่ยุคโบราณตอนโน้นคือจีนเป็นมหาอำนาจและญี่ปุ่นมีการรับอารยธรรมจากจีนมาในหลายมิติ
ในที่สุดราวๆ ช่วงระหว่างศตวรรษที่ 6-7 ญี่ปุ่นจึงค่อยๆ รับอักษรจีนเข้ามาใช้ในภาษาตัวเอง และรับอักษรจีนอย่างต่อเนื่องมามาตลอดพันกว่าปี แต่จีนเองก็มีประวัติศาสตร์หลายพันปีเช่นกัน และยังเป็นประเทศใหญ่ สมัยโบราณแบ่งเป็นแคว้นต่างๆ มากมายในจีนไปอีก อีกทั้งญี่ปุ่นเองก็มีภาษาพูดที่มีเสียงของตัวเองอยู่แล้ว
พอรับอักษรจีนเข้ามา ก็เลยเกิดปรากฏการณ์แบ่งแยกเสียงอ่านออกเป็น เสียงแบบจีน (องโยะมิ: 音読み) และ เสียงแบบญี่ปุ่น (คุงโยะมิ: 訓読み) แล้วเสียงแบบจีนเองก็ยังแยกเป็นหลายแคว้นหลายยุค ในภาษาญี่ปุ่นจึงมีการรวบรวมเสียงอ่านของอักษรคันจิไว้คร่าว ๆ ดังนี้
1. เสียงอ่านแบบจีน แบ่งเป็น 5 แนวทาง
-เสียงโกะ-อง (呉音): อักษร โกะ (呉) ในที่นี้หมายถึงแคว้นอู๋ในประเทศจีน แต่ชาวไทยเราจะคุ้นเคยกับเสียงจีนแต้จิ๋วว่า “ง่อก๊ก” มากกว่า เพราะเป็นแคว้นหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก
โดยเสียงโกะ-องนี้เป็นเสียงที่เก่าแก่ที่สุดที่ภาษาญี่ปุ่นรับเข้ามาโดยผ่านทางอาณาจักรแพ็กเจ (백제) ของเกาหลีโบราณที่ได้รับเสียงอ่านและคันจิเหล่านี้มาจากแคว้นอู๋อีกที (กระบวนการรับเสียงอ่านและอักษรจีนเหล่านี้ดำเนินการแบบต่อเนื่องช่วงระหว่างศตวรรษที่ 6-7) เสียงโกะ-องจะมีเสียงคล้ายภาษาท้องถิ่นทางตอนใต้ของประเทศจีนในปัจจุบัน
-เสียงคัง-อง (漢音): อักษร คัง (漢) หมายถึงราชวงศ์ฮั่น จัดเป็นเสียงอ่านที่ฮิตที่สุดในอักษรคันจิของญี่ปุ่น ก็เล่นเอาอักษรตัวนี้มาเรียกอักษรจีนทุกชุดที่ญี่ปุ่นรับจากจีนกันเลยทีเดียว ญี่ปุ่นรับเสียงอ่านแบบคัง-องประมาณศตวรรษที่ 7 ที่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนผ่านยุคนะระเข้าไปสู่ยุคเฮอันของญี่ปุ่น
-เสียงโท-อง (唐音): อักษร โท (唐) หมายถึงราชวงศ์ถัง ญี่ปุ่นรับเสียงอ่านนี้มาใช้เมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 ญี่ปุ่นอยู่ในปลายยุคเฮอันพอดี
-เสียงโซ-อง (宋音): อักษร โซ (宋) หมายถึงราชวงศ์ซ้อง แต่เสียงโท-องและเสียงโซ-องในภาษาญี่ปุ่นนั้นทับซ้อนกันจนผสมผสานกลายเป็นชุดเดียวกันไปแล้ว บางตำราจึงนับเสียงโซ-องว่าเป็นแค่กลุ่มย่อยของเสียงโท-องเท่านั้น
-คังโย-อง (慣用音): หมายถึงเสียงที่ยอมรับกันโดยทั่วไป หมายถึงเสียงอ่านที่จัดกลุ่มให้เข้ากับ 4 แนวทางด้านบนไม่ได้ เนื่องจากออกเสียงผิดพลาด หรือเสียงค่อย ๆ เพี้ยนออกไปจากต้นฉบับเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ จนกลายเป็นเสียงที่ยอมรับกันในภาษาญี่ปุ่น
ในขณะที่อักษรจีนในภาษาจีนกลางปัจจุบันกำหนดเสียงอ่านแมนดารินไว้ จึงทำให้ไม่สับสนเพราะมีเสียงมาตรฐานเพียงชุดเดียว แต่ในภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานคือพี่แกเล่นใช้หมดทุกเสียงที่รับเข้ามาในประวัติศาสตร์บวกกับเสียงที่ตัวเองอ่านเพี้ยนไปอีก เลยมีเสียงอ่านมหาศาลมากสำหรับอักษรจีน
แต่ถ้าใครสนใจเวลาเปิดพจนานุกรมคันจิแบบที่ชาวญี่ปุ่นใช้ (漢字辞典) จะมีระบุชัดเจนมาก เช่น เปิดอักษร 頭 เขาจะมีเขียนบอกหมดเลยว่า เสียงโกะ (呉) จะออกเสียงว่า สุ (ズ) / เสียงคัง (漢) จะออกเสียงว่า โท (トウ) / และเสียงโท (唐) จะออกเสียงว่า จู (ジュウ) / แล้วยังมีอธิบายเสียงที่ยอมรับโดยทั่วไป (慣) ด้วยว่านิยมออกเสียงว่า โทะ (ト)
เรียกว่าพจนานุกรมของคนญี่ปุ่นนั้นละเอียดเวอร์ไปถึงระดับประวัติศาสตร์ของอักษรเลย ถ้าใครอยากจะเก่งภาษาญี่ปุ่นจึงควรใช้พจนานุกรมญี่ปุ่น-ญี่ปุ่น และใช้พจนานุกรมคันจิแบบที่คนญี่ปุ่นใช้ จึงจะแตกฉานในตัวภาษาได้จริง ๆ
2. เสียงอ่านแบบญี่ปุ่น
เนื่องจากญี่ปุ่นนั้นมีภาษาพูดของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อรับอักษรจีนเข้ามา นอกจากจะมีเสียงอ่านแบบจีนดังที่กล่าวในข้อ 1 ไปแล้ว ก็จะมีเสียงอ่านแบบญี่ปุ่นด้วย เช่น อักษรภูเขา เสียงคัง-องอ่านว่า “ซัง (サン)” แต่เมื่อใช้ในบางบริบทที่ต้องการความเป็นญี่ปุ่นก็จะออกเสียงญี่ปุ่นว่า “ยะมะ (やま)”
อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดการผสมคำผ่านประวัติศาสตร์นับพันปี ทำให้เกิดคำศัพท์ขึ้นมากมาย ในคำศัพท์คำเดียวกันจึงสามารถอ่านเสียงจีนกับเสียงญี่ปุ่นปนกันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการอ่านแบบ “ตามใจฉัน” ที่ไม่สนใจความหมายเพราะสนใจแต่เสียงก็มี แบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้
-เสียงจูบะโกะ (重箱): คือคำประสมคันจิที่เสียงคันจิตัวแรกจะอ่านเสียงอง แต่เสียงคันจิตัวที่สองจะอ่านเสียงคุง
-เสียงยุโต (湯桶): คือคำประสมคันจิที่เสียงคันจิตัวแรกจะอ่านเสียงคุง แต่เสียงคันจิตัวที่สองจะอ่านเสียงอง
-เสียงตามใจฉัน หรือ อะเทะจิ (当て字): คือเสียงที่ไม่สนใจความหมาย จะเอาแต่เสียงให้ตรงก็พอ เช่น เอาอักษร ข้าว (米) มาใช้แทนสหรัฐอเมริกันกันดื้อๆ แบบช่างหัวความหมาย เพราะเสียงอเมริกาสะกดคันจิแบบสนใจแต่เสียงว่า 亜米利加 จึงเอาอักษรตัวที่ 2 คือ 米 มาใช้แปลว่าอเมริกา กันแบบดื้อๆ แบบนี้เลย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การรู้ประวัติศาสตร์ที่มาของเสียงคันจิแต่ละเสียงนั้น แม้จะช่วยให้แตกฉานในตัวภาษาก็จริง แต่หากเป็นผู้ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ ก็ควรจะฝึกฝนจากคำศัพท์ในชีวิตจริงเป็นหลัก เมื่อใช้คล่องดีแล้วจึงกลับมาดูประวัติศาสตร์ของเสียงอ่าน ไม่อย่างนั้น ถ้ายังใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง อ่านคันจิยังไม่ค่อยออก แล้วมาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ของเสียงอ่านคันจิเหล่านี้ กลับจะยิ่งทำให้สับสนหนักกว่าเดิมนะทุกท่าน
เรื่องแนะนำ :
– ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมในประเทศญี่ปุ่นถึงมีทั้งปางบุรุษและปางสตรี?
– คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020
– อะวะโมะริ (泡盛) เหล้าเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น
– ทำไมเรียนปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นถึงจบยากกกกกกก!?
– ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?
#ที่มาของเสียงอ่านคันจิอันหลากหลายในภาษาญี่ปุ่น