ดาบญี่ปุ่น … เราจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นให้คุณค่าแก่ดาบมาก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่าดาบบางเล่มสามารถที่จะช่วยให้เจ้าของดาบที่ไม่ระวัง ตัวรอดพ้นจากจากการทำร้ายของศัตรูได้ หรือว่าดาบบางเล่มอาจจะปฎิเสธเจ้าของดาบโดยไม่ยอมที่จะทำร้ายคนดี
คนญี่ปุ่นถือว่า “ดาบ” เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ในสมัยเอโดะประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 17-19 ผู้ที่สามารถพกดาบในที่สาธารณะได้ มีเพียงแต่ซามูไรซึ่งถือว่าเป็นคนชั้นสูงสุดของญี่ปุ่น ตามตำนานโบราณของญี่ปุ่นเล่าว่าเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ได้ประทานสมบัติสามอย่างให้แก่หลานชายของเธอ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้รับมอบอำนาจในการปกครองสืบต่อจากเทพเจ้า ดาบก็เป็นหนึ่งในสมบัติทั้งสามนั้น คุณค่าของดาบนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่อาวุธสำหรับต่อสู้เท่านั้น แต่ดาบยังเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีต ผู้ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์รักษาดาบให้คงอยู่ต่อไปเพื่อส่งมอบให้แก่คนรุ่นหลัง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเห็นดาบสมัยโบราณมากมายที่ยังอยู่ในสภาพที่ดี หลายๆ เล่มมีอายุ 400 ถึง 500 ปีเลยทีเดียว เราจะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นให้คุณค่าแก่ดาบมาก มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่าดาบบางเล่มสามารถที่จะช่วยให้เจ้าของดาบที่ไม่ระวังตัวรอดพ้นจากจากการทำร้ายของศัตรูได้ หรือว่าดาบบางเล่มอาจจะปฎิเสธเจ้าของดาบโดยไม่ยอมที่จะทำร้ายคนดี
ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานกว่าที่ดาบญี่ปุ่นจะถูกพัฒนาจนเป็นดาบที่ดี คือจะต้องแข็งและยืดหยุ่นด้วยในขณะเดียวกัน ดาบจะต้องแข็งเพื่อที่จะได้สามารถรักษาความคมเอาไว้ได้ แต่เหล็กที่แข็งเกินไปจะเปราะเมื่อทำการตีขึ้นรูปเป็นดาบก็จะแตก ดังนั้นจึงมีการพัฒนาโดยการซ่อนเหล็กที่อ่อนไว้ด้านใน เอาเหล็กแข็งไว้ด้านนอก และทำการชุบแข็งเฉพาะคมดาบเท่านั้น สันนิษฐานกันว่าความรู้ในการผลิตเหล็กของญี่ปุ่นนั้นได้มาจากจีนในสมัยราชวงศ์ถัง
กระบวนการสร้างดาบนั้น เริ่มจากการเผาหลอมเหล็กด้วยถ่านในเตาเผา เมื่อเผาจนได้ที่ก็นำเหล็กมาตีทบไปทบมาเพื่อทำให้เหล็กมีความแข็งแรงมากขึ้นและกำจัดสารมลทินในเหล็กออกไป ดาบเล่มหนึ่งไม่ได้มีเหล็กเพียงแค่ชนิดเดียวแต่จะประกอบด้วยเหล็กสามชนิดคือ
1. | โฮโชเท็ตซึ (hocho-tetsu) ซึ่งเป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำมาก ใช้เป็นแกนของดาบเรียกว่าชินกาเนะ (shingane) |
2. | เหล็กที่มีคาร์บอนสูงเรียกว่า ทามาฮากาเนะ (tamahagane) |
3. | เหล็กดิบที่นำมาหลอมใหม่ (re-melt pig iron) เรียกว่า นาเบะกาเนะ (nabe-gane)] |
โดยเหล็กทามาฮากาเนะและเหล็กดิบจะหลอมรวมเข้าด้วยกันทำเป็นเนื้อดาบภายนอกเรียกว่า คาวากาเนะ (kawagane)
การตีดาบจะต้องใช้เวลาหลายวันหรืออาจจะหลายสัปดาห์ และถือกันว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ มักจะมีพิธีกรรมของลัทธิชินโตร่วมด้วย การสร้างดาบมักจะทำด้วยกันหลายๆ คนเช่นช่างตีขึ้นรูปหยาบ ช่างตีเหล็กพับไปพับมา (มักจะเป็นช่างฝึกหัด) ช่างที่เชี่ยวชาญในการขัดดาบ และช่างที่เชี่ยวชาญในส่วนของคมดาบ ทุกวันนี้มีผู้นิยมสะสมดาบญี่ปุ่นกันมาก ทั้งนี้เพราะความสวยงามของตัวดาบเองและมนต์ขลังต่างๆ ที่มีอยู่ในดาบ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
-The Craft of Japanese Sword by Leon and Hiroko Kapp, Yoshindo Yoshihara
-http://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_swordsmithing
-http://www.to-ken.com/articles/Swordhandling.htm
-http://www.chinasamuraisword.com/dragontsubaguard-japanese-sword-handforged-katana-p-184.html